ประวัติ อ.สุเมธ มามาตย์ กว่าจะมาเป็นวันนี้เผื่อใครยังไม่รู้

เยี่ยมข้อมูลต่อไปนี้ผมได้เรียบเรียงและนำข้อมูลมาจาก Facebook ของอาจารย์โดยตรงไม่มีการแก้ไขข้อมูลใดๆทั้งสิ้น.....โดยอาจารย์ได้อัพสถานะบนเฟสบุ๊คขึ้นเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2557 ผมสืบค้นข้อมูลและขออนุญาตนำข้อมูลมาเผยแพร่ ในวันที่ 14 มีนาคม 2558 อยากให้เพื่อนใน pantip ได้อ่าน.. ดูนะครับ ทุกตอนมีข้อคิดอยู่ครับ

อมยิ้ม04ตอนที่ 1 เขาบอกว่าเล่าความหลังเป็นคนแก่น่าจะจริงนะ...........นึกถึงสมัยเด็ก ๆ ตอนเรียนชั้นมัธยมโรงเรียนเหนือคลองประชาบำรุง ปั่นจักรยานไปเรียนทุกวันจักรยานที่ปั่นก็เป็นจักรยานเก่าของตาโดยที่พ่อได้เอาไปซ่อมให้กับร้านที่อยู่บนเกาะชื่อร้านปะบู (ปัจจุบันลูกชายของเขาเปิดอู่ใหญ่โตมากใน ต.คลองยาง) ซึ่งมีทะเบียนด้วยในตอนนั้นยี่ห้อ Superman โดยที่หัวจักยานต้องแขวนไว้ด้วยถุงสินค้า แล้วแต่ฤดูกาล อาจจะเป็นมะเฟืองหวานที่มีอยู่ 1 ต้น ข้างบ้านปู่ หรืออาจจะมีเงาะที่อยู่หลังบ้านโดยมีพันธ์ในตอนนั้นไม่รู้หรอกว่ามันเป็นไงบ้างแต่ก็แยกออกในตอนนี้ว่า เงาะนาสาร (เงาะโรงเรียนปัจจุบัน) เงาะพันธ์เจ๊ะโมง (เปลือกหนาหวาน) และพันธ์สีชมพู (เปลี่ยวหวาน ผมชอบ) ซึ่งสวนเงาะหลังบ้านของปู่กับย่าในตอนนั้นก็จะเป็นอาชีพหนึ่งที่จะต้องดูและเก็บเกี่ยวผลไปขาย รวมทั้งทุเรียนที่อยู่ระหว่างเงาะด้วย ผมเป็นคนขี้เกียจก็เลยโดนปู่ด่าเป็นประจำว่าทำไมไม่เอาผลของเงาะมะเฟืองไปขาย ผมบอกว่าเขาไม่ซื้อหรอก ที่ตลาดมีตั้งเยอะแยะ ทำไมเขาต้องซื้อของเรา ปู่บอกว่า การขายของไม่ได้หมายความว่าเราจะขายเขาอย่างเดียวอันดับแรกให้เขาชิมก่อนให้เขาพอใจกับสิ่งที่เรานำเสนอแล้วค่อยขายทีหลัง ผมก็เลยจัดการหิ้วมะเฟืองไปก่อนโดยให้เพื่อนในห้องได้ชิมซึ่งไม่มีใครกล้ากินเพราะความเข้าใจคือมะเฟืองต้องเปลี่ยว แต่ผมก็กินให้ดูก็มีเพื่อกินตามกินกันทั้งห้องปรากฏว่ามีคนสั่งซื้อ ตอนนั้นผมขายใบละ 1 บาทผมขนมะเฟืองไปขายวันละประมาณ 10 ใบเพื่อแลกกับเงิน 10 บาท และเงาะก็เหมือนกันใช้วิธีการเดียวกัน การปั่นจักยานไปเรียนทุกวันก็ทำให้กางเกงเสียดสีกับอานรถจักยานจนทำให้กลายเป็นกางเกงตูดขาดย่าก็ทำการปะแล้วปะอีก.....

