7 อันดับทุนเรียนเมืองนอกฟรี



   ทำไมใครๆ ถึงอยากไปเรียนเมืองนอก? เพราะสิ่งแรกที่ทุกคนจะนึกถึงเวลาที่ได้ยินคำว่า “เด็กนอก” นั่นคือ บ้านรวย เก่งภาษา อนาคตไกล มั่นใจ ไฮโซโก้จริงๆ...แม้ค่าเรียนจะสูงปรี๊ด แต่ก็ยังเป็นความใฝ่ฝันของหลายๆ คน เพราะนั่นหมายถึงประสบการณ์ที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่ประสบการณ์อันล้ำค่าเหล่านั้นก็ไม่ได้แลกมาด้วยค่าเทอมแพงๆ เสมอไป เพราะของฟรีและดียังมีในโลก!!! หลายประเทศที่ให้ทุนนักเรียนต่างชาติเข้าไปศึกษาฟรีในระดับปริญญาตรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ไม่ว่าจะฟรีค่าเทอม หรือฟรีทุกอย่างแถมยังให้ค่าใช้จ่ายรายเดือนกับเราอีกด้วย ยังมีอยู่ในโลกใบนี้ ไปดูกันว่า “เรียนฟรี” ที่ว่านี้มีประเทศอะไรกันบ้าง...

1. ประเทศฟินแลนด์



    ประเทศฟินแลนด์ ถือว่าเป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก และสถิติทางการศึกษาที่น่าสนใจก็คือ มีนักเรียนของประเทศฟินแลนด์จำนวน 66% เข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงสุดในทวีปยุโรป ประเทศฟินแลนด์จึงเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าสนใจ หนึ่งตัวเลือกที่ควรนำมาพิจารณาเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศชื่อดังอย่าง อังกฤษ อเมริกา และออสเตรเลีย ซึ่งมีมาตรฐานไม่แพ้กัน และที่สำคัญประเทศฟินแลนด์เปิดโอกาสให้นักศึกษาต่างชาติสามารถเรียนฟรีในระดับปริญญาได้โดยมีสิทธิเท่าเทียมกับพลเมืองในประเทศ สามารถสมัครเข้าเรียนได้เหมือนมหาวิทยาลัยทั่วไป ถ้าทางมหาวิทยาลัยตอบรับก็จะเข้าไปศึกษาต่อได้เลยโดยที่ไม่ต้องขอทุน แต่ไม่ใช่ว่าทุกมหาวิทยาลัยในประเทศฟินแลนด์ที่จะเปิดให้เรียนฟรี เพราะมีเพียงบางสถาบันเท่านั้น
      
       รายละเอียดทุน : ค่าเล่าเรียนฟรีเต็มจำนวนการศึกษาในระดับปริญญาตรีของแต่ละคณะ มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะไม่ออกค่าครองชีพและค่าที่พักให้ นักเรียนต่างชาติจึงต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เอง ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณเดือนละ 4,500-6,000 FIM คิดเป็นเงินไทยประมาณ 30,000-40,000 บาทต่อเดือน มหาวิทยาลัยในฟินแลนด์ส่วนมากเริ่มเปิดรับสมัครในเดือนมกราคม




