ก่อนการเดินทาง: http://pantip.com/topic/33121210
ระหว่างทาง: http://pantip.com/topic/33127262
ระหว่างทาง 2:
http://pantip.com/topic/33149718
หลงทาง: http://pantip.com/topic/33214165
วันที่ 4 ของทริปญี่ปุ่นยังคงเป็นการท่องเที่ยวรอบๆ โอซาก้า วันนี้พวกเราจะไปเดินเล่นที่นาระ เมืองหลวงแห่งแรกของญี่ปุ่น แต่ด้วยความที่เที่ยวตรากตรำกันมา 3 วันติดๆ ความสามารถในการตื่นเช้าของเราก็เลยลดลงเรื่อยๆ วันนี้พวกเราออกจากโรงแรมช้ากว่าแผนที่วางไว้เกือบหนึ่งชั่วโมง
จากสถานี Nishinagajima-Minamigata พวกเราจะต้องนั่ง Subway Misudoji Line ไปลงที่สถานี Namba ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Kintetsu Nara Line Rapid Express ที่สถานี Osaka-Namba วันนี้เป็นวันที่ 2 ที่พวกเราใช้บัตร Kansai Thru Pass สำหรับคนที่ไม่มีแผนจะไปปราสาทฮิเมจิอาจจะต้องเปรียบเทียบว่าระหว่างใช้บัตร Kansai Thru Pass กับจ่ายค่าโดยสารเป็นรายเที่ยวแบบไหนจะถูกกว่ากัน
ที่ชานชาลาของ Kintetsu Nara Line จะมีสัญลักษณ์วงกลมและสามเหลี่ยม (สีแดงและสีน้ำเงิน) เราจะต้องสังเกตที่ป้ายว่าขบวนที่เรานั่งประตูจะเปิดตรงไหนให้ไปยืนรอตรงสัญลักษณ์นั้นๆ จากสถานี Nishinagajima-Minamigata พวกเราใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงสถานี Kintetsu Nara
พวกเราออกจากสถานี Kintetsu Nara ทาง Exit 4 จากสถานี Kintetsu Nara เราจะต้องผ่านวัด Kofuku-ji และ Nara National Museum ก่อนที่จะถึง Nara Park และวัด Todai-ji
Nara National Museum เป็นพิพิธภัณฑ์อีกแห่งหนึ่งที่ช่วยยืนยันถึงความสนใจใฝ่รู้ของคนญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี เพราะคนต่อแถวยาวมาก เท่าที่เราสังเกตคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะแวะที่พิพิธภัณฑ์เป็นจุดแรก ต่างจากนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ที่มุ่งมั่นจะไปดูใบไม้แดงและให้อาหารกวางมากกว่า
ช่วงที่เราไปเป็นช่วง(เกือบจะ)กลางเดือนพฤศจิกายน ใบไม้เปลี่ยนสีที่ Nara Park กำลังอยู่ในช่วงพีคพอดิบพอดี สีแดงของใบไม้ตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้า มันสวยและโรแมนติกมากจริงๆ แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเราไม่เจอคู่รักชาวจีนที่มาถ่ายพรีเวดดิ้งแล้วมาแย่งม้านั่งแบบไม่บอกไม่กล่าว จนสุดท้ายกลายเป็นเราที่ต้องยอมลุกไปเอง เพราะช่างภาพยกกล้องเตรียมกดชัตเตอร์เต็มที่
หลังจากเจอมารยาทอันดีงามของคู่รักชาวจีนไป ความโรแมนติกก็หายไปในพริบตา เราก็เลยขอไปไหว้พระสงบจิตใจที่วัด Todai-ji น่าจะดีกว่า
วัด Todai-ji ถือเป็นวัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองนาระ ภายในวิหารหลักเป็นที่ประดิษฐานของพระใหญ่ไดบุทสึ พระพุทธรูปสำริดที่มีความสูง 15 เมตรและหนักถึง 500 ตัน ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ วัด Todai-ji จะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 8.00 น. ถึง 16.30 น. มีค่าเข้าชม 500 เยน
ตอนที่พวกเราเดินกลับมาที่สถานี Kintetsu Nara ก็เกือบบ่ายโมงแล้ว เราสองคนก็เลยเดินสำรวจ Higashimuki Shopping Street ที่อยู่ติดกับสถานีเสียหน่อย เผื่อว่ามีเมนูน่าสนใจจะได้ฝากท้องกันที่นี่เลย พวกเราเดินไปจนสุดทางก็เจอกับร้านขนมร้านหนึ่งที่คนต่อคิวเยอะมาก เราสองคนก็ไม่รอช้าจัดมาคนละ 1 ชิ้น เป็นขนมโมจิไส้ถั่วแดง ราคา 130 เยน ขอบอกว่าอร่อยที่สุดในสามโลก!
