หูผึ่ง!!! เรือดำน้ำ Mitsubishi!!! เรือพิฆาต Hitachi!!! เครื่องบิน Kawasaki!!! รถถัง Honda!!! อาวุธใหม่ ไทย!!! เวียดนาม!!

หูผึ่ง!!! เรือดำน้ำ Mitsubishi!!! เรือพิฆาต Hitachi!!! เครื่องบิน Kawasaki!!! รถถัง Honda!!! อาวุธใหม่ ไทย!!! เวียดนาม!!!

5 มีนาคม 2558 - โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    



เรือฮามากิริ (JDS Hamagiri, DD-155) ซึ่งเป็นเรือชั้นอาซากิริ (Asagiri-class) ขนาด 4,900 ตัน ขณะแล่นเข้าขบวนกับเรือรบชั้นอื่นๆ ระหว่างการฝึกซ้อมครั้งหนึ่ง เป็นเรือพิฆาตที่ผลิตโดยกลุ่มมิตซูบิชิ หนึ่งลำในชั้นนี้มาเยือนสันถวไมตรีไทยปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา จอดที่ท่าเรือคลองเตยเป็นเวลา 5 วัน ให้เจ้าหน้าที่และสาธารณชนทั่วไปได้ชม นักวิเคราะห์มองว่าการมาเยือนของเรือรบกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลแห่งญี่ปุ่นครั้งนี้มีความหมาย.
        
ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- วันนี้อาจจะยังไม่มีรถถังยี่ห้อฮอนด้าออกมาแล่น แต่ญี่ปุ่นก็มีรถถังหลักอย่างน้อย 2 รุ่น ที่ติดอันดับ "ท็อปเท็น" ของโลกและอย่างน้อยที่สุดเมื่อไม่นานมานี้บริษัทฮอนด้าประเทศญี่ปุ่นก็ผลิตเครื่องบินเล็กออกมาเป็นรุ่นแรก แต่ประเทศที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีก้าวหน้าที่สุดแห่งเอเชีย  มีมากมายยิ่งกว่านั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ปัจจุบันดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัยได้กลายเป็นแหล่งผลิตอาวุธชั้นนำอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว และ เรื่องที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าก็คือ ญี่ปุ่นอาจจะส่งออกอาวุธได้เป็นครั้งแรกในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในภูมิภาคแบบกู่ไม่กลับ
      
       เว็บไซต์ข่าวกลาโหมหลายแห่งเริ่มให้ความสนใจการเปลี่ยนแปลงนี้ และ จับตาการพัฒนาอุตสาหกรรมกลาโหมของญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น หลายคนเชื่อว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ "เมดอินแจแปน" สามารถที่จะกลายเป็น "เกมเชนเจอร์" ได้ในที่สุด กลายเป็นทางเลือกของบรรดาประเทศที่กำลังแสวงหาอาวุธในภูมิภาคนี้ ต่อหน้าสิ่งที่เรียกว่า "ภัยคุกคามจากจีน"
      
       หลายสำนักกำลังเฝ้าติดตามความคืบหน้า การเจรจาความตกลงระหว่างออสเตรเลียกับญี่ปุ่น เกี่ยวกับการซื้อ/ร่วมสร้างเรือดำน้ำเครื่องยนต์ดีเซล-มอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 4,000 ตัน รุ่นหนึ่ง ที่เป็นกำลังหลักของกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่นในปัจจุบัน และ ว่ากันว่าเป็นเรือดำน้ำทันสมัยที่สุดรุ่นหนึ่งของโลกในระดับเดียวกัน
      
       สองฝ่ายเจรจาติดพันกันมาตั้งแต่ปี 2556 และ ถ้าหากบรรลุผลก็อาจจะหมายความว่า ประเทศไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ไปจนถึงอินเดีย กับใครต่อใครทีเป็นมิตรประเทศ ก็สามารถซื้อมัจจุราชใต้น้ำชั้นโซริว (Soryu) "มังกรเขียว" ได้เช่นเดียวกัน ไม่ต่างกับเครื่องบินตรวจการณ์-ปราบเรือดำน้ำ รถถัง รวมทั้งเรือพิฆาต และ ระบบจรวดนำวิถี "เมดอินแจแปน" อีกหลากหลายยี่ห้อ



