เมื่อหมอต้องติดเชื้อเอดส์จากคนไข้ (ตอนสุดท้าย)

เมื่อกลับถึงบ้าน คืนวันอันแสนสุขได้ผ่านไป ความจริงที่กำลังจะปรากฎต่อหน้าพ่อแม่ผมไม่แน่ใจว่าท่านจะรับไหวหรือไม่ ผมสัญญากับพี่เนศแล้วว่าผมจะบอกเมื่อผมพร้อม เพราะว่าพ่อแม่ก็คงมีอาการเหมือนกับผมในช่วงแรกที่ทราบข่าว ผมจำเป็นต้องมีสติและเป็นผู้คุมสถานการณ์ให้ได้ ผมพร้อมแล้ว ผมบอกตัวเองว่าผมพร้อมแล้ว วันนี้เราจะเผชิญหน้ากับความจริง

ผมเดินเข้าไปในห้องนอนของพ่อแม่ กดล็อกประตู นั่งบนเก้าอี้ในห้อง ทำหน้าตาจริงจังเล่าเรื่องในอดีตที่เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน พ่อแม่ผมเริ่มสีหน้าไม่ดีเพราะรู้ว่าน่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น "ผมติดเชื้อ HIV" ผมบอกพ่อแม่เป็นประโยคสุดท้ายว่าผมติดเชื้อ HIV ในตอนนั้นแม่ผมล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น ร้องไห้และสับสนมากในเรื่องราวที่เกิดขึ้น พ่อผมยืนนิ่ง ตกใจไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ผมก้มลงไปประคองแม่ของผมขึ้นมาจากพื้น แต่แม่กุมมือผมแน่นทั้งสองข้าง โอบกอดรัดตัวผมแนบสนิท เหมือนกลัวว่าใครจะพรากของที่รักที่สุดไป "แม่ขอโทษลูก แม่ขอโทษ แม่ไม่ได้ตั้งใจที่บังคับขู่เข็ญให้เรียนหนังสือ แม่เพียงหวังจะให้ลูกได้ดีเมื่อโตขึ้น แม่ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้เกิดกับลูก แม่ขอโทษ" แม่ผมพูดแล้วร้องไห้ไม่หยุด ผมไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้มากขนาดนี้มาก่อน แม่คิดว่าผมกำลังจะตาย แม่ผมคิดอย่างนั้น ผมค่อยๆอธิบายเรื่องราวของโรคนี้ทั้งหมดให้แม่ฟัง แม่สนใจมาก ถามทุกประเด็นที่ท่านสงสัย แม่ถามผมว่าลูกจะลาออกไหม กิจการที่บ้านมันมากพอที่ผมจะไม่ต้องเหนื่อยอีกเลยตลอดชีวิต ผมไม่รู้หรอก ผมคิดไม่ออก ผมไม่กล้าตัดสินใจ

สุดท้ายผมก็ได้ทำบาปครั้งใหญ่คือสร้างความทุกข์อย่างใหญ่หลวงให้กับพ่อแม่ คืนนั้นแม่ผมนอนร้องไห้ทั้งคืน ผมเสียใจกับเรื่องร้ายๆที่ผ่านมาในชีวิตผมและครอบครัว แต่ผมก็ดีใจเพราะอย่างน้อยตอนนี้ผมก็มีเพื่อนมาเดินอยู่ข้างๆผมอีกสองคนแล้ว

คืนวันอาทิตย์ ผมเก็บของเตรียมกลับไปต่างจังหวัดเหมือนเคย แม่เดินเข้ามาพูดคุยกับผมตลอด ผมจำได้ดีว่าคำพูดทุกคำของแม่ที่พูดกับผมตอนนั้นมันกลั่นออกมาจากความห่วงใย ที่สุดที่คนคนหนึ่งจะให้กับคนคนหนึ่งได้ แม่เป็นห่วงผมในทุกเรื่อง แม่ถามทุกคำถามที่แม่นึกออก ผมหัวเราะให้แม่ ผมหัวเราะครั้งแรกของผมให้กับแม่ ผมรู้สึกเหมือนผมกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง

ผมกลับไปทำงานตามปกติ ตอนนี้ผมดีขึ้นมาก ผมบอกทุกคนที่ควรจะรู้จนครบแล้ว รู้สึกเหมือนหน้าที่ผมลุล่วงไปด้วยดี วันนี้ผมมีกำลังใจมากขึ้นกว่าทุกวัน ตอนนี้ก็เหลือเพียงเรื่องของผมที่พร้อมจะเดินต่อไปหรือไม่เท่านั้น

แต่เรื่องของผมนี่แหละที่เป็นปัญหา ผมได้รับการตอบรับเพื่อเป็น resident ศัลยกรรมของโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง พี่ที่แผนกธุรการโทรมาทวงเอกสารที่ผมยังส่งไม่ครบ เพราะว่าถ้าเกินกำหนดนั่นแปลว่าผมสละสิทธิ์ เรื่องนี้มันเป็นปัญหาใหม่ให้ผมจริงๆ คำถามคือศัลยแพทย์ที่ติดเชื้อทำผ่าตัดได้หรือเปล่า ผมสับสน ไม่กล้าตัดสินใจ ผมนอนคิดอยู่ทั้งคืน ผมอยากเรียนศัลย์ แต่ไม่รู้ว่ามัน fair กับคนไข้หรือเปล่าHuh

วันรุ่งข้นผมเดินไปหาพี่เนศและพี่ปก ผมถามคำถามนี้กับพี่ๆ โดยหวังว่าผู้ใหญ่น่าจะมองในกรอบที่กว้างกว่าเด็ก พี่เค้าตอบว่ามองเผินๆอาจจะใช่ แต่พี่ว่าไม่ เพราะเวลาเราผ่าตัดเข็มเราจะเลอะเลือดคนไข้ตลอด เวลาพลาดโดนเข็มตำ เลือดของคนไข้ก็จะมาเปื้อนเราทำให้เราติดเชื้อ แต่ในทางกลับกันถ้าเข็มเปื้อนเลือดเราเมื่อไร เราคงเปลี่ยนเข็มนั้นเพราะมันcontaminated ไปแล้ว เราคงไม่เอาเข็มที่เปื้อนเลือดเราไปเย็บต่อ ส่วนในกรณีที่ว่ากลัวเลือดหยดลง field คงไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเราคงไม่ได้ใช้กรรไกรหรือมีดมาตัดนิ้วเรา เลือดถึงมากพอที่จะตกลงไปได้ ผมคิดดูมันก็จริง แต่คนไข้จะยอมรับเหรอ ไม่มั้ง ผมว่าไม่ ใครจะยอมให้หมอที่ติดเชื้อมาผ่าตัด

อนาคตของผมมันผันแปรไปเป็นเพราะผมอยากเป็นหมอผ่าตัด ผมก็ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร ทั้งที่รู้ว่าวันนี้ชีวิตผมเปลี่ยนไปในทางตรงข้ามเพราะว่าเข็ม 1 เข็มกับเลือด 0.01 ccนั้น แต่ผมก็ยังดื้อด้านกลับไปหาสิ่งนั้น ผมถามตัวเองว่าผมทำไปเพื่ออะไร คุ้มจริงจริงเหรอที่จะกลับไปเรียนหนัก ทำงานหนัก ศัลยกรรมมันเหนื่อยนะ มันจะทำให้ขีวิตมันแย่ลงหรือเปล่า ตอนนี้เราไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว เราจะมาคิดแบบเดิมไม่ได้ แต่ไม่ใช่ ใจผมตอบว่าไม่ใช่ ตัวผมเปลี่ยนไป แต่ใจยังรักเหมือนเดิม ผมยังอยากเป็นหมอศัลยกรรม ผมว่าตัวผมมีคุณค่า ผมคิดว่าชีวิตในอนาคตของผมจะไม่อยู่อย่างคนขลาด อยู่อย่างเจียมตัวว่าเป็นคนป่วยแล้วไม่คิดทำอะไร ผมเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่มาพร้อมกับผม ผลเลือดที่เปลี่ยนไปไม่ได้ทำให้ชีวิตผมจบลง ผมไม่ยอมแพ้เข็ม 1 เข็มกับเลือด 0.01 cc ในคืนนั้นแน่ ชีวิตที่เกิดมาตั้ง 20 กว่าปียังไงก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเหตุการณ์ในช่วงวินาทีเดียว ไม่มีทาง


