ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ..... ???

ที่มา www.peoplevalue.co.th เขียนโดยอาจารย์ณรงค์วิทย์ แสนทอง


มนุษย์เงินเดือนคนไหนไม่รู้จัก “เงินผ่อน” ถือว่าเชยมาก บางคนผ่อนบ้าน บางคนผ่อนรถ บางคนผ่อนที่(ดิน) บางคนผ่อนบัตรเครดิต และสุภาพบุรุษหลาย

ท่านก็ยังคงผ่อนภรรยา (กู้เงินมา แต่งงาน) และมีอีกสารพัดผ่อน ถ้าอยากรู้จริงๆว่ามีอะไรอีกหรือไม่ที่ได้มาจากนโยบายเงินผ่อน ลองเดินเข้าไปในบ้านของ

ใครซักคน และลองชี้ไปที่อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านอย่างหนึ่ง และถามว่าซื้อสดหรือผ่อน ผมคิดว่าเกิน 50% ของ เครื่องใช้ภายในบ้านได้มาจาก

นโยบายเงินผ่อน ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น ทีวี เครื่องซักผ้า เตาแก็ส ฯลฯ






สาเหตุสำคัญที่ทำ ให้ค่านิยม “ใช้ก่อนผ่อนทีหลัง” เกิดขึ้นมากในสังคม ไทยเรา คิดว่ามีสาเหตุหลักๆ อยู่สองประการคือ ประการแรกคนไทยชอบเห่อโดย

เฉพาะคนที่ไม่ค่อยมีกะตังค์มักจะอยากได้โน่นอยาก ได้นี่(รวมถึงหนี้) เห็นใคร มีอะไรไม่ได้ เราต้องมีด้วย โดยไม่ประเมินตัวเองก่อน มักจะใช้ความรู้สึก

“อยากได้” ตัดสินการกระทำ ไม่ได้ดูเหตุผลหรืออรรถประโยชน์ของสิ่งที่ต้องการได้ก่อน เช่น บางคนผ่อนเครื่องออกกำลังกายมาเพราะเห็นโฆษณาในทีวี

แต่พอซื้อมาจริงๆแล้ว กลับกลายเป็นราวตากผ้าไป





ประการที่สอง ผู้ทำธุรกิจปล่อยเงินกู้หรือขายสินค้าก็ออกโฆษณาล่อใจเหลือเกิน เช่น ไม่มีเงินดาวน์ก็ผ่อนรถได้ ไม่มีเงินก็สามารถซื้อเครื่องใช้กลับ

บ้านได้ ด้วยบัตรต่างๆ คุณมาเพียงตัวกับหัวใจแล้วคุณจะได้ทุกอย่างที่คุณต้องการ เจอโฆษณาแบบนี้เข้าไปร้อยทั้งร้อยไปไม่รอด จอดป้ายเงินผ่อนทุกราย

ไม่ใช่ว่าผมจะต่อ ต้านนโยบายเงินผ่อนนะครับ แต่อยากจะชี้ให้เห็นประเด็นบางอย่างที่มนุษย์เงินเดือนพึงระวัง มิฉะนั้น เราจะทำงานใช้หนี้ไปตลอดชีวิตของ

การเป็นลูกจ้าง โอกาสที่จะออกมาทำธุรกิจส่วนตัว โอกาสที่จะมีทรัพย์สินเงินทองไว้กินตอนแก่จะมีน้อยลง




สมมติว่าเราอยาก ได้รถยนต์สักคันหนึ่ง ถ้าเรายังไม่ซื้อ ผมถือว่ารถยนต์คือปัจจัยจูงใจ (Motivation Factor) ในการทำงานเพื่อเก็บเงินซื้อรถยนต์ เราอาจ


จะหางานพิเศษทำเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น แต่….ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราใช้นโยบาย เงินผ่อน รถยนต์จะเป็นสิ่ง จูงใจเราสักเดือนสองเดือน (ตอนที่ป้ายแดงอยู่)

แต่หลังจากนั้นอีกสามสี่ปี รถยนต์จะเปลี่ยนจากแรงจูงใจเป็น “ภาระ” ทันที ภาระที่ว่านี้คือ ความทุกข์ที่ต้องนั่งผ่อนรถทุกเดือน ความเครียดจะเริ่มมาเยือน

เรามากขึ้นเรื่อยๆ เราจะหมดทุกข์อีกครั้งเมื่อภาระเงินผ่อนหมดลง หลายคนพอผ่อนอะไรหมดใหม่ๆ รู้สึกเข็ดไม่อยากผ่อนอะไรอีก แต่อีกหลายคน “เข็ด

