การทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในส่วนของการเมืองระดับชาติและการเมืองท้องถิ่น อย่างน้อยที่สุดเลยวันนี้กทม.ก็ไม่ได้มีสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร(ส.ก.)ที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว
แต่มาจาก”การแต่งตั้ง”แทนซึ่งก็เป็นผลจากการรัฐประหารนั่นเอง
อาจมีคนแย้งว่าการมี ส.ก.เลือกตั้งกับแต่งตั้งไม่เห็นแตกต่างกันตรงไหนเลย แตกต่างสิ อย่างน้อยเลยการมีส.ก.เลือกตั้งย่อมมีการตรวจสอบถ่วงดุลหรือควบคุมการบริหารของฝ่ายบริหาร มีการตั้งกระทู้เสนอญัตติ ตลอดจนเปิดอภิปรายทั่วไปได้
ถามว่าแล้ว ส.ก.แต่งตั้งทำหน้าที่เหล่านี้ไม่ได้หรือ ทำได้แต่ไม่ทำกัน
เนื่องจาก ส.ก.แต่งตั้งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการและอดีตข้าราชการ บางคนรับราชการในกทม.จนเกษียณจึงมีความเกรงอกเกรงใจกันอยู่ ผิดกับ ส.ก.เลือกตั้งซึ่งเป็นนักการเมืองย่อมจะต้องรับผิดชอบต่อประชาชนที่เลือกเข้ามา
เมื่อเป็นอย่างนี้จึงทำให้การบริหาร กทม.ของคณะผู้บริหารปัจจุบันซึ่งมี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯกทม.ทำงานได้ค่อนข้างสะดวก ราบรื่น เนื่องจากไม่มีฝ่ายนิติบัญญัติมาคอยตรวจสอบ
ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญและเป็นข้อห่วงใยของคนกรุงเทพฯ
เพราะขนาดมี ส.ก.ตั้งกระทู้ เสนอญัตติ ควบคุมการบริหาร แต่ผู้บริหารชุดนี้ก็ยังมีเรื่องฉาวโฉ่เกิดขึ้น ทำงานผิดพลาดหลายต่อหลายครั้ง
ดังนั้น เมื่อไม่มี ส.ก.เลือกตั้งทำหน้าที่ตรงนี้แล้วจะให้ชาวกรุงไว้วางใจได้อย่างไรว่าความไม่โปร่งใสจะไม่รุนแรงขึ้นอีก
ต้องไม่ลืมว่ากทม.ได้รับการจัดสรรงบประมาณแต่ละปีมหาศาล อย่างงบประมาณปี 58 นี้ได้รับการจัดสรรเป็นวงเงิน 65,882,323,400 บาท โดยสำนักการระบายน้ำได้รับมากที่สุด 5.9 พันล้านบาท แผนการลงทุนก่อสร้างอาคารเรียน ถนน ระบบขนส่งมวลชน ก็ได้รับการจัดสรรหลายพันล้านบาทเช่นกัน
งบประมาณมันมือขนาดนี้ แล้วไม่มีคนคอยคานคอยตรวจสอบก็กลายเป็น”คนเขาจะหามอย่าเอาคนเข้ามาสอด!!!