อมยิ้ม04ตอนที่ 2 การเดินทางไปโรงเรียนไม่ได้ง่ายอย่างเด็กนักเรียนในปัจจุบันระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตรนับเป็นเรื่องที่จะต้องเจอระหว่างทางไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละอองจากถนนลูกรัง และโคลนในช่วงหน้าฝนบางทีดินเหนียวติดในล้อต้องใช้ไม้เขี่ยออกกว่าจะไปได้มีเพื่อนผมหัวใสแกบอกว่าถอดบังโคลนและหุ้มโซ่ทั้งหมดจะได้ไม่ติดขัด ก็พากันไปถอดออกทั้งหมด ปรากฏว่าขี่ง่ายจริงสะดวกมากแต่ผลก็คือขี้โคลนมันดีดขึ้นไปบนหัวเสื้อกางแกงแดงเป็นสีขี้โคลน (ผลของการคิดไม่ครบ) กลับมาบ้าน เสื้อผ้าเปียกหมด กลับมาทำยังไงต่อในเมื่อเสื้อผ้ามีแค่ชุดเดียว ก็ต้องกลับมาซักและรีด ซักนี้พอทำเนาแต่รีดนี่ซิคือปัญหา เพราะว่าเตารีดเป็นเตารีดที่ใช้ถ่านที่ควบคุมความร้อนไม่ได้ (นี่คือเหตุผลที่ต้องเรียนระบบการควบคุมอัตโนมัติ) บางทีเสื้อผ้าแห้งไม่ทันก็ต้องรีดเอา ถ้าหน้าฝนก็จะเป็นประมาณนี้ตลอด และอีกอย่างหนึ่งที่เป็นภาพที่จำไม่ลืมคือการย่างรองเท้า รองเท้าเปียกน้ำ......มีต่อคับเด็กให้เก็บข้อสอบ

อมยิ้ม04ตอนที่ 3 เมื่อรองเท้าเปียกก็ต้องทำให้มันแห้งร้องเท้ามันรีดไม่ได้ ก็จำเป็นที่จะต้องย่างเพราะถ้าแต่งตัวไม่เรียบร้อยเดี๋ยวก็จะไปเจอกับหัวหน้าฝ่ายปกครองในเวลานั้นคือ อ.ธงชาติ เวสพันธ์ (ผอ.กองการศึกษา อบจ.กระบี่ ในปัจจุบัน) ซึ่งพวกเราให้สมยานามท่านว่า สกายไรเดอร์ (หนังสกายไรเดอร์ เด็กอย่างพวกเราติดกันในสมัยนั้น) เพราะคอนเซ็ปของท่านเหมือนสกายไรเดอร์ รถก็สีแดงมีหมวกกันน๊อกสีส้มอะไรประมาณนี้แหละคับ ท่านเข็มกับพวกเรามาก ต้องใส่รองเท้าถูกระเบียบ เข็มขัดต้องโอเค ทรงผม และอีกสารพัดที่ท่านจะงัดขึ้นมาเข้มงวดกับพวกเรา (ถ้าไม่มีท่านเราเป็นอย่างไรบ้างไม่รู้ตอนนี้) และนี่ก็เป็นต้นตอของการย่างรองเท้าทุกวันในหน้าฝน มีอยู่วันหนึ่งก็ย่างร้องเท้าเป็นปกติ ก็นั่งเฝ้ากลับด้านอยู่เหมือนเดิมเพราะการย่างรองเท้านั้นมีกรรมวิธีมาก ถ้าไม่เคนย่างก็จะกลายเป็นเหยื่อไปเลย คือต้องใช้ไฟที่อ่อนมาก ๆ แล้วต้องคอยกลับด้านอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้เกิดความร้อนสะสมมากเกินไป >>>>> มีต่อไปส่งข้อสอบก่อน

