กลับมาอีกรอบครับสำหรับรีวิวเที่ยว UK หายไปหลายวันเลยพอดีว่าติดงานน่ะครับ = =” เอาล่ะครับรอบนี้เราเตรียมตัวไปเที่ยวที่ประเทศ Scotland กันต่อ โดยเมืองที่เราจะไปนอนกันก็คือเมือง Edinburgh ชื่อเมืองจริงๆอ่านว่า “เอดินเบอระ” นะครับ แต่เวลาออกเสียงถึงเราออกเสียงว่า “เอดินเบิร์ก” ฝรั่งเค้าก็เข้าใจครับ
การเดินทางในรอบทริปนี้ผมใช้ Britrail pass ครับเนื่องจากผมเดินทางหลายครั้งและผมคำนวณการใช้งานเทียบกับซื้อเป็นเที่ยวๆแล้วใช้ Britrail คุ้มที่สุดสำหรับผมครับ โดยผมซื้อแบบ Flexi pass 3 days within 1 month ครับ ราคาก็ประมาณ 7xxx บาท ( Standard class ) สามารถสั่งซื้อได้ผ่านเวปไซต์ของ Agency บ้านเราเช่น บริษัท ดีทแฮม เป็นต้นครับ ซึ่งการใช้ให้เรานำบัตรไป Activate ที่ตรง Ticket office ของสถานีรถไฟแห่งแรกที่เราจะเดินทางออกจากที่นั่นครับ ซึ่งถ้าเราเลือกแบบ Flexi pass เค้าจะมีช่องให้เราใส่วันที่กับเดือนที่เราต้องการเดินทางครับ
สถานีเริ่มต้นของเราวันนี้ครับ Manchester Piccadilly
ภายในรถไฟเค้าจะสะอาดมากครับ แต่ที่นั่งผมว่าแอบแคบไปหน่อย ถ้านั่ง First class คงสบายกว่านี้ แต่แพงกว่ากันเยอะอยู่ครับ ฮ่าๆ แต่ถึงยังไงรถไฟไม่เต็มอยู่แล้ว นั่งทีละสองตัวเลยก็ได้ครับ แอบลงรูปเพื่อนผมกับรถไฟให้ดูครับ
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4.40 นาทีก็จะถึงสถานี Edinburgh Waverly ครับ สัมผัสแรกที่เมืองคือ “หนาวมาก” 55+ หนาวกว่าแมนเชสเตอร์อีก ตอนนั้น 1 องศาแถมหนาวมาก ผมเลยไม่มีอารมณ์ยกกล้องถ่ายสถานีรถไฟเลย รีบจำอ้าวๆเดินไปให้ถึงโรงแรมเลยละครับ รูปนี้เป็นบริเวณหน้าโรงแรมครับ
โรงแรมของเราอีกสองคืนครับ Ibis Hotel Centre Royal Mile

ภายในโรงแรมตกแต่งดีมากครับ ผมชอบมากๆเลย ห้องนอนก็ใหญ่กว้างขวางดีมากครับ แนะนำเลยถ้าใครอยากมาพักที่เมืองนี้ในราคาที่ไม่แพงมากครับ ( แต่ลืมถ่ายรูปในห้องมาซะงั้น = =” ขอโทดด้วยครับ )
แถวๆที่พักมีกรุ๊ปทัวร์ฝรั่งมาด้วยละครับ ไม่ทราบว่าประเทศไหนเหมือนกัน มีไกด์กำลังบรรยายอยู่
เอาละครับ เก็บของกันเรียบร้อยเราก็เริ่มออกเดินเที่ยวกันดีกว่าครับ ที่พักผมอยู่ติดกันเลยกับถนน Royal Mile ซึ่งเป็นถนนที่ร้านขายของเยอะ และคนพลุกพล่านที่สุดในเมืองครับ ถ้ามาที่เมือง Edinburgh แล้วไม่ได้มาที่นี่คงเหมือนมาไม่ถึงครับ