ในขณะที่โครงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV) ซึ่งคณะผู้บริหาร กทม.ชุดนี้ได้สร้างวีรกรรมทำให้คนกทม.หัวเราะไม่ออกร่ำไห้ไม่ได้มาแล้วกรณี "กล้องดัมมี่" ในงบฯปี 58 ก็มีการตั้งงบโครงการนี้สูงถึง 179 ล้านบาท
และอีกเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ การที่ กทม. มา “เอาจริงเอาจัง” กับการจัดระเบียบผู้ค้าแผงลอย...ซึ่งหากมองที่การกระทำของ “เหรียญอีกด้าน” ทาง กทม. ได้แก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างถูกจุดหรือไม่...เพราะในส่วนของ “คนทำมาหาสุจริต” อย่าง พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอย ที่ถูกคุมเข้มจัดระเบียบเข้มงวดห้ามค้าขาย สุดท้ายแล้วพวกเขาจะทำอย่างไร แล้วจะหาที่ทางทำมาหากินต่อไปอย่างไร
มันเป็นคำถามที่ กทม. ต้องตอบคำถามสังคมให้ได้เช่นเดียวกัน เพราะมันเป็นการบังคับใช้กฎหมายข้อบังคับเพียงแค่ในบางพื้นที่เท่านั้น...โดยยังมีอีกหลายพื้นที่ที่สามารถอนุญาติให้มีการตั้งขายได้ ทำไม กทม. จึงไม่ปฏิบัติให้เป็นระเบียบบรรทัดฐานเกมือนกันหมด...แล้วเจาะจงให้ชัดหรือหาพื้นที่ให้พวกเขาไปเลยว่าจะเอาตรงไหนเป็นที่ตั้ง
ซึ่งการเลือกปฏิบัติเช่นนี้...มันก็ทำให้ถูกมองว่ามี Hidden Agenda หรือ วาระซ่อนเร้น อะไรแฝงอยู่หรือไม่
อย่างนี้....จะให้คนกทม.ไว้วางใจให้คณะผู้บริหารกทม.ชุดนี้บริหารโดยไม่มีการควบคุมตรวจสอบได้อย่างไร งบฯ 6 หมื่นกว่าล้านบาทนั้นเป็นเงินภาษีประชาชนทั้งนั้น ที่น่ากังวล คือ 10 กว่าปีมานี้การบริหาร กทม.ผูกขาดอยู่พรรคเดียว
แม้จะมีการเปลี่ยนตัวผู้ว่าฯกทม. แต่ก็เป็นคนของพรรคการเมืองพรรคเดิม ส.ก.ก็มีมากกว่า กทม.จึงกลายเป็นขุมทรัพย์ของนักการเมือง อะไรก็แล้วแต่ที่จะส่งผลกระทบขุมทรัพย์นี้เป็นอันถูกขัดขวางต่อต้านทันที
ดูตัวอย่างตลาดนัดสวนจตุจักรเป็นไร การรถไฟฯซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินจะขึ้นค่าเช่าตลาดนัดสวนจตุจักรเป็น 420 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ กทม.ขอจ่าย 79 ล้านบาทต่อปี
มองในแง่ของการตลาด การขอปรับสัญญาขึ้นค่าเช่าเป็นปีละ 420 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ จากค่าเช่า24 ล้านบาทที่ กทม.จ่ายอยู่ในปัจจุบัน ก็สมเหตุสมผล
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับที่ดินทำเลอื่นๆที่การรถไฟฯต่อสัญญาเช่าออกไป เช่น ที่ดิน 43 ไร่บริเวณห้าแยกลาดพร้าวอันเป็นที่ตั้งโรงแรมและห้างฯเซ็นทรัล ซึ่งการรถไฟฯได้ผลตอบแทนมากกว่า 20,000 ล้านบาทตลอด 20 ปีตามสัญญาเช่า
แต่เพราะกลัวจะสูญเสียขุมทรัพย์นี้ไปซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ทั้งผู้บริหารกทม.และพรรคการเมืองจึงออกมาคัดค้านอย่างถึงที่สุด
หันมามองภาพ....ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตรหรือ”คุณชายหมู”เป็นผู้ว่าฯกทม.สมัยที่สองหลังจากชนะเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 มี.ค.2556 เมื่อย้อนกลับไปดูการเป็นผู้ว่าฯกทม.สมัยแรกของคุณชายหมูก็ใช่ว่าจะมีผลงานดีเด่อะไรนัก