ลุกขึ้น ยืนหยัด กัดฟันสู้
กลับมองดู ความฝัน ครั้งหลัง
วันนี้ วันใหม่ ผมมีพลัง
ไม่มีใคร มารั้ง ผมต่อไป

ไปข้างหน้า เจ็บขา ได้บางคร้ง
เหนื่อยก็นั่ง พักใจก่อน ให้สดใส
พรุ่งนี้มา เราสู้ใหม่ ไม่อ่อนใจ
ไม่ยอมให้ สิ่งไหน มาทำลาย

ยิ้มหัวเราะ ต่ออุปสรรค ที่เกิดขึ้น
เพราะว่าถึงจะไม่เกิด เป็นซ้ำสอง
ความสำเร็จ ในวันหน้า จะมากอง
เหล่าเพื่อนพ้อง ร่วมสรรเสริญ ในโชคชัย

สิ่งที่ผมได้มาจากประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ของผมคือ "มันสมอง" มันสมองที่ไม่ได้หมายถึงIQ หรือความรู้พิเศษอะไร แต่เป็นมันสมองที่ช่วยให้ผมลองมองสิ่งของเดิมรอบตัวผมด้วยความรู้สึกใหม่ ว่าการตีค่าว่าของหนึ่งชิ้น หรือคนหนึ่งคน ขึ้นกับอะไรกับ ในวันแรกที่ผมรู้ว่าผมติดเชื้อ ผมรู้สึกว่าตัวเอง ไม่มีค่า เป็นของมีตำหนิ ซึ่งคงเป็นตราบาปที่ติดตัวผมไปจนตาย แต่ในวันนี้ผมไม่ได้มองแบบนั้น ค่าของคนไม่ได้เป็น่ทีสิ่งที่คุณเห็นด้วยตา แต่เป็นสิ่งที่คุณเห็นได้ด้วยใจ มีครั้งหนึ่งที่ผมดูแลคนไข้ที่เข้ามารักษา cholangiocarcinoma หน้าที่ของผมคือ consult intervention เพื่อ cholangiogram with PTBD บอกsurgery เพื่อผ่าตัด บอก medicine เพื่อช่วย preop หน้าที่ของผมคือบอกคนอื่นให้ช่วยรักษาคนไข้ของผม ผมทำไปตามหน้าที่ ก็เราไม่ใช่ specialistนี่ เราก็ต้องทำแบบนี้แหละ แต่ในวันที่คนไข้กลับ คุณลุงแกให้เงาะผม 3 ลูก มังคุด 2 ลูก ใส่ถุงพลาสติกสีแดงมาให้ผม คำถามของผมคือนี่อะไร เทียบกับ 300 บาทที่เป็นค่า DF ของโรงพยาบาลเอกชนไม่ได้หรอก แต่ผมได้คำตอบเมื่อผมเงยหน้ามองแก เห็นหน้าคุณลุงที่มแต่คำขอบคุณสุดพรรณา แกบอกผมเพียงขอบใจ ทำให้ผมได้คำตอบว่า นี่มันเรียกว่า "ใจ" ใจที่ไม่ได้ซือ้ให้กันได้ แต่คุณให้คนอื่นได้ไม่มีวันหมด ไม่มีวันจาง แม้ว่าชีวิตคุณจะเป็นยังไง

