โตแล้ว จะรีวิวยังไงก็ได้ 15
Birdman | มุกตลกร้ายบางมุก, ร้ายอย่างเดียว, ไม่ตลก
(เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ)
Birdman เล่าเรื่องราวของริกเกน ทอมสัน อดีตนักแสดงชื่อดังในบทซุปเปอร์ฮีโร่เบิร์ดแมนผู้ตกอับ เขาพยายามจะกอบกู้ชื่อเสียงของตัวเองกลับมาอีกครั้งในตอนแก่ ด้วยการหันมากำกับและแสดงละครเวทีที่ดัดแปลงมาจากนิยายของเรย์มอนด์ คาร์เวอร์ เรื่อง What I Talk About When I Talk About Love – ท่ามกลางอุปสรรคจากความอีโก้จัดของไมค์ ไชเนอร์ นักแสดงหลักอีกคนของละคร, นักวิจารณ์ปากร้ายของนิวยอร์ก ไทมส์, ระยะห่างในความสัมพันธ์กับแซม ลูกสาวที่เคยติดยา รวมไปถึงยังต้องต่อสู้กับเสียงกระซิบของมนุษย์นกจากจิตใต้สำนึก หรือก็คือตัวตนในอดีตของเขาเอง ที่ยังตามหลอกหลอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
หนังเรื่องนี้ได้ชื่อว่าเป็นหนังที่เสียดสีและชวนวิพากษ์ในหลากหลายประเด็น (ซึ่งล้วนเชื่อมโยงกัน) ทั้งเรื่องของวงการบันเทิง นักแสดง นักวิจารณ์ สื่อ โซเชียลเน็ตเวิร์ค ด้วยมุกตลกร้าย ที่มีทั้งร้ายแบบเบาๆผิวๆ และที่ร้ายแบบเจ็บแสบ-ดัน
หนังยังเสียดสีแม้กระทั่งตัวเอง ผ่านบริบทของการยั่วล้อในความย้อนแย้ง ซึ่งปรากฏทั้งในจุดที่เล็กมากๆ - เช่นตัวไมค์ ไชเนอร์ ผู้หยิ่งทะนงตนว่าเป็นนักแสดงมืออาชีพฝีมือฉกาจ ชื่อเสียงโด่งดัง วางตัวอยู่สูง อีโก้จัด มั่นใจในตัวเอง (ฉากที่ยืนส่องหุ่นตัวเองที่กระจกอยู่นานสองนาน ถ้าคนที่ไม่มั่นใจจริงจะไม่ทำแบบนั้น) แต่สุดท้ายกลับฝ่อในเรื่องเพศ ประสบความล้มเหลวกับเรื่องบนเตียง - และจุดหลักใหญ่สำคัญที่หนังต้องการจะพูดถึง นั่นคือเรื่องของริกเกน ทอมสัน อดีตเบิร์ดแมน (ซึ่งก็ยั่วล้อกับชีวิตจริงของไมเคิล คีตัน ดาราผู้รับบทบาทนี้เองอีกที)
ดังที่เราทราบกันดี ไมเคิล คีตันโด่งดังสุดขีดจากบทบาท Batman เวอร์ชั่นของทิม เบอร์ตันในปี 1989 – คำว่าสุดขีดนี้ ผมหมายถึงสุดจริงๆ คือสุดอยู่แค่นั้น เพราะหลังจากเขาสลัดผ้าคลุมอัศวินรัตติกาล ไปรับบทนู่นบทนี่ในเวลาต่อมา ก็ไม่มีใครจำเขาได้อีกเลย (คือเล่นอะไรก็ไม่ดังอีกแล้ว) คนจะจดจำเขาได้จากการเป็น 'ไมเคิ่ล คีตัน อดีตแบทแมน' เหมือนสต๊าฟแน่นิ่งเอาไว้ในปลายทศวรรษที่ 90 เท่านั้น – ชีวิตของริกเกน ทอมสันใน Birdman ก็แทบจะถอดแบบมาจากชีวิตของคีตันนั่นแหละ (ดังที่เราทราบกันดี)