วันนี้เรามีไกด์นำเที่ยว เป็นพี่สาวที่สนิทกันกับผมมาเรียนอยู่ที่นี่ครับ รูปนี้ถ่ายหน้าโบสถ์ St.Giles จริงๆเหมือนกับว่าโบสถ์จะมีประวัติศาสตร์หลายอย่างและเป็นที่ประกอบพิธีกรรมของราชวงศ์กษัตริย์เมื่อก่อน แต่ผมจำไม่ค่อยได้แล้วครับ
เดินมาตามถนน Royal Mile ทางฝั่งแรกจะมาถึง Edinburgh Castle ครับ สามารถเข้าชมได้แต่ต้องเสียค่าเข้าชมนะครับ ผู้ใหญ่คนละ 16 ปอนด์ แต่จะขึ้นเป็น 16.50 ปอนด์ตั้งแต่เดือนหน้าละครับ ผมไม่ได้เข้าไปนะครับชมแต่ข้างหน้า
นี่เป็นรูปฝั่งสุดถนน Royal Mile ที่เดินขึ้นมาถึง Edinburgh Castle ครับ
เดินเข้ามานิดนึงก็จะถึงทางเข้าปราสาทครับ
วิวเมืองจากปราสาทครับ สังเกตว่าเมืองนี้จะเป็นเนินเขาเดินขึ้นๆลงๆเยอะ เดินกันจนเมื่อยเลยทีเดียว ได้ประวัติมาว่าเมืองนี้สร้างเมืองใหม่ทับเมืองเก่า ดังนั้นข้างล่างลงไปจะเป็นเมืองเก่าน่ะครับ
ผมเริ่มเดินกลับทางเดิมไปอีกฝั่งหนึ่งของถนน Royal Mile ละครับ ถ่ายวิวอีกสักใบ
เดินมาสุดอีกฝั่งก็จะเป็น House of Parliament หรืออาคารรัฐสภาของเมืองครับ ผมลองวัดระยะทางถนนคร่าวๆใน google earth ประมาณ 1.6 km ครับ
ใกล้ๆกันเป็น Queen’s gallery ไม่แน่ใจว่าเป็นที่จัดแสดงสมบัติเก่าแก่ของรางวงศ์ในอดีตหรือเปล่า ต้องเสียค่าเข้าชม ผมไม่ได้เข้าไปนะครับ
ใกล้ๆกันมี Café สวยๆให้นั่งพักผ่อน
เดินกันต่อครับ! ใกล้ๆกันดูเหมือนเป็นสถานที่ๆคนเค้ามาพักผ่อนหย่อนใจกันครับ
ที่เห็นไกลๆนั้นเรียกว่า King Arthur’s seat ครับ เป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงของ Edinburgh เราสามารถเดินขึ้นไปได้ครับใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที
ขออนุญาติลงรูปผู้นำทัวร์ของผมอีกรอบ >.<
อันนี้รูปเพื่อนผมถ่ายกับ Arthur’s seat เป็นรูปที่ผมชอบที่สุดในทริปนี้ ^^
หลังจากนั้นเราก็เดินกลับกันไปอีกด้านของเมืองและมาหยุดอยู่ที่ร้านนี้ครับ “The Elephant House” ซึ่งร้านนี้เป็นร้านที่ J.K.Rowling มานั่งเขียนนิยาย Harry Potter นั่นเอง
เดินชมเมืองกันครับ ^^ ขอบอกว่าผมชอบเมืองนี้มากๆ พอๆกับสวิสเซอร์แลนด์เลยละครับ มันดูเงียบสงบแต่มมีมนต์ขลังอะไรสักอย่าง และคนสก๊อตก็น่ารักกว่าคนลอนดอนในเรื่องของมนุษยสัมพันธ์น่ะครับ
เอาล่ะครับเดินกลับไปที่ถนน Royal Mile เพื่อทานมื้อเย็นกันอีกรอบ วันนี้เราจะทานกันที่ร้าน The Filling Station ขอบอกว่าอาหารอร่อยมากกกก
จานแรกเป็นไก่ทอด ปีกไก่อบซอส และกุ้งชุบแป้งทอด อร่อยเว่อๆเลยละครับ
จานที่สอง Fish & Chips ผมว่าอร่อยพอๆกันกับที่แมนเชสเตอร์ครับ