อมยิ้ม04ตอนที่ 4 นั่นคือปัญหาที่จะต้องแก้เมื่อรองเท้าเปียก การอบหรือย่างรองเท้าจะต้องใช้เทคนิคอยู่ประมาณหนึ่งแต่ทั้งหมดอยู่บนความเอาใจใส่ในการเฝ้าเพื่อที่จะให้มันแห้งต่างหาก อุบัติเกิดขึ้นได้ด้วยความประมาทอย่างที่แก้ไขไม่ได้นั่นคือในขณะที่ย่างรองเท้าอยู่นั่นนั่งหลับซะนี่ ผลปรากฏไฟไหม้รองเท้าไปข้างหนึ่ง ตายห่าหละกรูทีนี้เอาอะไรใส่ไปโรงเรียนพรุ่งนี้วะ ในใจคิด ถ้าใส่รองเท้าแตะเจอ อ.ธงชาติ ซวยเลยนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะรองเท้าคู่นั้นก็เพิ่งซื้อมาและกว่าจะได้รองเท้าแต่ละคู่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ พอตอนเช้าลุกขึ้นไปพูดพร่ำทำเพลงบรรเลงเอามีดพร้อมยาใส่แผลผ้าพันแผล โดยการบรรจงเชือดเท้าตัวเองเพื่อให้เป็นแผลเพื่อที่จะเป็นข้อหรือเหตุผลไปอธิบายให้กับ อ.ธงชาติ ให้ได้ เพราะถ้าบอกความจริง อ.เขาคงไม่เชื่อแน่ ก็เป็นอย่างที่ว่าจริง....ติดตามตอนที่ 5

อมยิ้ม04ตอนที่ 5 เป็นอย่างที่คาดฝนตกปรอย ผมและเพื่อน ๆ ได้ปั่นจักรยานเข้ามาทางข้างหลังของโรงเรียน นป (ในป่า นั่นคือสิ่งที่พวกเราเรียกมันมีแต่ป่าจริง ๆ ) เขาไม่เข้าแถวพอดีวันนั้นพวกเราจะจอดจักยานไว้อย่างเท่ห์มาก ๆ คือทันตรงไหนก็กองไว้ตรงนั้นหละเพราะคิดว่าคงไม่มีใครมาขโมยรถเก่า ๆ หรอก แล้วทำการลอดใต้รั้วลวดหนามจะเข้าห้องเรียนพอดี ห้องเรียนก็จะเป็นห้องเปิดประทุนลมเข้าได้รอบทั้ง 4 ด้านเพราะเป็นอาคารชั่วคราว (ชั่วคราวแบบถาวรเพราะผมเข้ามาเรียนที่นี่ก็เจออาคารนี้แล้วผมจบออกไปก็ยังมีเรียนอีก) ห้องเรียนของผมจะเป็นห้องสุดท้ายห้องที่ 6 ตอนนั้นเขาเรียกห้องนี้ว่า ห้องอุตสาหกรรมศิลป์ เป็นอย่างไรผมไม่รู้แต่ผมรู้แค่ว่าเรียนอะไรก็ได้ที่ได้ซ่อมวิทยุได้ซ่อมเทปเป็นพอ พอทำท่าจะเข้าห้องเรียน อ.ธงชาติ เดินลัดขอบลวดหนามมาพอดีจ๊ะเอ๋ อย่างจังคนที่แต่งตัวเรียบร้อยก็ผ่านไปได้คนที่คาราคาซังมีอยู่ 2-3 คนหนึ่งในนั้นมีผมอยู่ด้วย คำถามแรกทำไมไม่ใส่รองเท้าให้ถูกต้อง ผมก็บอกว่าผมเหยียบจอบเป็นแผลใส่รองเท้าไม่ได้คับ ด้วยความเก๋าเกมส์ที่เจอเด็กกวน ๆ มาเยอะ อ.ธงชาติ ก็เลยบอกว่าไหนแกะดูแผลซิหลอกครูหรือป่าว ผมก็จัดการแกะผ้าพันแผลออก พอ อ.ธงชาติ เห็นแผลจริงแกก็เลยปล่อยผมให้เข้าห้องเรียน แต่เรื่องมันไม่ได้จบอยู่แค่นั้น...... มีต่อตอนที่ 6