ริกเกนโด่งดังจากการเป็นนักแสดงนำในหนังบล็อคบัสเตอร์ที่โดนนักวิจารณ์ค่อนแคะว่าเป็นหนังห่วย ไร้รสนิยม ไม่มีความเป็นศิลปะ ซึ่งแม้มันจะห่วย (ในสายตาของนักวิจารณ์) มันก็คือจุดสูงสุดในอาชีพนักแสดงของริกเกน เพราะหลังจากเขาปฏิเสธที่จะรับแสดงต่อในภาค 4 ของหนังเรื่องเดิม ชื่อของเขาก็หายไปจากวงการ ทิ้งไว้เพียงตัวตนของ 'ริกเกน ทอมสัน อดีตเบิร์ดแมน' ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของคนดู - เวลาผ่านไป ริกเกนต้องการพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง เขาหันมากำกับและแสดงละครเวทีเรื่อง What We Talk About When We Talk About Love ซึ่งดูจะเป็นอะไรที่มีความเป็น 'ศิลปะ' ขึ้นมาสักหน่อย (ในความคิดของเขาและของนักวิจารณ์) และก็หวังที่จะให้ละครเวทีเรื่องนี้ สร้างตัวตนใหม่ให้แก่เขา สลัดภาพมนุษย์นกออกไปจากมันสมองส่วนจดจำของทุกคนให้จงได้
มันจึงเปรียบได้กับการวิ่งหนีตัวตนเดิมที่ประกอบอยู่ภายใต้ชุดรัดรูปเห่ยๆที่มีปีก เพราะมันทำให้คนดูติดภาพเขาในคราบของนักแสดงหนังซุปเปอร์ฮีโร่ไร้รสนิยม หาใช่ศิลปินผู้ผลิตงานศิลปะ
ซึ่งเอาเข้าจริงๆแล้วผมว่ามันไม่เหมือนการวิ่งหนี มันเหมือนเป็นการวิ่งวนอยู่กับที่เสียมากกว่า
เพราะริกเกนก็ดูจะภูมิอกภูมิใจในชื่อเสียงเก่าๆนั่นอยู่ลึกๆ เห็นได้จากฉากที่มีคนมาขอถ่ายรูปคู่กับเขาในร้านกาแฟ แม้จะไม่มีการแสดงออกซึ่งอารมณ์ใดๆผ่านทางสีหน้า ก็คาดว่าในใจเขาคงกระโดดโลดเต้นอยู่เป็นแน่ และเขาก็ยังหวังที่จะกินบุญเก่า ใช้ชื่อเสียงในอดีตเป็นใบเบิกทางให้คนซื้อตั๋วมาชมละครของเขาอยู่เหมือนกันอีกด้วย นั่นแสดงให้เห็นว่าเขายังติดอยู่ในหล่มของตัวตนเดิมๆ วนเวียนอยู่กับอดีตที่เคยหอมหวน
อาจเป็นเพราะริกเกนยังคงโหยหาคำชื่นชม ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญของอาชีพนักแสดง แต่ในกรณีของเขา เราอาจเรียกได้ว่ามันคือการเสพติดชนิดหนึ่ง ซึ่งโดยธรรมชาติของการเสพติด เมื่อเราต้องว่างเว้นจากการเสพสิ่งที่เราติดเป็นเวลานานก็จะเกิดอาการลงแดง นำมาซึ่งความคุ้มคลั่ง ไร้สติ และก็จะดิ้นรนกระเสือกระสนหาวิธีที่จะได้เสพสิ่งนั้นอีกครั้ง – ริกเกนคือคนที่เสพติดเสียงปรบมือ ซึ่งในบางแง่มุม เสียงปรบมือก็อาจหมายถึงการเป็นที่ยอมรับของคนดู แท้จริงแล้วริกเกนอาจต้องการเพียงเป็นที่ยอมรับของคนอื่นก็เท่านั้น
นั่นจึงทำให้เขาเป็นคนที่น่าสงสารเอามากๆ
หนังได้ตอกย้ำความน่าสงสารนี้ในฉากตอนท้ายเรื่อง ที่ริกเกนต้องวิ่งฝ่าฝูงชนภายใต้ร่างที่เปลือยเปล่า ที่ห่อหุ้มไว้ด้วยกางเกงในเพียงตัวเดียว เป็นความตลกร้ายที่น่าเศร้า เพราะมันแสดงให้เราเห็นว่า ตัวตนเก่าๆและชื่อเสียงที่สั่งสมมาทั้งหมดทั้งมวลที่ริกเกนภูมิใจนักหนา มันได้ย้อนกลับมาทำร้ายเขาเสียเอง เพราะถ้าหากริกเกนไม่ใช่ดาราดัง คนก็คงจะไม่ให้ความสนใจกันมากขนาดนี้ (ก็คงคิดว่าเป็นแค่คนเสียสติคนนึง) – แต่พอเป็นเขา ‘ริกเกน ทอมสัน อดีตซุปเปอร์ฮีโร่สุดเท่’ คนเลยพร้อมใจกันยกกล้องขึ้นมาถ่ายวิดีโอ อัพโหลดเผยแพร่จนกลายเป็นกระแสฮิตในโลกไซเบอร์ – ถ้าเลือกได้ เขาคงอยากจะเขวี้ยงตัวตนนั้นทิ้งไปซะเดี๋ยวนั้น ตัวตนที่ทำให้เขา เป็นเขาในปัจจุบัน