       เงื่อนไข :
       -ยื่นหลักฐานการสมัครที่มหาวิทยาลัยโดยตรง ไม่มีเอเยนซีใดๆ ถ้ามหาวิทยาลัยตอบรับ ก็จะส่งเอกสารประกอบการขอวีซ่ามาให้ เช่น หนังสือตอบรับการเข้าเรียน, เอกสารการจองที่พัก (หลักประกันว่าเรามีที่อยู่แน่นอน)
       -ต้องมีเงินฝากในบัญชีธนาคาร ซึ่งเรียกว่า “Living Cost” เพื่อยืนยันคุณมีเงินทุนเพียงพอสำหรับค่าครองชีพ โดยปกติไม่น้อยกว่า 6,000 ยูโร ต่อปี หรือ 500 ยูโรต่อเดือน เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการขอวีซ่า
       -นักเรียนต่างชาติยังต้องสมัครวีซ่าระยะยาวหรือใบอนุญาตมีถิ่นที่อยู่ เรียกว่า “resident permit” เพื่อจะเรียนที่นั้นได้
       -ปริญญาตรีส่วนใหญ่จะใช้ “ภาษาฟินนิช” ในการเรียนการสอน ดังนั้นผู้ที่จะไปศึกษาต่อควรเตรียมตัวด้านภาษาให้พร้อม
       -เงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้คุณเป็นผู้ถูกเลือกนั่นก็คือ “การเขียนจดหมายแนะนำตัว” ให้น่าสนใจและมีจุดเด่น ถึงจะผ่านการคัดเลือกจากทางมหาวิทยาลัยได้
       -อีกหนึ่งอุปสรรคที่สำคัญมากในการตัดสินใจไปเรียนต่อประเทศในแถบสแกนดิเนเวียนั่นก็คือ “สภาพอากาศที่หนาวเย็นมาก” ต้องตัดสินใจให้ดี



   รายชื่อมหาวิทยาลัยในประเทศฟินแลนด์ที่เปิดให้เรียนฟรี : มหาวิทยาลัยในประเทศฟินแลนด์เปิดในนักศึกษาจากต่างประเทศสามารถไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีเป็นจำนวนมาก เราจึงขอเสนอเพียงรายชื่อมหาวิทยาลัย หากท่านที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดตรวจสอบสาขาที่เปิดสอน วันและเวลาในการรับสมัครของทางมหาวิทยาลัยได้ตามเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยนั้นๆ ได้เลย



      - University of Tampere  (www.uta.fi)
       - University of Lapland (www.ulapland.fi/)
       - University of Helsinki (www.helsinki.fi)
       - Finnish Academy of Fine Arts (www.kuva.fi/)
       - University of Vassa (www.uva.fi)
       - Abo Akademi University (www.abo.fi/public/en/)
       - Tampere University of Technology (www.tut.fi/en/)
      
2. ประเทศนอร์เวย์



   ประเทศนอร์เวย์ถือเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิต และคุณภาพการศึกษาติดอันดับต้นๆ ของโลก แถมรัฐบาลยังช่วยส่งเสริมการศึกษาของนักเรียนอย่างเต็มที่ และยังเป็นอีกหนึ่งประเทศในแถบสแกนดิเนเวียที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาจากต่างประเทศเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีฟรี ซึ่งทั้งนอร์เวย์ และฟินแลนด์เป็นประเทศรัฐสวัสดิการ ไม่ใช่แค่ดูแลเด็กภายในประเทศเท่านั้นแต่รัฐบาลยังดูแลเด็กจากต่างชาติอีกด้วย แม้ว่าจะมีข่าวลืออยู่เรื่อยๆ ว่าจะเริ่มเก็บค่าเล่าเรียนแล้ว แต่ปัจจุบันทั้งสองประเทศนี้ก็ยังเปิดให้เรียนฟรีตามปกติ
      
       รายละเอียดทุน : เหมือนกับประเทศฟินแลนด์คือ ค่าเล่าเรียนฟรีเต็มจำนวน ซึ่งระบบการศึกษาในประเทศนอร์เวย์ระดับปริญญาตรีจะใช้เวลาเรียน 3 ปี และปริญญาโท 2 ปี จะไม่ออกค่าครองชีพและค่าที่พักให้ นักศึกษาจึงต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เอง ค่าครองชีพที่นอร์เวย์จะตกอยู่ที่ประมาณเดือนละ 45,000 บาทขึ้นไป มหาวิทยาลัยในนอร์เวย์ส่วนมากเริ่มเปิดรับสมัครในเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป



      เงื่อนไข :
       -ยื่นหลักฐานการสมัครที่มหาวิทยาลัยโดยตรง ไม่มีเอเยนซีใดๆ ถ้ามหาวิทยาลัยตอบรับ ก็จะส่งเอกสารประกอบการขอวีซ่ามาให้ เช่น หนังสือตอบรับการเข้าเรียน, เอกสารการจองที่พัก (หลักประกันว่าเรามีที่อยู่แน่นอน)
       -ต้องมีเงินฝากธนาคารของประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเรียกว่า “Living Cost” เพื่อยืนยันคุณมีเงินทุนเพียงพอสำหรับค่าครองชีพ โดยปกติไม่น้อยกว่า 6,000 ยูโร (ประมาณ 265,410 บาท) ต่อปี หรือ 500 ยูโร (ประมาณ 22,117 บาท) ต่อเดือน เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการขอวีซ่า
       -นักเรียนต่างชาติยังต้องสมัครวีซ่าระยะยาวหรือใบอนุญาตมีถิ่นที่อยู่ เรียกว่า “resident permit” เพื่อจะเรียนที่นั้นได้
       -เงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้คุณเป็นผู้ถูกเลือกนั่นก็คือ “การเขียนจดหมายแนะนำตัว” ให้น่าสนใจและมีจุดเด่น ถึงจะผ่านการคัดเลือกได้



      รายชื่อมหาวิทยาลัยในประเทศนอร์เวย์ที่เปิดให้เรียนฟรี :
      
       -University of Oslo (www.uio.no/)
       -University of Bergen (www.uib.no)
       -Norwegian University of Science and Technology (www.ntnu.edu/)
       -University of Tromsø (en.uit.no/)
       -University of Stavanger (www.uis.no/)
       -University Centre in Svalbard (www.unis.no/)

   3. ประเทศญี่ปุ่น



   เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เหล่าบรรดานักเรียน-นักศึกษาใฝ่ฝันอยากจะไปศึกษาต่อ ประเทศที่ใครๆ ต่างร่ำลือกันว่าค่าใช้จ่ายรวมถึงค่าครองชีพในมหาวิทยาลัยนั้นค่อนข้างสูง แต่ประเทศญี่ปุ่นก็ยังเปิดโอกาสให้ทุนการศึกษาฟรีในระดับปริญญาตรี ผ่านทางกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ประเทศญี่ปุ่น ให้แก่นักเรียนต่างชาติเป็นประจำทุกปี ซึ่งทางรัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้มอบทุนเรียนฟรีให้กับประเทศไทยเช่นเดียวกัน โดยในปีนี้เป็นทุนการศึกษาประจำปี 2558 เริ่มเปิดรับสมัครช่วงเดือนมิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา โดยเปิดรับสมัครทั้งหมด 5 สาขาวิชาดังนี้ สาขาสังคมศาสตร์, มนุษยศาสตร์, วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ, แพทย์ และเภสัชศาสตร์ โดยสามารถเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยใดก็ได้ในประเทศญี่ปุ่น
      
       รายละเอียดทุน : ทุนการศึกษานี้มีระยะเวลาทั้งหมด 6-7 ปี สำหรับผู้สมัครที่เลือกในสาขา แพทยศาสตร์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ และเภสัชศาสตร์ ที่ต้องเรียน 6 ปี รวมคอร์สภาษาญี่ปุ่นอีก 1 ปี ก็จะใช้เวลารวม 7 ปี ได้รับค่าใช้จ่ายทั้งหมดจนจบปริญญาตรี ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับประเทศญี่ปุ่น และค่าใช้จ่ายรายเดือน 117,000 เยน หรือประมาณ 37,000 บาท และต้องทำวีซ่าที่เรียกว่า “College Student” ryugaku, visas ที่สถานทูตญี่ปุ่นในประเทศตน ก่อนเดินทางไปญี่ปุ่น หากผ่านการคัดเลือกแล้ว
      