อมยิ้ม04ตอนที่ 6 เรื่องการเชือดเท้าตัวเองก็ลือกันไปกับกลุ่มของพวกญาติ ๆ ที่ อ.เหนือคลอง ต้องบอกก่อน พ่อเป็นคน ต.คลองเขม้า อ.เหนือคลอง ส่วนแม่อยู่ ต.คลองยาง อ.เกาะลันตา จ.กระบี่เช่นกัน ผมไม่รู้ด้วยเหตุผลกลถึงได้แต่งงานกัน เกิดมาจำความได้ก็อยู่ อ.เกาะลันตาแล้ว เวลาจะไปบ้านก็จะเป็น เรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะจะต้องเดินจากบ้านโคกยูง ซอยพังกาลอด ปัจจุบัน (ซอยนี้เกิดมาก็ได้ยินแล้วไม่รู้ใครตั้งชื่อให้เหมือนกัน) ไปยังท่าเรือคลองยางระยะทางน่าจะสักประมาณ 3 กิโลเมตร เห็นจะได้ ก็ต้องลงเรือหางยาวจากท่าเรือคลองยางแล้วไปขึ้นที่ ท่าเรือน้ำท่อ ที่ ต.คลองพน อ.คลองท่อม หลังจากนั้นก็ต้องต่อรถ 2 แถวไปคอยรถเมล์ประจำทางที่คลองพน สมัยนั้นก็จะมีรถ ภูเก็ต - หาดใหญ่ กับ นคร- หาดใหญ่ ซึ่งรถแต่ละเที่ยวก็จะแน่นมาก ก็เลยทำให้รถมันเอียงเพราะน้ำหนักของคน และนี่ก็เป็นที่มาของคำสโลแกน ที่ว่า "เยเหมือนรถคอน" เพราะรถนครฯ เป็นรถที่ขนสินค้าส่วนหนึ่งไปให้คนฝั่งภูเก็ต เพราะคนฝั่งภูเก็ตเป็นคนที่รวยมากจากการทำเหมืองแร่ดีบุกในตอนนั้น ก็ต้องนั่งรถสายพวกนี้อย่างเบียดเสียด พอดูภาพที่รถโดยสารในอินเดียก็คงประมาณนั้น แล้วไปลงที่ แยกเหนือคลอง แล้วทำการนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างเข้าไปยังบ้านจองปู่ ถ้าไปบ้านปู่ตอนนั่งรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างนี้ผมจะสนุกมากเพราะเขาจะให้นั่งตรงถังน้ำมันข้างหน้า ดูมันสนุกมากแล้วก็ซ้อนกันไปอย่างน้อยต้อง 3 หรือ 4 คน ประมาณนี้ต่อรถ 1 คัน ในตอนนั้นไม่มีใครใส่หมวกกันน๊อก จับซ้อน 2 ไม่มีไม่รู้จัก เรื่องการเชือดเท้ารู้ถึงหูของแม่และพ่อที่บ้านเกาะลันตา............ มีต่อตอน 7 คับ

อมยิ้ม04ตอนที่ 7 เมื่อเรื่องถึงที่บ้านพ่อกับแม่ก็เดินทางมาเยี่ยม การเดินทางในแต่ละเมื่อก่อนไม่ว่าไปเยี่ยมใคร แม่ก็จะติดไม้ติดมือไปฝากคนโน้นคนนี้ ตลอดที่ได้ชื่อและแม่ทำอร่อยมากคือ กุ้งเปรี้ยวหรือที่เรียกว่า จาหลู ซึ่งทำจากตัวเคยหรือ กุ้งเคย หรือกุ้งตัวเล็กที่เขาใช้อวนเขียวตาถี่หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ซี่หริง (ผมก็ไม่รู้ว่ามาจากรากศัพท์อะไร) มาดักจับช่วงน้ำลงกุ้งประเภทนี้หละที่เขาเอาไปทำกะปิซึ่งให้โปรตีนสูงมาก ๆ นั่นก็จะเป็นที่ชื่นชอบของคนดอนมาก เมื่อคนเลมาเยี่ยมก็ต้องมี จาหลู หรือ ปลาเค็ม หรือกะปิมาฝากเป็นประจำ และอีกอย่างที่แม่ทำอร่อยและชอบเอามาฝากปู่และย่า เป็นประจำเมื่อก่อนคือ ปลาใส่พอง กระบวนทำก็ทำคล้าย ๆ ปลาร้าทางฝั่งอิสานยังไงยังงั้น เพราะมีข้าวคั่วด้วย พ่อแม่หิ้วของฝากพรุงพรัง เพื่อที่จะมาเยี่ยมลูกชาย แม่มาถึงก็คุยกับย่า ย่าก็เล่าเรื่องวีรกรรมของผมย่างรองเท้าแล้วไฟไหม้ จนไม่กล้าไปเรียน จึงต้องเชือดเท้าตัวเองเพื่อทำเป็นแผล แม่ร้องให้นี่คือการทำให้ผู้บังเกิดเกล้าต้องมีน้ำตาตกจากผมเพราะผมทำไปไม่ได้คิดอะไรมากแค่กลัว อ.ธงชาติ แต่กลับกลายต้องทำให้น้ำตาผู้เป็นแม่ต้อง ร่วงหล่นมันเป็นเรื่องที่แลกไม่ได้จริง ๆ ......มีต่อตอนที่ 8