เรือดำน้ำชั้นโซริว (Soryu-class) ระหว่างเข้าร่วมการฝึก RIMPAC ครั้งหนึ่งที่ฐานทัพเรืออ่าวเพิร์ล รัฐฮาวาย นี่คือเรือดำน้ำโจมตี ที่กำลังเป็นศูนย์กลางแห่งความสนใจของวงการกลาโหมระดับโลก ถ้าหากการเจรจาซื้อขายกับออสเตรเลียประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ที่ญี่ปุ่นขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับประเทศหนึ่ง ซึ่งจะเป็นบรรทัดฐานการส่งออกสินค้ากลาโหมระดับคุณภาพ ที่หลายประเทศรวมทั้งไทยกำลังแสวงหา.
      
       วันศุกร์ 27 ก.พ. ที่เพิ่งจะผ่านมาหยกๆ เรือพิฆาตของกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่น 2 ลำ เพิ่งถอนสมอจากจากท่าเรือคลองเตยของไทย หลังจอดที่นั่นเป็นเวลาหลายวัน ให้เจ้าหน้าที่ราชนาวีไทยและประชาชนทั่วไปสามารถขึ้นชมได้
      
       นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งไม่ได้มองแต่เพียงผิวเผินว่า การเยือนสันถวไมตรีไทยของเรือชั้นฮัตสุยุกิ (Hatsuyugi) กับเรือชั้นอาซากิริ (Asagiri) เป็นแค่กำหนดการที่เตรียมกันมาล่วงหน้าปราศจากวาระซ่อนเร้น แต่มองว่าเรือพิฆาตทั้งสองลำแล่นเข้ามาโบกธงในทะเลอ่าวไทยและภูมิภาคนี้ ในขณะที่หลายประเทศรวมทั้งไทย อยู่ระหว่างจัดหาเรือฟริเกตอีก 2-3 ลำ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันตนเอง
      
       ทั้งสองชั้นเป็นเรือพิฆาตติดจรวดนำวิถีรุ่นเล็กที่สุดของนาวีญี่ปุ่น ถ้าหากจะเรียกเป็นเรือฟริเกตก็ไม่ผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือฮัตสุยูกิ ที่มีระวางขนาด 4,000 ตันเท่านั้น กองกำลังทางเรืออันใหญ่โตของญี่ปุ่น ยังมีเรือพิฆาตอีกหลายชั้นรวมจำนวนกว่า 30 ลำ ตั้งแต่เล็กสุดจนถึงขนาด 5,000-7,000 ตัน และ 9,000-10,000 ตัน นั่นก็คือระดับเรือลาดตระเวณ (Cruiser) ของกองทัพเรือสหรัฐ
      
       ปัญหาของญี่ปุ่นก็คือ รัฐธรรมนูญแนวสันติที่ใช้มาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่อนุญาตให้รัฐบาลสร้าง/ผลิต มีไว้ในครอบครอง รวมทั้งห้ามส่งออกอาวุธเพื่อใช้ในการโจมตีทุกชนิด แต่เมื่อความขัดแย้งกรณีเกาะเซ็นกากุ (หรือ "เตี่ยว-อวี้" ที่ฝ่ายจีนเรียก) ปะทุขึ้น ก็ทำให้รัฐสภาต้องตีความรัฐธรรมนูญมาหลายครั้ง และ ยังจะมีการตีความกันอีกหลายครั้ง เกี่ยวกับนิยามของ "อาวุธป้องกัน" และ "อาวุธโจมตี"
      
       กองกำลังนาวีญี่ปุ่นยังมีเรือพิฆาตอีกชั้นหนึ่งที่ติดระบบเรดาร์/ระบบอาวุธเอจิส (AEGIS) สุดทันสมัย ทัดเทียมกับรุ่นที่ติดตั้งบนเรือพิฆาตชั้นอาร์ลีห์เบิร์ก (Arleigh Burke-class) ของกองทัพเรือสหรัฐ และยังติดจรวด SM-3 ที่ยิงทำลายขีปนาวุธโจมตีพิสัยกลาง-ไกลของจีนและเกาหลีเหนือได้ เนื่องจากถือว่าจรวด SM-3A2 ที่ญี่ปุ่นผลิตเองภายใต้สิทธิบัตร เป็นอาวุธป้องกัน
      