       เงื่อนไข : สัญชาติไทย มีอายุระหว่าง 17-21 ปี มีเกรดเฉลี่ย 3.80 ขึ้นไป (เกรดเฉลี่ย 3.50 ต้องผ่านการวัดระดับภาษาญี่ปุ่น 3 หรือ 4 ถ้าเกรดเฉลี่ย 3.30 ต้องผ่านการวัดระดับภาษาญี่ปุ่น 1 หรือ 2) และต้องสอบข้อเขียนเป็นภาษาอังกฤษในแต่ละสาขาวิชาที่เลือกด้วย เอกสารทุกอย่างต้องอยู่ในรูปแบบภาษาอังกฤษหรือภาษาญี่ปุ่น
      
       ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :
       www.mext.go.jp/a_menu/koutou/ryugaku/boshu/1346539.htm
      
       4. ประเทศเกาหลี



      นอกจากเกาหลีจะเป็นประเทศสวยงามแล้ว การศึกษาของประเทศเกาหลีก็ยังอยู่ในอันดับต้นๆ ของเอเชียอีกด้วย ทางรัฐบาลเกาหลีได้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมในด้านการศึกษาเป็นอย่างมาก โดยให้ทุนแก่นักศึกษาจากต่างประเทศได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาต่อยังมหาวิทยาลัยในประเทศเกาหลีเป็นประจำทุกปี โดยทุนดังกล่าวเป็นทุนที่จะช่วยส่งเสริมประเทศกำลังพัฒนา อย่างทุนเรียนฟรีจาก “Catholic University of Korea หรือ มหาวิทยาลัยคาทอลิก” เป็นทุนการศึกษาในระดับปริญญาตรี ซึ่งอาจจะต้องแข่งขันกันอยู่สักหน่อย เพราะแต่ละปีก็จะมีทุนเรียนฟรีดีๆ แบบนี้มาไม่กี่ทุนเท่านั้น
      
       รายละเอียดทุน : ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจะได้รับทุนที่ครอบคลุมค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายรายเดือนเป็นเงิน 250,000 วอน (7,962 บาทไทย) ต่อเดือน เป็นเวลา 4 ปี จนจบการศึกษา



       เงื่อนไข : จะต้องจบการศึกษาในระดับมัธยมปลายแล้ว หรือกำลังจะจบ มีความสนใจในด้านการศึกษาคาทอลิก และเกาหลีศึกษาเป็นพิเศษ เกรดเฉลี่ยรวม 3.0 เป็นต้นไป และมีผลสอบอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ TOEFL iBT 80 คะแนนขึ้นไป / IELTS 5.5 คะแนนขึ้นไป / TOPIK ระดับ 3 ขึ้นไป ที่สำคัญผู้ที่จะสามารถผ่านการคัดเลือกเป็นผู้รับทุนได้นั้นจะต้องเขียน “เรียงความบอกเล่าประวัติแนะนำตนเอง แผนการศึกษา และเป้าหมายในอนาคต” ให้ตรงใจคณะกรรมการในการคัดเลือก ซึ่งเอกสารทั้งหมดต้องอยู่ในรูปภาษาเกาหลีหรือภาษาอังกฤษเท่านั้น
      
       ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :
       http://www.catholic.ac.kr/~cukintl/eng/news.html      
      
       5. ประเทศจีน



     สาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศไทย ที่มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน ผูกพันทั้งทางเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ในช่วงระยะเวลาเพียง 10 ปี รัฐบาลจีนและไทยมีความร่วมมือและข้อตกลงในหลายๆ ด้านร่วมกัน และเพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนและคนทั่วโลก ทางรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาจีน Ministry of Education of China (MOE) จัดตั้งทุนการศึกษาให้กับนักศึกษาชาวต่างชาติ เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนและสร้างความเข้าใจทางการศึกษาระหว่างประเทศ และความร่วมมือทางการศึกษาไทย-จีน ทั้งในระดับปริญญาตรี โท และเอก มีทุนเรียนฟรีดีๆ ให้กับนักศึกษาจากประเทศไทยอยู่เป็นประจำ

แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  การศึกษา มหาวิทยาลัย เรียนต่อต่างประเทศ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่