อาชีพหมอ กับค่านิยมในสังคมไทย

กระทู้สนทนา
อาชีพหมอ ถือเป็นอาชีพหนึ่งที่มีความมั่นคงสูง มีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างดี แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องทำงานอย่างหนักด้วยเช่นกัน เพราะสังเกตุจากการไปโรงพยาบาลแต่ละครั้งจะมีคนไข้มากมายที่รอตรวจโรคกับหมอที่มีเพียงไม่กี่คน เพราะฉันนั้นในหนึ่งวันของหมอนั้นจึงค่อนข้างจะเหน็ดเหนื่อย

ในกระทู้นี้เป็นมุมมองจากภายนอกของผู้ชายคนนึง ต่ออาชีพของหมอ ซึ่งขอย้ำว่าเป็นเพียงความคิดเห็นหนึ่งเท่านั้น (อย่าดราม่า)



หากย้อนไปสมัย 20 ปีก่อน อาชีพครูถือเป็นอาชีพหนึ่งที่มีความรู้ และเป็นที่น่านับถืออาชีพหนึ่งเลยทีเดียว เพราะครูคือผู้สร้างสรรค์องความรู้ใหม่ๆให้กับลูกหลานของเรา ครูจึงถูกยกย่องในฐานะแม่พิมพ์ของชาติ
และคำว่าหมอ ก็ถูกใช้เรียกบุคคลซึ่งมีความรู้ ทรงภูมิปัญญา หรือ ผู้รักษาโรคต่างๆ แก่ผู้เจ็บป่วย ดังจะเห็นว่าเราใช้คำว่าหมอนำหน้าหลายๆคำ เช่น หมอผี หมอดู หมอนวด หมอข้าวเป็นต้น
ดังนั้นคำว่าหมอจึงไม่ได้หมายความไปใน นัยใด นัยหนึ่ง แต่เป็นคำที่ค่อนข้างสะดวกในการใช้งาน ดังจะเห็นข้างต้นว่าใครเชี่ียวชาญอะไรเป็นพิเศษก็จับคำว่าหมอขึ้นต้นไปเลย

เข้าเรื่องดีกว่าครับ เหตุใด จึงอยากเป็นหมอ
    อย่างที่ได้เรียนไปข้างต้นนะครับว่าอาชีพหมอเป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับการยอมรับในสังคม ทั้งนี้ก็เพราะอาชีพหมอเป็นอาชีพที่ค่อนข้างที่จะสามารถนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างเห็นได้ชัดเจนเป็นรูปธรรม  ผมจึงไม่สงสัยเลยว่าทำไมความฝันของเด็ก หลายๆคน จึงอยากเป็นหมอ แต่อย่างไรก็ตาม กว่าจะมาเป็นหมอ มีใครเคยรู้บ้างว่าผ่านอะไรมามากมายแค่ไหน วัน วันหนึ่งต้องเหน็ดเหนื่อยสักเพียงใด เพราะฉะนั้นการที่ใครคนหนึ่งจะไปเป็นหมอได้นั้นคงไม่ต้องถามเลยว่าเขารักอาชีพนี้แค่ไหน และภูมิใจกับมันเพียงใด จขกท.ขอแสดงความคารวะแก่อาชีหมอไว้ ณ ที่นี้ดวยนะครับ

แต่อย่างไรก็ตามอาชีพอื่นๆก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น นักธุรกิจ นักบัญชี ศิลปิน วิศวกร นักวิจัย โดยผมจะยกแต่ละอาชีพในมุมมองของผมมาเล่าสู่กันฟังนะครับ


    มาเริ่มกันที่นักวิจัย มีหลากหลายสาขาเช่น วิจัยการตลาด นักวิทยาศาสตร์เป็นต้น หากพูดถึงนักวิทยาศาสตร์หลายคนคงจะจินตนาการถึง ชายเซอร์ๆ หัวฟูหยิกหยอย พูดอะไรเพ้อเจ้อบ้าๆบอๆ แต่……..ใจเย็นๆครับ นักวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป (แหม อย่าไปเหมารวมกับไอสไตน์สิครับ) นักวิทยาศาสตร์หล่อๆ ก็ยังมีอยู่
    อาชีพนักวิทยาศาสตร์ ที่ผ่านมาถือว่าค่อนข้างที่จะอยู่ในมุมมืดของสังคม เพราะที่ผ่านมา ผมไม่เคยได้ยินสือนำเสนอเกี่ยวกับงานวิจัยไทยเลย จะเห็นเพี่ยงนานๆครั้งเช่น ม.มหิดล ค้นพบแอนติบอดี เชื้ออีโบลาแล้ว แล้วมันก็หายไป WHO เอาไปทดลอง ผลเป็นอย่างไรใครรู้บ้าง แล้วสุดท้ายก็เงี่ยบไปอย่างนั้น
ไม่เคยได้ยินเลย เด็กไทยควารางวัล แกรนด์อวอร์ด การประกวดโครงงานระดับนานาชาติ
จะมีก็แต่ คนออกลูกเป็นม้า บูชากันใหญ่โดยไม่คิดจะค้นหาเลยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เจอฟอสซิลฟันช้าง บอกเป็นหงอนพญานาค เขาจะนำไปตรวจสอบให้กระจ่างแจ้งก็ไม่ยอม หาว่าลบหลู่ แล้วอย่างนี้นักวิจัยจะทำอะไรได้ครับ ฉะนั้นอาชัพนักวิจัยจึงต้องหลบอยู่ในมุมมืดต่อไป
    บ้างก็ดูถูกนักวิจัยไทยบ้างว่าไม่เก่ง เทียบกับต่างชาติไม่ได้ โดยที่ไม่ได้รู้จริงๆเลยว่า นักวิจัยไทยมีศักยภาพมากแค่ไหน