อมยิ้ม04ตอนที่ 8 ความทุลักทุเลมันอยู่ใกล้ตัวผมเสมอมันไม่ยอมทิ้งห่างจากผมไปเลย เรียนไปก็เท่านั้นอยากซ่อมวิทยุ อยากซ่อมเทปไม่เห็นมีใครสอนผมเลยในห้อง อุตสาหกรรมก็เลยการเป็นเด็กค่อนข้างไม่ค่อยเอาใจใส่ในการเรียนมากนัก เรียนขอแค่ผ่านไม่ติด 0 เป็นอันใช้ได้ แต่นั่นก็ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่ไม่ติด 0 เลยเจอเอา 1 ตัววิชา นาฏศิลป์ โดยมี อ.กาญจนา สังคำ (ปัจจุบันน่าจะเป็น เจียวก๊ก) สอนรำ ลองนึกดูนิ้วมือแข็งอย่างเรามันจะรำไรได้ก็เลยติด 0 ไปตามระเบียบ ที่ติดนี้ไม่ได้หมายความว่าจะรำไม่สวยแล้วติดนะครับ คือผมไม่รำเลย ผมเขิญตัวเองมากกว่าถ้าทำอย่างที่ อ.เขาว่าถึงไม่สวยก็คงผ่านไม่ตกหรอก พอตกแล้วเป็นไง พรรคพวกเยอะติดกันหลายคน อาวเป็นเรื่องสนุกหละทีนี้เพราะก้วนที่ตกคือเก็งถีบจักรยานมาโรงเรียนเกือบทั้งก้วน งานที่ อ.กาญนา สั่งให้ทำสั่งให้ทำถ้าไปแก้ด้วยการรำ ท่านคงคิดแล้วหละว่าพวกเราคงไม่เวอคแน่ เพราะคาบของเขาเราโดดไปทอยหลุมเป็นประจำ ฮา การทอยหลุมคืออะไรคือการละเล่นอย่างหนึ่งที่ใช้เหรียญบาทหมุนลงไปในดิให้ลึกซัก 1/3 ของเหรียญนั่นคือหลุมแล้ววัดระยะทางออกไปสัก 3-4 ก้าวแล้วแต่ตกลง ใช้เหรียญบาทโยนไปหาหลุมที่ขุดใครใกล้ที่สุดชนะ แล้วได้เหรียญนั้นไปคล้าย ๆ กับเขาตีกอฟปัจจุบันยังไงยังงั้น..... มีต่อตอน 9
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
อมยิ้ม04ตอนที่ 9 นั่นคือภารกิจหลักที่ทำให้เราติด 0 แต่ 0 ก็ไม่ใช่ประเด็นหลักของพวกเราประเด็นหลักของพวกเราคือติดแล้วแก้ยังไงต่างหาก การเรียนผมก็จะติดในกลุ่ม บ๊วยสุดของห้อง หัวหน้าก๊วนพาไปไหนก็ เอากับเขาด้วยอย่างนั้น กล่าวถึงเรื่องการลอยหลุมมันต้องใช้กำลังภายในก็คราวที่หนี อ.ธงชาติ นี่หละวันนั้นผมไม่ได้ไปเล่นกับเขาโชคดีที่ไม่มีตัง นั่ง ๆ นอน ๆ ตอนเที่ยงใต้ร่มไม้หลังห้องเรียน มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ อ่าหลี แนวหาด วิ่งกระหืดกระหอบแล้วมานั่งอยู่แถวพวกเรานั่งอยู่พวกเราถาม เฮ้ยหนีอะไรมาวะ อ่าหลี ไม่พูดได้แต่นั่งหอบ พอหายหอบมันก็เล่าว่า กูไปทอยหลุมแล้วมีคนตะโกนบอกว่า อ.