จานสุดท้ายเป็นแซลมอนย่างครับ อร่อยดีครับ แต่ก็พอๆกับที่เมืองไทยครับ จริงๆที่เด็ดสุดของร้านนี้กลับเป็นรูทเบียร์ครับ ใครมาอย่าลืมสั่งดื่มน่ะครับ อร่อยมากๆเลยละครับ
[CR] 2 หนุ่มไทย to UK >///< Part II : " Wonderful Scotland "
การเดินทางในรอบทริปนี้ผมใช้ Britrail pass ครับเนื่องจากผมเดินทางหลายครั้งและผมคำนวณการใช้งานเทียบกับซื้อเป็นเที่ยวๆแล้วใช้ Britrail คุ้มที่สุดสำหรับผมครับ โดยผมซื้อแบบ Flexi pass 3 days within 1 month ครับ ราคาก็ประมาณ 7xxx บาท ( Standard class ) สามารถสั่งซื้อได้ผ่านเวปไซต์ของ Agency บ้านเราเช่น บริษัท ดีทแฮม เป็นต้นครับ ซึ่งการใช้ให้เรานำบัตรไป Activate ที่ตรง Ticket office ของสถานีรถไฟแห่งแรกที่เราจะเดินทางออกจากที่นั่นครับ ซึ่งถ้าเราเลือกแบบ Flexi pass เค้าจะมีช่องให้เราใส่วันที่กับเดือนที่เราต้องการเดินทางครับ
สถานีเริ่มต้นของเราวันนี้ครับ Manchester Piccadilly
ภายในรถไฟเค้าจะสะอาดมากครับ แต่ที่นั่งผมว่าแอบแคบไปหน่อย ถ้านั่ง First class คงสบายกว่านี้ แต่แพงกว่ากันเยอะอยู่ครับ ฮ่าๆ แต่ถึงยังไงรถไฟไม่เต็มอยู่แล้ว นั่งทีละสองตัวเลยก็ได้ครับ แอบลงรูปเพื่อนผมกับรถไฟให้ดูครับ
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4.40 นาทีก็จะถึงสถานี Edinburgh Waverly ครับ สัมผัสแรกที่เมืองคือ “หนาวมาก” 55+ หนาวกว่าแมนเชสเตอร์อีก ตอนนั้น 1 องศาแถมหนาวมาก ผมเลยไม่มีอารมณ์ยกกล้องถ่ายสถานีรถไฟเลย รีบจำอ้าวๆเดินไปให้ถึงโรงแรมเลยละครับ รูปนี้เป็นบริเวณหน้าโรงแรมครับ
โรงแรมของเราอีกสองคืนครับ Ibis Hotel Centre Royal Mile
ภายในโรงแรมตกแต่งดีมากครับ ผมชอบมากๆเลย ห้องนอนก็ใหญ่กว้างขวางดีมากครับ แนะนำเลยถ้าใครอยากมาพักที่เมืองนี้ในราคาที่ไม่แพงมากครับ ( แต่ลืมถ่ายรูปในห้องมาซะงั้น = =” ขอโทดด้วยครับ )
แถวๆที่พักมีกรุ๊ปทัวร์ฝรั่งมาด้วยละครับ ไม่ทราบว่าประเทศไหนเหมือนกัน มีไกด์กำลังบรรยายอยู่
เอาละครับ เก็บของกันเรียบร้อยเราก็เริ่มออกเดินเที่ยวกันดีกว่าครับ ที่พักผมอยู่ติดกันเลยกับถนน Royal Mile ซึ่งเป็นถนนที่ร้านขายของเยอะ และคนพลุกพล่านที่สุดในเมืองครับ ถ้ามาที่เมือง Edinburgh แล้วไม่ได้มาที่นี่คงเหมือนมาไม่ถึงครับ
วันนี้เรามีไกด์นำเที่ยว เป็นพี่สาวที่สนิทกันกับผมมาเรียนอยู่ที่นี่ครับ รูปนี้ถ่ายหน้าโบสถ์ St.Giles จริงๆเหมือนกับว่าโบสถ์จะมีประวัติศาสตร์หลายอย่างและเป็นที่ประกอบพิธีกรรมของราชวงศ์กษัตริย์เมื่อก่อน แต่ผมจำไม่ค่อยได้แล้วครับ
เดินมาตามถนน Royal Mile ทางฝั่งแรกจะมาถึง Edinburgh Castle ครับ สามารถเข้าชมได้แต่ต้องเสียค่าเข้าชมนะครับ ผู้ใหญ่คนละ 16 ปอนด์ แต่จะขึ้นเป็น 16.50 ปอนด์ตั้งแต่เดือนหน้าละครับ ผมไม่ได้เข้าไปนะครับชมแต่ข้างหน้า
นี่เป็นรูปฝั่งสุดถนน Royal Mile ที่เดินขึ้นมาถึง Edinburgh Castle ครับ
เดินเข้ามานิดนึงก็จะถึงทางเข้าปราสาทครับ
วิวเมืองจากปราสาทครับ สังเกตว่าเมืองนี้จะเป็นเนินเขาเดินขึ้นๆลงๆเยอะ เดินกันจนเมื่อยเลยทีเดียว ได้ประวัติมาว่าเมืองนี้สร้างเมืองใหม่ทับเมืองเก่า ดังนั้นข้างล่างลงไปจะเป็นเมืองเก่าน่ะครับ
ผมเริ่มเดินกลับทางเดิมไปอีกฝั่งหนึ่งของถนน Royal Mile ละครับ ถ่ายวิวอีกสักใบ
เดินมาสุดอีกฝั่งก็จะเป็น House of Parliament หรืออาคารรัฐสภาของเมืองครับ ผมลองวัดระยะทางถนนคร่าวๆใน google earth ประมาณ 1.6 km ครับ
ใกล้ๆกันเป็น Queen’s gallery ไม่แน่ใจว่าเป็นที่จัดแสดงสมบัติเก่าแก่ของรางวงศ์ในอดีตหรือเปล่า ต้องเสียค่าเข้าชม ผมไม่ได้เข้าไปนะครับ
ใกล้ๆกันมี Café สวยๆให้นั่งพักผ่อน
เดินกันต่อครับ! ใกล้ๆกันดูเหมือนเป็นสถานที่ๆคนเค้ามาพักผ่อนหย่อนใจกันครับ
ที่เห็นไกลๆนั้นเรียกว่า King Arthur’s seat ครับ เป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงของ Edinburgh เราสามารถเดินขึ้นไปได้ครับใช้เวลาประมาณ 45-60 นาที
ขออนุญาติลงรูปผู้นำทัวร์ของผมอีกรอบ >.<
อันนี้รูปเพื่อนผมถ่ายกับ Arthur’s seat เป็นรูปที่ผมชอบที่สุดในทริปนี้ ^^
หลังจากนั้นเราก็เดินกลับกันไปอีกด้านของเมืองและมาหยุดอยู่ที่ร้านนี้ครับ “The Elephant House” ซึ่งร้านนี้เป็นร้านที่ J.K.Rowling มานั่งเขียนนิยาย Harry Potter นั่นเอง
เดินชมเมืองกันครับ ^^ ขอบอกว่าผมชอบเมืองนี้มากๆ พอๆกับสวิสเซอร์แลนด์เลยละครับ มันดูเงียบสงบแต่มมีมนต์ขลังอะไรสักอย่าง และคนสก๊อตก็น่ารักกว่าคนลอนดอนในเรื่องของมนุษยสัมพันธ์น่ะครับ
เอาล่ะครับเดินกลับไปที่ถนน Royal Mile เพื่อทานมื้อเย็นกันอีกรอบ วันนี้เราจะทานกันที่ร้าน The Filling Station ขอบอกว่าอาหารอร่อยมากกกก
จานแรกเป็นไก่ทอด ปีกไก่อบซอส และกุ้งชุบแป้งทอด อร่อยเว่อๆเลยละครับ
จานที่สอง Fish & Chips ผมว่าอร่อยพอๆกันกับที่แมนเชสเตอร์ครับ
จานสุดท้ายเป็นแซลมอนย่างครับ อร่อยดีครับ แต่ก็พอๆกับที่เมืองไทยครับ จริงๆที่เด็ดสุดของร้านนี้กลับเป็นรูทเบียร์ครับ ใครมาอย่าลืมสั่งดื่มน่ะครับ อร่อยมากๆเลยละครับ