สำหรับมื้อกลางวัน พวกเราขอยกมื้อนี้ให้กับข้าวหน้าปลาไหลพันปี ร้านข้าวหน้าปลาไหลที่อยู่ต้นซอย (ด้านซ้ายมือ) ที่พวกเราเดินสำรวจราคาไว้ตั้งแต่ตอนแรก สาเหตุที่พวกเราเรียกว่าข้าวหน้าปลาไหลพันปีก็มาจากอายุของลูกค้าและพนักงานในร้านที่ไม่น่าจะต่ำกว่า 50-60 ปี รวมๆ กันก็ถึงพันปีพอดี ตอนนั้นพวกเราน่าจะเด็กที่สุดในร้านแล้ว น้องที่ไปด้วยบอกว่าดูจากอายุของทั้งคนทำและคนกินแล้ว น่าจะอร่อย แล้วพวกเราก็ไม่ผิดหวังจริงๆ อร่อยแล้วก็ราคาไม่แพงด้วย
หลังจากกลับจากนาระ พวกเราก็มาตะลุยหาของฝากกันต่อที่โอซาก้า รอบนี้พวกเรานั่งรถไฟไปลงที่สถานี Shinsaibashi แล้วค่อยเดินย้อนกลับมาที่ย่าน Dotonbori
Shinsaibashi-suji Shopping Street จะอยู่ด้านหลังห้าง Daimaru ตลอดสองข้างทางมีร้านค้าเยอะมาก โดยเฉพาะเสื้อผ้าและเครื่องสำอางที่ราคาถูกจริงอะไรจริง แต่ว่าเราไม่ใช่ขาช้อปก็เลยได้แต่เดินดูเฉยๆ ของที่ได้เงินจากกระเป๋าเรามีแค่ 2 อย่างเท่านั้นคือ คิทแคทและสเปรย์คลายกล้ามเนื้อ
หลังจากที่ต้องเดินและเดินมา 4 วันเต็มๆ เรายอมรับเลยว่าปวดเท้ามาก สุดท้ายก็เลยต้องยอมควักกระเป๋าซื้อสเปรย์ฯ แถมตอนแรกซื้อผิดอีกต่างหาก เพราะมองหา Spray for Muscle Pain Relief ไม่เจอ มีแต่ Athlete’s Foot Powder ตอนที่ดูรูปเราก็คิดว่าไม่น่าใช่ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ เพราะมีแต่ภาษาญี่ปุ่น เราเลยไปถามพนักงานแบบงูๆ ปลาๆ ว่าสำหรับเท้าเจ็บรึเปล่า พนักงานดันตอบว่าใช่อีก แต่หลังจากที่จ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว เราก็ยังรู้สึกว่ามันไม่น่าใช่ก็เลยหาข้อมูลในกูเกิ้ลดู ปรากฏว่า Athlete’s Foot Powder มันคือยารักษาโรคน้ำกัดเท้า สุดท้ายเราก็ต้องกลับไปซื้อใหม่และเสียเงินเกือบ 500 บาทไปฟรีๆ
เย็นนี้พวกเราไม่ต้องรีบมาก มีเวลาเดินเล่นและหาอะไรกินที่ย่าน Dotonbori แบบสบายๆ เราสองคนก็เลยไปซื้อ PABLO ชีสเค้กชื่อดังของโอซาก้ามาลองชิมพร้อมกับนั่งดูบรรยากาศริมคลองไปเรื่อยๆ เราได้ยินชื่อเสียงของชีสเค้ก PABLO มาค่อนข้างเยอะ แต่สำหรับพวกเราบอกได้เลยว่าไม่ถูกปากเท่าไหร่ เรื่องอาหารการกินขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนจริงๆ
[CR] [[JAPAN DIARY]] บันทึกการเดินทางในวันที่ใครๆ ก็ไปญี่ปุ่น (KYOTO-OSAKA-KOBE-NARA 5 วัน 6 คืน) :: จบการเดินทาง ::
ระหว่างทาง: http://pantip.com/topic/33127262
ระหว่างทาง 2: http://pantip.com/topic/33149718
หลงทาง: http://pantip.com/topic/33214165
วันที่ 4 ของทริปญี่ปุ่นยังคงเป็นการท่องเที่ยวรอบๆ โอซาก้า วันนี้พวกเราจะไปเดินเล่นที่นาระ เมืองหลวงแห่งแรกของญี่ปุ่น แต่ด้วยความที่เที่ยวตรากตรำกันมา 3 วันติดๆ ความสามารถในการตื่นเช้าของเราก็เลยลดลงเรื่อยๆ วันนี้พวกเราออกจากโรงแรมช้ากว่าแผนที่วางไว้เกือบหนึ่งชั่วโมง