ธงชาติ มาแค่นั้น มันบอกว่ากูก็ไม่รู้ว่ามานั่งที่นี่ได้อย่างไร รุ่นพี่ที่ตะโกนบอกว่า อ.ธงชาติมาเว้ย นั้นเขาเล่าให้ฟังว่า อ่าหลีไม่เคยไปเล่นทอยหลุมเพิ่งไปครั้งแรก พอได้ยินชื่อ อ.ธงชาติ แกวิ่งไม่คิดชีวิตกระโดดข้ามลวดหนามที่สูงประมาณเกือบท่วมหัวคนที่วิ่งตาม เบรคกันเป็นแถว ก็เลยรู้ว่านี่คือกำลังภายในที่สอนโดย อ่าหลี แนวหาด พวกเราติด 0 วิชานาฏศิลป์ เพราะไม่รำ เพลง รามแสงเดือน มาเยือนส่องหล้า งามใบหน้ามาสู่วงรำ ฮา ๆๆๆๆๆ ผลปรากฏว่าวิธีการให้แก้ของ อ.กาญนา คือการตัดไม้ไผ่ คนละประมาณ 10 ต้นถ้าจำไม่ผิด อ.เขาจะเอาไปทำเล้าไก่ โอพระเจ้า สิ่งที่ อ.เขาสั่งเหมือนเขารู้เลยว่านั่นคือทางของเรา พวกเราไปตัดไม้ไผ่ พาดหัวจักรยานแล้วพาดตรงอานเพื่อที่จะนำไม้ไผ่ที่ตัดได้ไปส่ง อ.กาญจนา ที่บ้านเลยหัวสะพาน จ่าแสวงหรือโค้งน้ำเขียว(แถบนี้เป็นที่ร่ำลือว่าผีหลอกเก่งแถว) ไปหน่อยหนึ่ง ขับจักรยานไล่หลังกันไปเป็นแถวโดยเวลาปั่นนั่งบนไม้ไผ่แล้วปั่นไปเรื่อย ๆโอสนุกมาก ส่งเสร็จแล้วก็ปั่นจักรยานกลับ อะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น ความคันก็มาเยือนซิคับเพราะคายของไม้ไผ่ที่ติดต้นไผ่อยู่ตอนนี้มันเข้าไปถึงข้างในเป็นที่เรียบร้อย สนุกเลยงานนี้ยิ่งคันยิ่งเกายิ่งเกายิ่งแดง แล้วเลือดออก โอก็ต้องใช้ยากทา ย่าบอกว่าทาน้ำหมากเดี๋ยวก็หาย ต้องอย่าลืมว่าคนในยุคก่อนมีไรใกล้มือเขาเอามาทดลองหมดน้ำหมาก ก็ด้วยความคันน้ำหมากก็เอา น้ำหมากมีปูน แล้วมาเจอกับ หนังอ่อน ๆ อะไรเกิดขึ้นไม่อยากอธิบายต่อบอกได้คำเดียว แสบ ๆๆๆๆ มีต่อตอน 10 คับ

อมยิ้ม04ตอนที่ 10 หัวเลี้ยวหัวต่อเมื่อมาเจอกับสิ่งที่ชอบ ซึ่งไม่เคยเจอเลยที่เรียนมา 2 ปีมีแต่ทะโมนไปวัน ๆ เมื่อวันหนึ่งซึ่งผมจำได้อย่างแม่นยำจนถึงปัจจุบันนี้คือครูคนหนึ่งที่จำไม่เคยลืม เขาสั่งให้ทำรายงานเรื่อง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยมี หัวข้อดังต่อไปนี้ คือ ตัวต้านทาน ตัวเก็บประจุ ทรานฟอร์เมอร์ และไดโอด ผมมีความรู้สึกว่านี่หละคือสิ่งที่เราข้ามน้ำข้ามทะเลมาก็เพื่อสิ่งนี้แหละ ผมนอนไม่หลับกับการบ้านที่ ครูคนนั้นสั่งให้ทำชื่อของท่านคือ อ.วิทยา ทองเนื้อห้า ปัจจุบันผมก็ไม่รู้ว่าท่านไปอยู่ไหนแล้ว ผมตั้งใจกับการทำรายงานฉบับนี้มาก ซึ่งในชีวิตไม่เคยเข้าห้องสมุดเลยทำรายงานก็ลอกของชาวบ้านเขาทั้งหมด แต่รายงานฉบับนี้ผมเขียนเป็นอาทิตย์เขียนทุกวันโดยใช้หนังสือหลายเล่มมาก หนึ่งในนั้นก็คือหนังสือของ อ.