       แต่เรือพิฆาตล้ำยุคของญี่ปุ่นยังไม่สามารถติดตั้งจรวดโทมาฮอว์ก (Tomahawk) เหมือนเรือพิฆาตของสหรัฐได้ ทั้งนี้ก็เนื่องจากคณะกรรมาธิการตีความรัฐธรรมนูญกับรัฐสภามองว่า จรวดโทมาฮอว์กเป็นอาวุธเพื่อใช้โจมตีนั่นเอง
      
       ปัจจุบันญี่ปุ่นมีเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ยกพลขึ้นบกประจำการอยู่หลายลำ เช่นเดียวกันกับกองทัพเรือและกองกำลังนาวิกโยธินสหรัฐ แต่กว่าจะมีสิ่งนี้ได้ ก็ผ่านการถกเถียงในรัฐสภา หรือ "ไดเอ็ท" มาหลายปี จนกระทั่งสรุปได้ว่า เรือบรรทุก ฮ. ไม่ใช่เรือเพื่อการโจมตี หากมีไว้เพื่อป้องกันประเทศ





ภาพจากทวิตเตอร์โดย "กู้ภัยนาวา 003 ป่อเต็กตึ๊ง" เรือยูกิริ (JDS Yugiri, DD-153) เรือพิฆาตชั้นอาซากิริ (Asagiri-class) ขนาด 4,900 ตัน กับเรือมัตสุยูกิ (JDS Matsuyuki, DD-130) ซึ่งเป็นเรือชั้นฮัตสุยูกิ (Hatsuyuki-class) ขนาด 4,000 ตัน ทั้งสองลำนี้ผลิตโดยกลุ่มบริษัทมิตซูบิชิ จอดที่ท่าเรือคลองเตยวันที่ 27 กพ.ที่ผ่านมา เป็นวันสุดท้ายของการเยือนสันถวไมตรีไทย ซึ่งมีขึ้นในขณะที่ประเทศเจ้าภาพกำลังมองหาเรือฟริเกตทันสมัยอีก 2-3 ลำ.
      
       อุตสาหกรรมต่อเรือของประเทศนี้มีชื่อเสียงและเจริญรุ่งเรืองมานาน ไม่น้อยกว่าประเทศใดในโลก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองกำลังนาวีแห่งองค์พระจักรพรรดิไม่ได้เป็นสองรองใครแม้แต่น้อย กองทัพเรือในยุคโน้นมีเรือประจัญบาน (Battleship) และเรือบรรทุกเครื่องบินหลายลำ
      
       แล้ว.. จะมีเรือบรรทุกเครื่องบินทันสมัยได้อีกหรือไม่? ผลิตเครื่องบินรบได้หรือไม่?

       สำหรับกองกำลังป้องกันทางอากาศ เป็นที่ทราบกันดีว่า ญี่ปุ่นได้ทำการวิจัยและผลิตต้นแบบเครื่องบินรบยุคที่ 5 "สเตลธ์" ของตัวเองมาไกลแล้ว เคย "รั่ว" ภาพออกมาให้เห็นกันแล้ว และ ในเมื่อปัจจุบันรัฐสภาอนุญาตให้ซื้อและครอบครองเครื่องบินรบทันสมัยที่สุดของโลกเช่น F-35 "ไล้ท์นิ่ง" หรือ F-22 "แรปเตอร์" ที่ผลิตในสหรัฐได้ โดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แล้วเหตุไฉนจึงจะไม่สามารถผลิตเครื่องบินรบใช้เองและส่งออกได้? จะต้องดูกันต่อไปเป็นหนังเรื่องยาว
      
       กลุ่มมิตซูบิชิเฮฟวี่อินดัสตรี ไม่ได้ผลิตเพียงแค่รถอีโคคาร์ รถเอสยูวีสเปซวากอน ปิ๊กอัพไทรตัน หรือ พีพีวีปาเจโรสปอร์ต เช่นที่เห็นกันอยู่ในตลาดบ้านเราเท่านั้น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มิตซูบิชิเป็นผู้ผลิต "ซีโร่" (A6M "Zero") เครื่องบินขับไล่โจมตีประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน ที่ร่วมสร้างตำนาน "กามิกาเซ" อันเลื่องลือ รวมทั้งเครื่องบินทิ้งระเบิด G4M .. ในทันทีที่มีการตีความรัฐธรรมนูญออกมาอย่างชัดเจน กลุ่มอุตสาหกรรมใหญ่นี้คงไม่รีรอ ที่จะผลิตเครื่องบินรบออกมาอีกครั้งหนึ่ง.. ใหม่และทันสมัยยิ่งกว่า อาจมีทั้งเครื่องบินรบยุคที่ 5 และ 6 ก็เป็นได้
      