แล้วไม่จำ” พอผ่อนอะไรหมดไปอย่างหนึ่งแล้ว รีบหา ถ้าเราสังเกตดีๆ ว่าสิ่งที่เราผ่อนนั้นส่วนมาก ช่วงเวลาที่เรามีความสุขนั้นมีเพียงนิดเดียวคือตอนที่เรา

ได้มันมาใหม่ๆ หรือตอนที่เพื่อนๆหรือคนรอบข้างเราชม เช่น โอโห้ รถสวยจังเลย ดีนะมีรถเป็นของตัวเองไม่ต้องนั่งรถเมล์ไปทำงาน ฯลฯ นี่คือช่วงเวลาที่

เรามีความสุขซึ่งมีเพียงสองสามนาที แต่อีก 23 ชั่วโมง กับอีก 57-58 นาทีต่อวันในทุกๆเดือนนั้น เราจะมีความทุกข์อยู่กับภาระเงินผ่อน ลองเลือกเอาเองก็

แล้วกันครับว่าเราอยากจะมีความสุขน้อย แต่ทุกข์มากหรืออยากจะทุกข์น้อย (ที่ไม่มีรถ) แต่มีความสุขมากตลอดเวลา (เพราะ เรามีเงินเก็บ แต่ไม่มีรถ)

มนุษย์เงินเดือน อย่างเราๆ ถ้าจะผ่อนอะไรขอให้พิจารณาประเด็นดังต่อไปนี้





สิ่งที่ผ่อนเป็นภาระหรือการลงทุน ให้วิเคราะห์ดูว่าสิ่งที่เราจะผ่อนนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนให้ กับเราได้หรือไม่ เช่น ถ้าผ่อนรถแล้วเราจะเอารถไปสร้าง

รายได้หรือไม่ หรือไว้สำหรับขับไปทำงานให้ดูเท่ห์เพียงอย่างเดียว หรือวันหยุดเราจะเอารถไปบริการรับจ้าง ถ้าจะซื้อบ้านเราจะซื้อเพื่ออยู่อย่างเดียว เพื่อ

ประหยัดค่าเช่า ลองพิจารณาดูว่าคุ้มกับค่าเช่าหรือไม่ หรือเราจะซื้อบ้านเพื่อให้ภรรยาเปิดร้านขายของเพื่อหารายได้มาผ่อนบ้าน สรุปง่ายๆคือ การผ่อนสิ่งที่

มีผลตอบแทนไม่ว่าจะระยะสั้นหรือระยะยาวนั้นผ่อนได้
จำเป็นต่อชีวิตหรือไม่ เราควรจะวิเคราะห์ดูว่าสิ่งที่เรากำลังจะผ่อนนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญต่อชีวิตเราเป็นอันดับต้นๆหรือไม่ เช่น ถ้าเราพิการและถ้าเรา

ไม่ผ่อนรถเข็นสักคันเราคงไปทำงานไม่ได้ ถ้าเราไม่ผ่อนเครื่องออกกำลังกาย เราอาจจะมีชีวิตอยู่ไม่เกินหนึ่งปี เพราะแพทย์สั่งให้ออกกำลังกายทุกวัน ฯลฯ

อย่างนี้ผ่อนไปเถอะครับ แต่ถ้าเราไม่ผ่อนบ้านสักหลังเราจะดูด้อย กว่าเพื่อนๆ ถ้าเราไม่ผ่อนมือถือสักเครื่องเราจะไม่สะดวกในการนัดเพื่อนทานข้าว ถ้าเรา

ไม่ผ่อนรถสักคัน สาวๆจะไม่มองเรา ฯลฯ อย่างนี้ขอให้คิดเสียใหม่นะครับว่าเรากำลังจะเปลี่ยน “แรงจูงใจ” เป็น “ภาระ” แก่ชีวิตนะครับ

มีเงินพอหรือไม่ สำหรับคน “รวย” จริงๆ อยากจะผ่อนอะไรก็ผ่อนไปเถอะครับไม่ว่ากัน เพราะคนบางคนมีเงินก็จริงแต่ไม่อยากจ่ายออกไปเป็นก้อน คนบาง

คนมีเงินก็จริง แต่จะนำเงินไปใช้ในการลงทุนมากกว่าเอาไปซื้อของ เพราะในขณะที่กำลังผ่อนอยู่นั้น เงินสดที่มีอยู่อาจจะนำไปลงทุนสร้างผลตอบแทนได้ดี

แล้วค่อยนำเอาผลตอบแทนนั้นกลับมาใช้หนี้เงินผ่อนในภายหลังก็ได้





: ที่มา www.peoplevalue.co.th เขียนโดยอาจารย์ณรงค์วิทย์ แสนทอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่