ลำพูน ถูกจิตต์ (ถ้าจำนามสกุลผิดก็ของอภัยด้วย) เป็นหนังสือที่ดีมาก ๆ ด้วยความที่อยากได้หนังสือมากแต่ไม่มีเงินซื้อ และอีกอย่างก็ไม่รู้ไปซื้อที่ไหน จำได้แม่นในหนังสือมันมีหน้าที่นำอุปกรณ์มาต่อบนหัวตะปู ผมก็จัดการฉีกหน้านั้นโดยที่ไม่คิดอะไรมาก และหน้าที่เหลือก็เข้าไปอ่านทุกวัน อ่านจนจำได้ว่าหลักการเฮตเทอรโรดายน์ทำงานเป็นอย่างไรก่อนเรียน ปวช.ซะด้วยซ้ำ จากการบ้านที่ อ.วิทยา ให้ทำนั้น ผมรู้สึกว่าชีวิตผมเริ่มสนุกกับการเรียนมาก ตั้งใจจะต้องสอบเรียนต่อเทคนิคให้ได้ แต่เมื่อคิดถึงตรงนั้นมันชักจะแก้ไขยากซะแล้ว เพราะเกรดตอนนี้ 1.57 เท่านั้นแล้วจะไปสอบแข่งกับเขาได้อย่างไร พอมาถึงตอนนี้ชักคิดมากแล้วจะได้เรียนหรือเปล่า ......... มีต่อตอนที่ 11

อมยิ้ม04ตอนที่ 11 จากการจุดประกายของ อ.วิทยา ทองเนื้อห้า ในการสั่งให้ทำรายงาน หลังจากนั้นเขาได้สุมไฟแห่งความอยากรู้มีเพิ่มมากขึ้นโดยการเชิญวิทยากรที่เป็นช่างในตลาดเหนือคลอง ผมจำชื่อไม่ได้แต่รู้ว่าเขามาสอนการทำวิทยุแร่ เพียงแค่นำไดโอดมาต่อกับหูฟังแบบคริสตอล ก็จะได้เครื่องรับวิทยุ AM แล้วเวลาใช้งานก็ไม่ต้องต่อแบตเตอรี่หรือแหล่งจ่ายไฟใด ๆ ทั้งสิ้นเพียงแต่ไปหนีบกับลวดที่มันยาว ๆหรือไปหนีบกับสลิงที่ยึดเสาไฟฟ้าก็ได้ฟังวิทยุ AM ที่เราทำเองนับว่าเป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดมาก เมื่อมาถึงจุดนี้เป็นจุดที่จะต้องสร้างเครื่องมือไว้ใช้งาน หัวแร้งทำจากเหล็กขนาด 3 หุนมาทำการถูด้วยกระดาษทรายที่ปลายปลายให้มีความเรียวนำมาเผาไฟด้วยเตาถ่าน เผื่อทำการบัดกรีและหาอุปกรณ์ต่าง ๆ มาเล่น และได้ซื้ออุปกรณ์มาทำการประกอบเล่นและรับทำให้เพื่อน ๆ ด้วย โดยการเก็บเงินค่าข้าวที่แม่ได้ฝากไว้กับย่าที่จ่ายให้เป็นรายวัน ก็เก็บโดยไม่ยอมกินข้าวที่ร้านหรือโรงอาหาร แต่ทำการนำข้าวห่อมาจากบ้านเพื่อไปกินที่โรงเรียน เทอมสุดท้ายถือเป็นการเรียนที่มีความสุขมากกับวิชาของ อ.วิทยา ทองเนื้อห้า เขาจะสอนวันศุกร์หลังจากพักซึ่งโดยปกติหลังจากพัก ในเทอมก่อน ผมก็จะทำหน้าที่หลับเพียงอย่างเดียว แต่พอคาบของ อ.วิทยา ผมจะตามสว่างมากจดทุกคำที่ อ.เขาสอน แล้วกลับไปอ่านเพราะหนังสือ มีให้อ่านน้อยมากในสมัยนั้นพอถึงปลายเทอมก็คุยเรื่องไปเรียนต่อ............ มีต่อตอนที่ 12

กำลังรออาจารย์อัพข้อมูลข้อมูลเเล้วจะมาแบ่งปันครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่