สิ่งที่น่าคิดก็คือ แล้วตัวตนก่อนหน้านั้นอีกล่ะ ? ตัวตนที่ยังไม่ได้สวมชุดมนุษย์นก มันเป็นอย่างไร
ผมขอเชื่อมโยงเรื่องนี้กับเทคนิคการถ่ายทำแบบ Long Take (ซึ่งถือเป็นอีกจุดขายหนึ่งของหนัง) อินญาร์ริตู ผู้กำกับ เคยให้สัมภาษณ์ว่า Long Take มันเปรียบได้กับชีวิตจริง เพราะชีวิตเรามันก็จะดำเนินเรื่อยไปไม่มีการคัทตัดต่อเหมือนภาพยนตร์ มันจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ต้องยอมรับ และเดินต่อไป – ริกเกนเองก็อาจจะมีชีวิตที่ Long Take มาเป็นเวลา Long พอสมควร ซึ่งมันควรจะดีถ้าชีวิตที่ว่านี้ เราได้เดินหรือวิ่งไปข้างหน้า ไม่ใช่วิ่งวนอยู่กับที่อย่างที่เขาทำ – ผมว่าบางทีริกเกนอาจจะต้องหยุดเดินแป๊บนึง และลองคิดย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นที่เขาก้าวเดิน จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ชีวิตของเขาเอง
ริกเกนเริ่มต้นเดินในสายอาชีพนักแสดง เพราะเขาประทับใจในคำชื่นชมจากเรย์มอนด์ คาร์เวอร์ อดีตนักแสดงผู้เป็นแรงบันดาลใจในวัยเด็ก และเมื่อเบนมาทางละครเวที เขาก็ยังเลือกเอาบทประพันธ์ของคาว์เวอร์มาดัดแปลง – ริกเกนจะเก็บกระดาษโน้ตซึ่งมีลายมือของคาว์เวอร์ที่เขียนชมการแสดงของเขาเอาติดตัวไว้เสมอ
ไม่รู้ว่ามีใครสังเกตเห็นเหมือนผมไหม – ริกเกนลืมกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้ในร้านกาแฟ ในวันเดียวกับที่เขาหลงลืมตัวตนของตัวเขาเอง
มันสื่อความหมายได้กลายๆ ว่าบางทีเขาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าทำไมเขาจึงเลือกที่จะมาเป็นนักแสดง
ซึ่งก็ดูจะมีความหมายใกล้เคียงกับประโยคที่เขาโดนลูกสาวตะคอกใส่หน้าว่า เขาไม่ได้ทำละครเวทีเพราะรักในงานศิลปะหรอก เขาทำเพียงเพราะอยากเป็นคนสำคัญเท่านั้น
คิดแล้วก็น่าขำ เพราะมันก็คงจะดีกว่านี้แน่ๆ ถ้าเสียงที่ดังอยู่ตลอดในมโนสำนึกของเขา เป็นเสียงตะคอกแรงๆของลูกสาว หรือเป็นเสียงเตือนสติของคาว์เวอร์ ไม่ใช่เสียงที่คอยปลุกปั่นยุยงจากเบิร์ดแมน หรืออีโก้ของเขาเอง
ท่ามกลางความตลกร้ายทั้งหมดที่ปรากฏในหนัง ผมว่ามุกนี้ร้ายที่สุด
แถมยังตลกไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
PAGE |
โตแล้ว จะดูหนังเรื่องอะไรก็ได้ |
www.facebook.com/tohlaew


[วิจารณ์] BIRDMAN | มุกตลกร้ายบางมุก, ร้ายอย่างเดียว, ไม่ตลก (SPOIL)
Birdman | มุกตลกร้ายบางมุก, ร้ายอย่างเดียว, ไม่ตลก
(เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ)
Birdman เล่าเรื่องราวของริกเกน ทอมสัน อดีตนักแสดงชื่อดังในบทซุปเปอร์ฮีโร่เบิร์ดแมนผู้ตกอับ เขาพยายามจะกอบกู้ชื่อเสียงของตัวเองกลับมาอีกครั้งในตอนแก่ ด้วยการหันมากำกับและแสดงละครเวทีที่ดัดแปลงมาจากนิยายของเรย์มอนด์ คาร์เวอร์ เรื่อง What I Talk About When I Talk About Love – ท่ามกลางอุปสรรคจากความอีโก้จัดของไมค์ ไชเนอร์ นักแสดงหลักอีกคนของละคร, นักวิจารณ์ปากร้ายของนิวยอร์ก ไทมส์, ระยะห่างในความสัมพันธ์กับแซม ลูกสาวที่เคยติดยา รวมไปถึงยังต้องต่อสู้กับเสียงกระซิบของมนุษย์นกจากจิตใต้สำนึก หรือก็คือตัวตนในอดีตของเขาเอง ที่ยังตามหลอกหลอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
หนังเรื่องนี้ได้ชื่อว่าเป็นหนังที่เสียดสีและชวนวิพากษ์ในหลากหลายประเด็น (ซึ่งล้วนเชื่อมโยงกัน) ทั้งเรื่องของวงการบันเทิง นักแสดง นักวิจารณ์ สื่อ โซเชียลเน็ตเวิร์ค ด้วยมุกตลกร้าย ที่มีทั้งร้ายแบบเบาๆผิวๆ และที่ร้ายแบบเจ็บแสบ-ดัน
หนังยังเสียดสีแม้กระทั่งตัวเอง ผ่านบริบทของการยั่วล้อในความย้อนแย้ง ซึ่งปรากฏทั้งในจุดที่เล็กมากๆ - เช่นตัวไมค์ ไชเนอร์ ผู้หยิ่งทะนงตนว่าเป็นนักแสดงมืออาชีพฝีมือฉกาจ ชื่อเสียงโด่งดัง วางตัวอยู่สูง อีโก้จัด มั่นใจในตัวเอง (ฉากที่ยืนส่องหุ่นตัวเองที่กระจกอยู่นานสองนาน ถ้าคนที่ไม่มั่นใจจริงจะไม่ทำแบบนั้น) แต่สุดท้ายกลับฝ่อในเรื่องเพศ ประสบความล้มเหลวกับเรื่องบนเตียง - และจุดหลักใหญ่สำคัญที่หนังต้องการจะพูดถึง นั่นคือเรื่องของริกเกน ทอมสัน อดีตเบิร์ดแมน (ซึ่งก็ยั่วล้อกับชีวิตจริงของไมเคิล คีตัน ดาราผู้รับบทบาทนี้เองอีกที)
ดังที่เราทราบกันดี ไมเคิล คีตันโด่งดังสุดขีดจากบทบาท Batman เวอร์ชั่นของทิม เบอร์ตันในปี 1989 – คำว่าสุดขีดนี้ ผมหมายถึงสุดจริงๆ คือสุดอยู่แค่นั้น เพราะหลังจากเขาสลัดผ้าคลุมอัศวินรัตติกาล ไปรับบทนู่นบทนี่ในเวลาต่อมา ก็ไม่มีใครจำเขาได้อีกเลย (คือเล่นอะไรก็ไม่ดังอีกแล้ว) คนจะจดจำเขาได้จากการเป็น 'ไมเคิ่ล คีตัน อดีตแบทแมน' เหมือนสต๊าฟแน่นิ่งเอาไว้ในปลายทศวรรษที่ 90 เท่านั้น – ชีวิตของริกเกน ทอมสันใน Birdman ก็แทบจะถอดแบบมาจากชีวิตของคีตันนั่นแหละ (ดังที่เราทราบกันดี)