ตรงกันข้ามกลับมีเรื่องฉาวโฉ่เกิดขึ้นหลายเรื่อง เช่น กล้องดัมมี่ที่ติดตั้งหลอกทั้งโจรและคน กทม.และอีกโครงการหนึ่งที่มีเรื่องฉาวโฉ่มากที่สุดในยุคที่คุณชายหมูเป็นผู้ว่าฯกทม.สมัยแรก คือ โครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลบางกอก อารีนา เขตหนองจอก
โครงการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสนามหลักในการรองรับการจัดการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลกครั้งที่ 7 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 1-18 พ.ย.2555
การก่อสร้างเกิดขึ้นภายหลังที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ลงมติให้ไทยเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขัน เพื่อใช้จัดพิธีเปิด-ปิดการแข่งขัน
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงมีมติให้กทม.ที่มีคุณชายหมูเป็นผู้เป็นผู้ว่าฯรับผิดชอบโครงการด้วยวงเงินงบประมาณ 1,300 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างเดือน ม.ค.2555
ปรากฏว่า...การก่อสร้างเสร็จไม่ทันการแข่งขันฟุตซอลโลก คณะกรรมการฟุตซอลของฟีฟ่ามีมติยกเลิกการใช้สนามบางกอกฟุตซอล อารีนา ทุกรอบการแข่งขัน เหตุผลเนื่องจากการก่อสร้างไม่เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยที่ฟีฟ่ากำหนด
ปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนั้น ไม่ใช่ทำให้กทม.เสียหน้าเท่านั้น แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นกับประเทศไทย เพราะการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาระดับโลกถือเป็นหน้าตาของประเทศ แต่ยังดีนะที่เขายังให้ไทยเป็นเจ้าภาพอยู่
เรื่องความไม่โปร่งใสในกทม.ยังมีเยอะ มีการรุมแทะงบประมาณเป็นล่ำเป็นสัน เป็นที่รู้กันดีสำหรับผู้ที่จะเอางานของกทม.ว่าจะต้องจ่ายเท่าไร
ได้มีการตั้งเป็นกติกามาตรฐานเลยว่าต้องจ่าย 30 % สำหรับคนที่จะเอางานมาให้ โดยยังไม่รวมเบี้ยบ้ายรายทางที่ต้องจ่ายอีกมาก
มีรายงานชิ้นหนึ่งของสมัชชาสภาองค์กรชุมชน กทม. ได้รายงานสถานการณ์ทุจริตใน กทม.ที่ภาคประชาชนได้ประสบ เช่น การทุจริตงบประมาณจัดซื้อ จัดจ้าง การจัดสัมมนาดูงาน การเสนอนโยบายโดยมีประโยชน์แอบแฝง เป็นต้น
ส่วนสาเหตุการทุจริต เกิดจากปัญหาระบบอุปถัมภ์และค่านิยมในทางที่ผิด เช่น ติดสินบน ยกย่องคนรวยและมีอำนาจโดยมิชอบ ปัญหาโครงสร้าง กทม.ที่ซับซ้อน ตรวจสอบยาก เสนอให้มีการปรับโครงสร้าง กทม.โดยการกระจายอำนาจให้ประชาชนมีส่วนร่วม ให้มีเลือกตั้งผู้อำนวยการเขต มีกลไกให้ประชาชนเข้าถึงง่าย โปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมกับให้จัดตั้งศูนย์ประชาสังคมเพื่อความโปร่งใสขึ้นที่สำนักงานเขตและศาลาว่าการ กทม.
ขนาดมีประชาธิปไตยเต็มใบยังตรวจสอบยาก แล้วตอนนี้จะมิแย่กว่านั้นหรือ คงได้กินเงียบ ฟาดเรียบกันแน่นอน
นี่คือความห่วงใยของคน กทม.
และนี่คือบทพิสูจน์.....ประชาธิปไตยไม่ใช่เอาเพียงแค่”การเลือกตั้ง” ซึ่งโกงได้มาเป็นตัววัด
สภาปฏิรูปแห่งชาติ ต้องมีจิตอันบริสุทธิ์ในการ”ปฏิรูป”ทุกด้านให้ผู้คนเขารับได้รับได้...
แม้แต่การปฏิรูปสภาปฏิรูปก่อนอื่นให้แล้วเสร็จ!!
ไม่ใช่คิดแต่ “ปฏิรูปคนอื่น” แต่เห็นหน้าค่าตาหลายคนในสภาแห่งนี้ยังดูมอมแบบเดิมๆอย่างที่บางคนเคยเป็น! “บางกอก ทูเดย์” จึงขอสรุปว่า....พวกคุณนั่นแหละควรปฏิรูปตัวเองเสียก่อน!! และโดยด่วน!!