    จบเรื่องนักวิจัยกันก่อนนะครับ เดี๋ยวยาวไปจะกลายเป็นดรามา

มาต่อที่อาชีศิลปิน เคยได้ยินไหมครับ “ศิลปินไส้แห้ง” ผมว่าไม่แห้งนะครับในฐานะที่ผมอยู่เชียงราย ไปฟังคนนี้พูดกันดีกว่าครับ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ก็อย่างที่เขาพูดนะครับ ทุกอาชีพไม่มีใส้แห้งครับ มันอยู่ที่ว่าเราจะสู้หรือจะยอมแพ้
อาชีฟศิลปินก็เช่นกัน ถือว่าเป็นอาชีฟที่ไม่ได้ต่ำต้อยกว่าอาชีพฟอื่นๆแต่อย่างใดเลย อย่างเช่นช่างภาพงานจิตรกรรมฝาผนังตามพระอุโบสถต่างๆ ศิลปินก็เป็นที่น่าเคารพยกย่องของศาสนืกชนทั้งหลาย ในขณะเดียวกัน อาชีพทางด้านศิลปินก็มีหลากหลาย สาขา มากมาจนนับไม่ถ้วน ถ้าคุณถามใครบางคนแล้วเขาบอกว่า อยากเรียนต่อด้านศิลปะ อย่าไปหัวเราะเขานะครับ ดีไม่ดี วันหนึ่งเขาอาจจะยิ่งใหญ่กว่าคุณที่เป็นหมอ เป็นวิศวการก็ได้ เพราะอาชีพศิลปินนั้นถือเป็นอาชีพหนึ่งที่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน และศิลปินไทยก็ไม่ได้น้อยหน้ากว่าศิลปินชาติใดๆ ในโลกนะครับ
    จบเรื่องนักวิจัยกันก่อนนะครับ เดี๋ยวยาวไปจะกลายเป็นดรามา

คงจะพอแค่นี้ก่อนนะครับ เพราะให้ไล่ทุกอาชีพเลยก็ไม่ไหว

สุดท้ายผมขอกล่าวจุดมุ่งหวังในการตั้งกระทู้ในครั้งนี้คือ

1. อยากจะบอกว่า ทุกๆอาชีพ มีความสำคัญเท่ากันหมด
2. หากคุณจะประสบความสำเร็จได้คุณจะต้องทำมันให้ถุงที่สุด ไม่มีใครเกิดจากท้องพ่อท้องแม่มาแล้วเก่งเลยหรอกครับ
3. สำคัญที่สุด หากคุณอายุยังน้อย ก็จงมองหาสิ่งที่คุณรักมันจริงๆ สิ่งที่คุณจะอยู่กับมันตลอดชีวิต หาเป้าหมายที่ชัดแล้วไปหามันไห้ได้
4. โอกาสไปแล้ว ไปเลยนะครับ ไม่มีรอบสอง ถ้าหากคุณมั่นใจแล้ว โอกาสมาอยู่ตรงหน้า ก็จงรับมันไว้ซะ อย่าปล่อยมันผ่านไป แล้วมานั่งเสียใจที่หลัง

ทิ้งท้าย
    ผมกำลังจะจบ ม.6 แล้ว ผมมีแนวทางที่ชัดเจนว่าจะเป็นนักวิจัย แต่อย่างไรก็ตามเพราะการตัดสินใจที่ไม่อาจจะกลับไปแก้ไขได้ และยังทำให้ผมเสียใจมาถึงทุกวันนี้ ผมไม่ได้คณะวิทยาศาสตร์ แต่ผมได้คณะเกษตรศาสตร์ และผมไม่เสียใจเลยที่ได้คณะเกษตร เพราะผมได้มันมาเพราะความสามารถของผมเอง ขอบคุณที่อ่านมาจนจบครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่