ผมกลับมาที่กรุงเทพ ชีวิตวันหยุดก่อนการเรียนต่อทำให้จิตใจผมสบายขึ้นมาก ผมเลิกคิดเรื่องการลาออก ผมไม่คิดว่าร่างกายของผมจะเป็นอุปสรรคต่อการเรียน ผมใช้ "ใจ" ของผมเป็นตัวตัดสิน มีเพื่อนผมหลายคนบอกให้ผมไปเรียนสาขาวิชาอื่นที่ไม่หนักมาก จะได้พักผ่อนมากๆเนื่องจากกลัวผมจะทำงานไม่ไหว แต่ผมบอกพวกเขาไปแล้วว่าผมไม่ได้ป่วย จริงอยู่ที่ผมติดเชื้อ แตว่าผมไม่ได้ป่วย ผมไม่ได้ poor insight หรือยังอยู่ในช่วง deny แต่อย่างใด แต่ผมลองเปรียบเทียบความรู้สึกว่าการที่ผมได้เรียนสิ่งที่ผมอยากเรียน ทำงานในสิ่งที่ผมอยากทำ เทียบกับการที่ผมทำงานอย่างเจียมเนื่อเจียมตัวว่าตัวเองป่วย ตอนบ่ายก็กลับบ้านไปนอนพักผ่อนแล้วก็นอน ผมทำใจไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนกองทุกข์และความเศร้า ที่ผมสร้างขึ้นมาด้วยตัวของผมเอง ผมอยากออกไปทำงาน ไม่อยากอยู่อย่างคนป่วย ถ้าเรามองเปลี่ยนมุมคิดใหม่ว่าการควบคุม CD4 คือการควบคุม DTXล่ะ มันทำใ้ห้ชีวิตเราดีขึ้นบ้างไหม จะเทียบว่า HIV กับ DM เหมือนกันรึเปล่า ผมว่ามันก็ใกล้เคียง CD4 นั้นมีขึ้นมีลงตลอด เหมือนกับระดับน้ำตาลของคนไข้เบาหวาน อยู่ดีดีมันก็ขึ้น เจาะอีกทีก็ไม่เหมือนเดิม แต่ถ้าคุณเป็นคนไข้ที่กินยาเบาหวานอย่างสม่ำเสมอ หรือฉีดยาเป็นประจำ เจาะระดับน้ำตาล (หรือCD4, viral load) อย่างเป็นประจำ โรคแทรกซ้อนต่างๆก็ไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ในปัจจุบันมียาต้านออกมาตัวใหม่ใหม่อยู่ตลอด ข้อมูลในปัจจุบันของยาตัวใหม่อาจยังไม่มีผลการทดลองในระยะยาวมากนัก เพราะว่ายามันเพิ่งมีผลิต แล้วคุณจะไปเอาระยะเวลาที่ไหนมาบอกว่าคุณจะตายแล้ว นั่นสิ ผมคิดถูกแฮะ ผมมีความหวังอยู่ สมัยก่อนวัณโรคเป็นแล้วตาย แต่ตอนนี้กิยาแค่ 6 เดือน แล้วโรคของผมถ้าในวันหน้ามียารักษา อาจจะต้องกินยาเป็นปี หรือว่าหลายปี ผมก็จะรอวันนั้น วันที่ผมประสบความสำเร็จในอาชีพ และประสบความสำเร็จในการรักษาโรคของตัวเอง

ตอนนี้โรคของผมได้รับการดูแลจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในประเทศไทย ผมอุ่นใจมาก ผมเจาะ CD4, viral load ทุก 2-3 เดือน ผลเลือดผมใกล้เคียงเดิมมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา โดยที่ผมยังไม่ได้เริ่ม้กินยา และตอนนี้ผมก็เป็น resident 1 general surgery อย่างเต็มตัวแล้ว ชีวิตผมไม่ได้สุขสบายมากนัก เนื่องจากเรียนหนัก ไม่ค่อยได้นอน และก็ไม่ค่อยได้กินข้าว คำตอบของผมอยู่ที่ใจคำเดียวเท่านั้น ใจเท่านั้นที่ทำให้คุณไปถึงทุกที่ ใจที่ไม่ยอมแพ้ ใจที่ไม่ลดละ ใจที่พร้อมเสียสละ ใจที่อยากเอาชนะสิ่งทั้งปวง ใจนี่แหละที่ยังรักษาระดับ CD4เอาไว้ได้ ผมเชื่ออย่างนั้น ผมเชื่อ

ผมพร้อมจะกลับมาเป็นหมอแล้ว

ที่มา : jabchai.com

Report : LIV APCO
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่