เครดิต : บางกอก ทูเดย์
กินเงียบ! ฟาดเรียบ! กทม.ยุค ‘ปฏิรูปชูชก’
แต่มาจาก”การแต่งตั้ง”แทนซึ่งก็เป็นผลจากการรัฐประหารนั่นเอง
อาจมีคนแย้งว่าการมี ส.ก.เลือกตั้งกับแต่งตั้งไม่เห็นแตกต่างกันตรงไหนเลย แตกต่างสิ อย่างน้อยเลยการมีส.ก.เลือกตั้งย่อมมีการตรวจสอบถ่วงดุลหรือควบคุมการบริหารของฝ่ายบริหาร มีการตั้งกระทู้เสนอญัตติ ตลอดจนเปิดอภิปรายทั่วไปได้
ถามว่าแล้ว ส.ก.แต่งตั้งทำหน้าที่เหล่านี้ไม่ได้หรือ ทำได้แต่ไม่ทำกัน
เนื่องจาก ส.ก.แต่งตั้งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการและอดีตข้าราชการ บางคนรับราชการในกทม.จนเกษียณจึงมีความเกรงอกเกรงใจกันอยู่ ผิดกับ ส.ก.เลือกตั้งซึ่งเป็นนักการเมืองย่อมจะต้องรับผิดชอบต่อประชาชนที่เลือกเข้ามา
เมื่อเป็นอย่างนี้จึงทำให้การบริหาร กทม.ของคณะผู้บริหารปัจจุบันซึ่งมี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯกทม.ทำงานได้ค่อนข้างสะดวก ราบรื่น เนื่องจากไม่มีฝ่ายนิติบัญญัติมาคอยตรวจสอบ
ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญและเป็นข้อห่วงใยของคนกรุงเทพฯ
เพราะขนาดมี ส.ก.ตั้งกระทู้ เสนอญัตติ ควบคุมการบริหาร แต่ผู้บริหารชุดนี้ก็ยังมีเรื่องฉาวโฉ่เกิดขึ้น ทำงานผิดพลาดหลายต่อหลายครั้ง
ดังนั้น เมื่อไม่มี ส.ก.เลือกตั้งทำหน้าที่ตรงนี้แล้วจะให้ชาวกรุงไว้วางใจได้อย่างไรว่าความไม่โปร่งใสจะไม่รุนแรงขึ้นอีก
ต้องไม่ลืมว่ากทม.ได้รับการจัดสรรงบประมาณแต่ละปีมหาศาล อย่างงบประมาณปี 58 นี้ได้รับการจัดสรรเป็นวงเงิน 65,882,323,400 บาท โดยสำนักการระบายน้ำได้รับมากที่สุด 5.9 พันล้านบาท แผนการลงทุนก่อสร้างอาคารเรียน ถนน ระบบขนส่งมวลชน ก็ได้รับการจัดสรรหลายพันล้านบาทเช่นกัน
งบประมาณมันมือขนาดนี้ แล้วไม่มีคนคอยคานคอยตรวจสอบก็กลายเป็น”คนเขาจะหามอย่าเอาคนเข้ามาสอด!!!