จากสถานี Nishinagajima-Minamigata พวกเราจะต้องนั่ง Subway Misudoji Line ไปลงที่สถานี Namba ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Kintetsu Nara Line Rapid Express ที่สถานี Osaka-Namba วันนี้เป็นวันที่ 2 ที่พวกเราใช้บัตร Kansai Thru Pass สำหรับคนที่ไม่มีแผนจะไปปราสาทฮิเมจิอาจจะต้องเปรียบเทียบว่าระหว่างใช้บัตร Kansai Thru Pass กับจ่ายค่าโดยสารเป็นรายเที่ยวแบบไหนจะถูกกว่ากัน
ที่ชานชาลาของ Kintetsu Nara Line จะมีสัญลักษณ์วงกลมและสามเหลี่ยม (สีแดงและสีน้ำเงิน) เราจะต้องสังเกตที่ป้ายว่าขบวนที่เรานั่งประตูจะเปิดตรงไหนให้ไปยืนรอตรงสัญลักษณ์นั้นๆ จากสถานี Nishinagajima-Minamigata พวกเราใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงสถานี Kintetsu Nara
พวกเราออกจากสถานี Kintetsu Nara ทาง Exit 4 จากสถานี Kintetsu Nara เราจะต้องผ่านวัด Kofuku-ji และ Nara National Museum ก่อนที่จะถึง Nara Park และวัด Todai-ji
Nara National Museum เป็นพิพิธภัณฑ์อีกแห่งหนึ่งที่ช่วยยืนยันถึงความสนใจใฝ่รู้ของคนญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี เพราะคนต่อแถวยาวมาก เท่าที่เราสังเกตคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะแวะที่พิพิธภัณฑ์เป็นจุดแรก ต่างจากนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ที่มุ่งมั่นจะไปดูใบไม้แดงและให้อาหารกวางมากกว่า
ช่วงที่เราไปเป็นช่วง(เกือบจะ)กลางเดือนพฤศจิกายน ใบไม้เปลี่ยนสีที่ Nara Park กำลังอยู่ในช่วงพีคพอดิบพอดี สีแดงของใบไม้ตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้า มันสวยและโรแมนติกมากจริงๆ แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเราไม่เจอคู่รักชาวจีนที่มาถ่ายพรีเวดดิ้งแล้วมาแย่งม้านั่งแบบไม่บอกไม่กล่าว จนสุดท้ายกลายเป็นเราที่ต้องยอมลุกไปเอง เพราะช่างภาพยกกล้องเตรียมกดชัตเตอร์เต็มที่
หลังจากเจอมารยาทอันดีงามของคู่รักชาวจีนไป ความโรแมนติกก็หายไปในพริบตา เราก็เลยขอไปไหว้พระสงบจิตใจที่วัด Todai-ji น่าจะดีกว่า
วัด Todai-ji ถือเป็นวัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองนาระ ภายในวิหารหลักเป็นที่ประดิษฐานของพระใหญ่ไดบุทสึ พระพุทธรูปสำริดที่มีความสูง 15 เมตรและหนักถึง 500 ตัน ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ วัด Todai-ji จะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 8.00 น. ถึง 16.30 น. มีค่าเข้าชม 500 เยน
ตอนที่พวกเราเดินกลับมาที่สถานี Kintetsu Nara ก็เกือบบ่ายโมงแล้ว เราสองคนก็เลยเดินสำรวจ Higashimuki Shopping Street ที่อยู่ติดกับสถานีเสียหน่อย เผื่อว่ามีเมนูน่าสนใจจะได้ฝากท้องกันที่นี่เลย พวกเราเดินไปจนสุดทางก็เจอกับร้านขนมร้านหนึ่งที่คนต่อคิวเยอะมาก เราสองคนก็ไม่รอช้าจัดมาคนละ 1 ชิ้น เป็นขนมโมจิไส้ถั่วแดง ราคา 130 เยน ขอบอกว่าอร่อยที่สุดในสามโลก!