       เมื่อพูดถึงเครื่องบินญี่ปุ่นก็ต้องมองไปยังเวียดนาม .. ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ได้เริ่มเจรจาอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เกี่ยวกับการซื้อ P-3 "โอไรออน" (Orion) ปลดระวางจากกองทัพอากาศสหรัฐ ซึ่งว่ากันว่าพร้อมจะขายให้ถึง 6 ลำ เป็นโอกาสดีอีกครั้งหนึ่งที่กองทัพประชาชนของประเทศคอมมิวนิสต์ จะได้เข้าถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ของโลกตะวันตก กระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาโซเวียต/รัสเซีย มาตลอด
      
       เครื่องบินตรวจการณ์ติดระบบเรดาร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทันสมัย ติดอาวุธปราบเรือดำน้ำ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการลาดตระเวณ กับการเตือนภัยล่วงหน้าของเวียดนาม โดยไม่ต้องสงสัย ประเทศนี้มีฝั่งทะเลยาวถึง 3,000 กิโลเมตร เหตุพิพาทเกี่ยวกับแท่นขุดเจาะน้ำมันของจีนเมื่อปีที่แล้ว ช่วยย้ำเตือนว่าเวียดนามจำเป็นจะต้องมีเครื่องบินตรวจการณ์ประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะมีประโยชน์ใช้สอยอีกหลายด้าน รวมทั้งสนับสนุนการปฏิบัติการของเรือดำน้ำชั้นคิโล (Kilo-class) ที่ซื้อจากรัสเซียทั้ง 6 ลำด้วย
      
       แต่ปัญหาก็คือ กฎหมายของสหรัฐอนุญาตให้กระทรวงกลาโหม ขายให้เวียดนามได้เฉพาะ "อาวุธที่ไม่เป็นภัยร้ายแรง" เท่านั้น นั่นก็คือขาย P-3C ปลดระวางให้ได้ แต่ไม่สามารถขายระบบตอร์ปิโดกับจรวดยิงเรือดำน้ำให้.. ทำให้เวียดนามกลืนไม่เข้าคายไม่ออก



เครื่องบินตรวจการณ์-ปราบเรือดำน้ำคาวาซากิ พี-1 (Kawasaki P-1) ติดเทอร์โบแฟน ไอพ่น 4 เครื่องยนต์ ซึ่งอาจจะเป็นทางเลือกของเวียดนาม ที่กำลังเจรจาซื้อ พี-3 "โอไรออน" (P-3 Orion) ปลดระวางจากกองทัพเรือสหรัฐ ซื้อได้แต่เครื่องบิน กับระบบเอวิโอนิกต่างๆ ที่จะต้องอัปเกรด แต่สหรัฐไม่สามารถจะขายระบบอาวุธที่ติดตั้งบนเครื่องบินชนิดนี้ให้ได้



เครื่องบินทะเล (Seaplane) แบบ "ชินเมวา" (ShinMaywa US-2) ที่ผลิตโดย Kawasaki Heavy Industry อินเดียขอซื้อและกำลังเจรจาในขั้นตอนสุดท้ายกับญี่ปุ่น นอกจากจะใช้ในการขนส่งลำเลียงพล-ยกพลขึ้นบก แล้วก็ยังนำไปใช้งานค้นหากู้ภัยทางทะเลได้อีกด้วย หากขายให้อินเดียได้ ก็ย่อมขายให้มิตรประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ได้เช่นกัน



เครื่องบินขับไล่โจมตีแบบซีโร่ (A6M3 Zero) รุ่นประจำการบนเรือบรรทุกเครื่องบินในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลิตโดย Mitsubishi Heavy Industry ทั้งมิตซูบิบิชิและคาวาซากิ ยี่ห้อที่คุ้นเคยกันดี ล้วนมีภูมิหลังผลิตเครื่องบินรบมาแล้วทั้งสิ้น ไม่แปลกอะไรหากจะฟื้นฟูงานเก่าๆ ที่ถนัดอีกครั้งหนึ่ง รอเพียงให้มีความชัดเจนทางกฎหมายเท่านั้นเอง

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่