ในขณะที่โครงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV) ซึ่งคณะผู้บริหาร กทม.ชุดนี้ได้สร้างวีรกรรมทำให้คนกทม.หัวเราะไม่ออกร่ำไห้ไม่ได้มาแล้วกรณี "กล้องดัมมี่" ในงบฯปี 58 ก็มีการตั้งงบโครงการนี้สูงถึง 179 ล้านบาท
และอีกเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ การที่ กทม. มา “เอาจริงเอาจัง” กับการจัดระเบียบผู้ค้าแผงลอย...ซึ่งหากมองที่การกระทำของ “เหรียญอีกด้าน” ทาง กทม. ได้แก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างถูกจุดหรือไม่...เพราะในส่วนของ “คนทำมาหาสุจริต” อย่าง พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอย ที่ถูกคุมเข้มจัดระเบียบเข้มงวดห้ามค้าขาย สุดท้ายแล้วพวกเขาจะทำอย่างไร แล้วจะหาที่ทางทำมาหากินต่อไปอย่างไร
มันเป็นคำถามที่ กทม. ต้องตอบคำถามสังคมให้ได้เช่นเดียวกัน เพราะมันเป็นการบังคับใช้กฎหมายข้อบังคับเพียงแค่ในบางพื้นที่เท่านั้น...โดยยังมีอีกหลายพื้นที่ที่สามารถอนุญาติให้มีการตั้งขายได้ ทำไม กทม. จึงไม่ปฏิบัติให้เป็นระเบียบบรรทัดฐานเกมือนกันหมด...แล้วเจาะจงให้ชัดหรือหาพื้นที่ให้พวกเขาไปเลยว่าจะเอาตรงไหนเป็นที่ตั้ง
ซึ่งการเลือกปฏิบัติเช่นนี้...มันก็ทำให้ถูกมองว่ามี Hidden Agenda หรือ วาระซ่อนเร้น อะไรแฝงอยู่หรือไม่
อย่างนี้....จะให้คนกทม.ไว้วางใจให้คณะผู้บริหารกทม.ชุดนี้บริหารโดยไม่มีการควบคุมตรวจสอบได้อย่างไร งบฯ 6 หมื่นกว่าล้านบาทนั้นเป็นเงินภาษีประชาชนทั้งนั้น ที่น่ากังวล คือ 10 กว่าปีมานี้การบริหาร กทม.ผูกขาดอยู่พรรคเดียว
แม้จะมีการเปลี่ยนตัวผู้ว่าฯกทม. แต่ก็เป็นคนของพรรคการเมืองพรรคเดิม ส.ก.ก็มีมากกว่า กทม.จึงกลายเป็นขุมทรัพย์ของนักการเมือง อะไรก็แล้วแต่ที่จะส่งผลกระทบขุมทรัพย์นี้เป็นอันถูกขัดขวางต่อต้านทันที
ดูตัวอย่างตลาดนัดสวนจตุจักรเป็นไร การรถไฟฯซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินจะขึ้นค่าเช่าตลาดนัดสวนจตุจักรเป็น 420 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ กทม.ขอจ่าย 79 ล้านบาทต่อปี
มองในแง่ของการตลาด การขอปรับสัญญาขึ้นค่าเช่าเป็นปีละ 420 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ จากค่าเช่า24 ล้านบาทที่ กทม.จ่ายอยู่ในปัจจุบัน ก็สมเหตุสมผล
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับที่ดินทำเลอื่นๆที่การรถไฟฯต่อสัญญาเช่าออกไป เช่น ที่ดิน 43 ไร่บริเวณห้าแยกลาดพร้าวอันเป็นที่ตั้งโรงแรมและห้างฯเซ็นทรัล ซึ่งการรถไฟฯได้ผลตอบแทนมากกว่า 20,000 ล้านบาทตลอด 20 ปีตามสัญญาเช่า
แต่เพราะกลัวจะสูญเสียขุมทรัพย์นี้ไปซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ทั้งผู้บริหารกทม.และพรรคการเมืองจึงออกมาคัดค้านอย่างถึงที่สุด
หันมามองภาพ....ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตรหรือ”คุณชายหมู”เป็นผู้ว่าฯกทม.สมัยที่สองหลังจากชนะเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 มี.ค.2556 เมื่อย้อนกลับไปดูการเป็นผู้ว่าฯกทม.สมัยแรกของคุณชายหมูก็ใช่ว่าจะมีผลงานดีเด่อะไรนัก
ตรงกันข้ามกลับมีเรื่องฉาวโฉ่เกิดขึ้นหลายเรื่อง เช่น กล้องดัมมี่ที่ติดตั้งหลอกทั้งโจรและคน กทม.และอีกโครงการหนึ่งที่มีเรื่องฉาวโฉ่มากที่สุดในยุคที่คุณชายหมูเป็นผู้ว่าฯกทม.สมัยแรก คือ โครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลบางกอก อารีนา เขตหนองจอก
โครงการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสนามหลักในการรองรับการจัดการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลกครั้งที่ 7 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 1-18 พ.ย.2555
การก่อสร้างเกิดขึ้นภายหลังที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ลงมติให้ไทยเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขัน เพื่อใช้จัดพิธีเปิด-ปิดการแข่งขัน
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงมีมติให้กทม.ที่มีคุณชายหมูเป็นผู้เป็นผู้ว่าฯรับผิดชอบโครงการด้วยวงเงินงบประมาณ 1,300 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างเดือน ม.ค.2555
ปรากฏว่า...การก่อสร้างเสร็จไม่ทันการแข่งขันฟุตซอลโลก คณะกรรมการฟุตซอลของฟีฟ่ามีมติยกเลิกการใช้สนามบางกอกฟุตซอล อารีนา ทุกรอบการแข่งขัน เหตุผลเนื่องจากการก่อสร้างไม่เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยที่ฟีฟ่ากำหนด
ปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนั้น ไม่ใช่ทำให้กทม.เสียหน้าเท่านั้น แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นกับประเทศไทย เพราะการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาระดับโลกถือเป็นหน้าตาของประเทศ แต่ยังดีนะที่เขายังให้ไทยเป็นเจ้าภาพอยู่
เรื่องความไม่โปร่งใสในกทม.ยังมีเยอะ มีการรุมแทะงบประมาณเป็นล่ำเป็นสัน เป็นที่รู้กันดีสำหรับผู้ที่จะเอางานของกทม.ว่าจะต้องจ่ายเท่าไร
ได้มีการตั้งเป็นกติกามาตรฐานเลยว่าต้องจ่าย 30 % สำหรับคนที่จะเอางานมาให้ โดยยังไม่รวมเบี้ยบ้ายรายทางที่ต้องจ่ายอีกมาก
มีรายงานชิ้นหนึ่งของสมัชชาสภาองค์กรชุมชน กทม. ได้รายงานสถานการณ์ทุจริตใน กทม.ที่ภาคประชาชนได้ประสบ เช่น การทุจริตงบประมาณจัดซื้อ จัดจ้าง การจัดสัมมนาดูงาน การเสนอนโยบายโดยมีประโยชน์แอบแฝง เป็นต้น
ส่วนสาเหตุการทุจริต เกิดจากปัญหาระบบอุปถัมภ์และค่านิยมในทางที่ผิด เช่น ติดสินบน ยกย่องคนรวยและมีอำนาจโดยมิชอบ ปัญหาโครงสร้าง กทม.ที่ซับซ้อน ตรวจสอบยาก เสนอให้มีการปรับโครงสร้าง กทม.โดยการกระจายอำนาจให้ประชาชนมีส่วนร่วม ให้มีเลือกตั้งผู้อำนวยการเขต มีกลไกให้ประชาชนเข้าถึงง่าย โปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมกับให้จัดตั้งศูนย์ประชาสังคมเพื่อความโปร่งใสขึ้นที่สำนักงานเขตและศาลาว่าการ กทม.
ขนาดมีประชาธิปไตยเต็มใบยังตรวจสอบยาก แล้วตอนนี้จะมิแย่กว่านั้นหรือ คงได้กินเงียบ ฟาดเรียบกันแน่นอน
นี่คือความห่วงใยของคน กทม.
และนี่คือบทพิสูจน์.....ประชาธิปไตยไม่ใช่เอาเพียงแค่”การเลือกตั้ง” ซึ่งโกงได้มาเป็นตัววัด
สภาปฏิรูปแห่งชาติ ต้องมีจิตอันบริสุทธิ์ในการ”ปฏิรูป”ทุกด้านให้ผู้คนเขารับได้รับได้...
แม้แต่การปฏิรูปสภาปฏิรูปก่อนอื่นให้แล้วเสร็จ!!
ไม่ใช่คิดแต่ “ปฏิรูปคนอื่น” แต่เห็นหน้าค่าตาหลายคนในสภาแห่งนี้ยังดูมอมแบบเดิมๆอย่างที่บางคนเคยเป็น! “บางกอก ทูเดย์” จึงขอสรุปว่า....พวกคุณนั่นแหละควรปฏิรูปตัวเองเสียก่อน!! และโดยด่วน!!
เครดิต : บางกอก ทูเดย์