สำหรับมื้อกลางวัน พวกเราขอยกมื้อนี้ให้กับข้าวหน้าปลาไหลพันปี ร้านข้าวหน้าปลาไหลที่อยู่ต้นซอย (ด้านซ้ายมือ) ที่พวกเราเดินสำรวจราคาไว้ตั้งแต่ตอนแรก สาเหตุที่พวกเราเรียกว่าข้าวหน้าปลาไหลพันปีก็มาจากอายุของลูกค้าและพนักงานในร้านที่ไม่น่าจะต่ำกว่า 50-60 ปี รวมๆ กันก็ถึงพันปีพอดี ตอนนั้นพวกเราน่าจะเด็กที่สุดในร้านแล้ว น้องที่ไปด้วยบอกว่าดูจากอายุของทั้งคนทำและคนกินแล้ว น่าจะอร่อย แล้วพวกเราก็ไม่ผิดหวังจริงๆ อร่อยแล้วก็ราคาไม่แพงด้วย
หลังจากกลับจากนาระ พวกเราก็มาตะลุยหาของฝากกันต่อที่โอซาก้า รอบนี้พวกเรานั่งรถไฟไปลงที่สถานี Shinsaibashi แล้วค่อยเดินย้อนกลับมาที่ย่าน Dotonbori
Shinsaibashi-suji Shopping Street จะอยู่ด้านหลังห้าง Daimaru ตลอดสองข้างทางมีร้านค้าเยอะมาก โดยเฉพาะเสื้อผ้าและเครื่องสำอางที่ราคาถูกจริงอะไรจริง แต่ว่าเราไม่ใช่ขาช้อปก็เลยได้แต่เดินดูเฉยๆ ของที่ได้เงินจากกระเป๋าเรามีแค่ 2 อย่างเท่านั้นคือ คิทแคทและสเปรย์คลายกล้ามเนื้อ
หลังจากที่ต้องเดินและเดินมา 4 วันเต็มๆ เรายอมรับเลยว่าปวดเท้ามาก สุดท้ายก็เลยต้องยอมควักกระเป๋าซื้อสเปรย์ฯ แถมตอนแรกซื้อผิดอีกต่างหาก เพราะมองหา Spray for Muscle Pain Relief ไม่เจอ มีแต่ Athlete’s Foot Powder ตอนที่ดูรูปเราก็คิดว่าไม่น่าใช่ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ เพราะมีแต่ภาษาญี่ปุ่น เราเลยไปถามพนักงานแบบงูๆ ปลาๆ ว่าสำหรับเท้าเจ็บรึเปล่า พนักงานดันตอบว่าใช่อีก แต่หลังจากที่จ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว เราก็ยังรู้สึกว่ามันไม่น่าใช่ก็เลยหาข้อมูลในกูเกิ้ลดู ปรากฏว่า Athlete’s Foot Powder มันคือยารักษาโรคน้ำกัดเท้า สุดท้ายเราก็ต้องกลับไปซื้อใหม่และเสียเงินเกือบ 500 บาทไปฟรีๆ
เย็นนี้พวกเราไม่ต้องรีบมาก มีเวลาเดินเล่นและหาอะไรกินที่ย่าน Dotonbori แบบสบายๆ เราสองคนก็เลยไปซื้อ PABLO ชีสเค้กชื่อดังของโอซาก้ามาลองชิมพร้อมกับนั่งดูบรรยากาศริมคลองไปเรื่อยๆ เราได้ยินชื่อเสียงของชีสเค้ก PABLO มาค่อนข้างเยอะ แต่สำหรับพวกเราบอกได้เลยว่าไม่ถูกปากเท่าไหร่ เรื่องอาหารการกินขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนจริงๆ