ภาษามันก็คือภาษา ก็มีไว้เพื่อสื่อสารกัน จะที่หยาบ จะที่ไพเราะก็มาจากสมมติกันขึ้นในภายหลัง (ใครจะแต่งภาษาเพื่อให้เกิดผลร้ายล่ะ) อย่างเช่นคำว่าควาย ก็ว่าหยาบ อวัยวะเพศก็ว่าหยาบ แต่ด่าแขนขา หรือเรียกหงษ์ฟ้ากลับเห็นเป็นคำปรกติ บ้างกลับชื่นชม
ก็เป็นเพียงอักษร สระ พยัญชนะ เพื่อสื่อสารกัน
พระอรหันต์ท่านจิตท่านไม่ปรุงแต่งตามสมมติ สักแต่ว่าเป็นภาษาอันมีมาแต่เดิม หากจะกล่าวก็กล่าวไปตามนิสัยอันสั่งสมมา ไม่ได้คิดว่าถ้อยคำที่หยาบหรือไพเราะ บ้างก็อาศัยจิตเมตตากล่าวออกไปเพื่อให้ตรงกับจริตนิสัยของผู้ฟัง
มิได้หวังเลยว่านี้เป็นคำหยาบ คำไพเราะ แต่เป็นคำที่ผู้ฟัง หรือจำเพาะบุคคลนั้น
เมื่อรับฟังแล้วจะเกิดประโยชน์
ถ้าคำใดที่หยาบ(ตามโลก ตามบุคคลสมมติ) พูดแล้วมีประโยชน์ท่านก็พูด
ถ้าคำใดปราณีต ไพเราะ (ตามโลก ตามบุคคลสมมติ) พูดแล้วไม่เกิดประโยชน์ท่านก็ไม่พูด
คำหยาบ คำหวาน คำไพเราะ คำอะไรต่างๆที่โลกต่างสมมติ ท่านก็ว่าตามสมมตินั้นล่ะ ไม่ขัด
แต่สำหรับท่านคำหวาน คำไพเราะ คำหยาบ อะไรต่างๆเหล่านั้น ท่านไม่มี ไม่ติดในสมมตินั้นๆแล้ว
แล้วท่านพูดคำอะไร ก็ท่านพูดอยู่กับคำๆเดียว คำเดียวนี้ล่ะ ที่ท่านโขตานพยายามจะโน้มน้าวถึง คือท่านพูดแต่ "คำจริง"
ถ้าผู้ฟังนั้นถ่อยจริง ก็ไม่ใช่คำหยาบ แต่เป็นคำจริง
ถ้าผู้ฟังนั้นคือผู้ประเสริฐ เป็นบันฑิต ท่านก็จะไม่กล่าวว่าถ่อย เพราะท่านกล่าวแต่คำจริง
คำหยาบ คำหวาน คำชื่นชม คำนินทา ทั้งมนุษย์ เทวดา มาร พรหม จะกล่าวจะพูดอะไรกับท่าน ไม่มีคำหยาบ คำสรรเสริญ นินทาที่ทำกระทบให้จิตท่านหวั่นไหว
ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน แต่จะให้ฟัง ให้พูด ในภาษา มีแต่ความจริงเท่านั้นที่ท่านจะฟัง จะพูด
จะหยาบ จะไพเราะ ก็ตาม ก็แล้วแต่ผู้ฟังจะติดอยู่กับสมมติมากน้อยเพียงใด
จะเอาอะไรกับคำพูดที่หยาบ หรือที่ไพเราะ ที่ไม่เป็นความจริง
ถึงไพเราะและยังชื่นชม หากคนฟังหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ผู้ฟังก็ต้องรู้ตัวเองดีว่า นี้เป็นคำประชด ทั้งๆที่เป็นคำที่ไพเราะ ทั้งยังเป็นคำสรรเสริญอีกด้วย
คำหยาบก็ดี ถ้อยคำไพเราะก็ดี ที่ไม่เป็นจริง ทั้งยังพูดฟังต้องการให้เค้าสรรเสริญไม่ให้เค้านินทาว่ากล่าว
ท่าน ไม่ฟัง ไม่พูดเสียดีกว่า.
พระวาจาของพระอรหันต์ ไม่มีหยาบไม่มีไพเราะ มีแต่"คำจริง"
ก็เป็นเพียงอักษร สระ พยัญชนะ เพื่อสื่อสารกัน
พระอรหันต์ท่านจิตท่านไม่ปรุงแต่งตามสมมติ สักแต่ว่าเป็นภาษาอันมีมาแต่เดิม หากจะกล่าวก็กล่าวไปตามนิสัยอันสั่งสมมา ไม่ได้คิดว่าถ้อยคำที่หยาบหรือไพเราะ บ้างก็อาศัยจิตเมตตากล่าวออกไปเพื่อให้ตรงกับจริตนิสัยของผู้ฟัง
มิได้หวังเลยว่านี้เป็นคำหยาบ คำไพเราะ แต่เป็นคำที่ผู้ฟัง หรือจำเพาะบุคคลนั้น
เมื่อรับฟังแล้วจะเกิดประโยชน์
ถ้าคำใดที่หยาบ(ตามโลก ตามบุคคลสมมติ) พูดแล้วมีประโยชน์ท่านก็พูด
ถ้าคำใดปราณีต ไพเราะ (ตามโลก ตามบุคคลสมมติ) พูดแล้วไม่เกิดประโยชน์ท่านก็ไม่พูด
คำหยาบ คำหวาน คำไพเราะ คำอะไรต่างๆที่โลกต่างสมมติ ท่านก็ว่าตามสมมตินั้นล่ะ ไม่ขัด
แต่สำหรับท่านคำหวาน คำไพเราะ คำหยาบ อะไรต่างๆเหล่านั้น ท่านไม่มี ไม่ติดในสมมตินั้นๆแล้ว
แล้วท่านพูดคำอะไร ก็ท่านพูดอยู่กับคำๆเดียว คำเดียวนี้ล่ะ ที่ท่านโขตานพยายามจะโน้มน้าวถึง คือท่านพูดแต่ "คำจริง"
ถ้าผู้ฟังนั้นถ่อยจริง ก็ไม่ใช่คำหยาบ แต่เป็นคำจริง
ถ้าผู้ฟังนั้นคือผู้ประเสริฐ เป็นบันฑิต ท่านก็จะไม่กล่าวว่าถ่อย เพราะท่านกล่าวแต่คำจริง
คำหยาบ คำหวาน คำชื่นชม คำนินทา ทั้งมนุษย์ เทวดา มาร พรหม จะกล่าวจะพูดอะไรกับท่าน ไม่มีคำหยาบ คำสรรเสริญ นินทาที่ทำกระทบให้จิตท่านหวั่นไหว
ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน แต่จะให้ฟัง ให้พูด ในภาษา มีแต่ความจริงเท่านั้นที่ท่านจะฟัง จะพูด
จะหยาบ จะไพเราะ ก็ตาม ก็แล้วแต่ผู้ฟังจะติดอยู่กับสมมติมากน้อยเพียงใด
จะเอาอะไรกับคำพูดที่หยาบ หรือที่ไพเราะ ที่ไม่เป็นความจริง
ถึงไพเราะและยังชื่นชม หากคนฟังหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ผู้ฟังก็ต้องรู้ตัวเองดีว่า นี้เป็นคำประชด ทั้งๆที่เป็นคำที่ไพเราะ ทั้งยังเป็นคำสรรเสริญอีกด้วย
คำหยาบก็ดี ถ้อยคำไพเราะก็ดี ที่ไม่เป็นจริง ทั้งยังพูดฟังต้องการให้เค้าสรรเสริญไม่ให้เค้านินทาว่ากล่าว
ท่าน ไม่ฟัง ไม่พูดเสียดีกว่า.