ริกเกนโด่งดังจากการเป็นนักแสดงนำในหนังบล็อคบัสเตอร์ที่โดนนักวิจารณ์ค่อนแคะว่าเป็นหนังห่วย ไร้รสนิยม ไม่มีความเป็นศิลปะ ซึ่งแม้มันจะห่วย (ในสายตาของนักวิจารณ์) มันก็คือจุดสูงสุดในอาชีพนักแสดงของริกเกน เพราะหลังจากเขาปฏิเสธที่จะรับแสดงต่อในภาค 4 ของหนังเรื่องเดิม ชื่อของเขาก็หายไปจากวงการ ทิ้งไว้เพียงตัวตนของ 'ริกเกน ทอมสัน อดีตเบิร์ดแมน' ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของคนดู - เวลาผ่านไป ริกเกนต้องการพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง เขาหันมากำกับและแสดงละครเวทีเรื่อง What We Talk About When We Talk About Love ซึ่งดูจะเป็นอะไรที่มีความเป็น 'ศิลปะ' ขึ้นมาสักหน่อย (ในความคิดของเขาและของนักวิจารณ์) และก็หวังที่จะให้ละครเวทีเรื่องนี้ สร้างตัวตนใหม่ให้แก่เขา สลัดภาพมนุษย์นกออกไปจากมันสมองส่วนจดจำของทุกคนให้จงได้
มันจึงเปรียบได้กับการวิ่งหนีตัวตนเดิมที่ประกอบอยู่ภายใต้ชุดรัดรูปเห่ยๆที่มีปีก เพราะมันทำให้คนดูติดภาพเขาในคราบของนักแสดงหนังซุปเปอร์ฮีโร่ไร้รสนิยม หาใช่ศิลปินผู้ผลิตงานศิลปะ
ซึ่งเอาเข้าจริงๆแล้วผมว่ามันไม่เหมือนการวิ่งหนี มันเหมือนเป็นการวิ่งวนอยู่กับที่เสียมากกว่า
เพราะริกเกนก็ดูจะภูมิอกภูมิใจในชื่อเสียงเก่าๆนั่นอยู่ลึกๆ เห็นได้จากฉากที่มีคนมาขอถ่ายรูปคู่กับเขาในร้านกาแฟ แม้จะไม่มีการแสดงออกซึ่งอารมณ์ใดๆผ่านทางสีหน้า ก็คาดว่าในใจเขาคงกระโดดโลดเต้นอยู่เป็นแน่ และเขาก็ยังหวังที่จะกินบุญเก่า ใช้ชื่อเสียงในอดีตเป็นใบเบิกทางให้คนซื้อตั๋วมาชมละครของเขาอยู่เหมือนกันอีกด้วย นั่นแสดงให้เห็นว่าเขายังติดอยู่ในหล่มของตัวตนเดิมๆ วนเวียนอยู่กับอดีตที่เคยหอมหวน
อาจเป็นเพราะริกเกนยังคงโหยหาคำชื่นชม ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญของอาชีพนักแสดง แต่ในกรณีของเขา เราอาจเรียกได้ว่ามันคือการเสพติดชนิดหนึ่ง ซึ่งโดยธรรมชาติของการเสพติด เมื่อเราต้องว่างเว้นจากการเสพสิ่งที่เราติดเป็นเวลานานก็จะเกิดอาการลงแดง นำมาซึ่งความคุ้มคลั่ง ไร้สติ และก็จะดิ้นรนกระเสือกระสนหาวิธีที่จะได้เสพสิ่งนั้นอีกครั้ง – ริกเกนคือคนที่เสพติดเสียงปรบมือ ซึ่งในบางแง่มุม เสียงปรบมือก็อาจหมายถึงการเป็นที่ยอมรับของคนดู แท้จริงแล้วริกเกนอาจต้องการเพียงเป็นที่ยอมรับของคนอื่นก็เท่านั้น
นั่นจึงทำให้เขาเป็นคนที่น่าสงสารเอามากๆ
หนังได้ตอกย้ำความน่าสงสารนี้ในฉากตอนท้ายเรื่อง ที่ริกเกนต้องวิ่งฝ่าฝูงชนภายใต้ร่างที่เปลือยเปล่า ที่ห่อหุ้มไว้ด้วยกางเกงในเพียงตัวเดียว เป็นความตลกร้ายที่น่าเศร้า เพราะมันแสดงให้เราเห็นว่า ตัวตนเก่าๆและชื่อเสียงที่สั่งสมมาทั้งหมดทั้งมวลที่ริกเกนภูมิใจนักหนา มันได้ย้อนกลับมาทำร้ายเขาเสียเอง เพราะถ้าหากริกเกนไม่ใช่ดาราดัง คนก็คงจะไม่ให้ความสนใจกันมากขนาดนี้ (ก็คงคิดว่าเป็นแค่คนเสียสติคนนึง) – แต่พอเป็นเขา ‘ริกเกน ทอมสัน อดีตซุปเปอร์ฮีโร่สุดเท่’ คนเลยพร้อมใจกันยกกล้องขึ้นมาถ่ายวิดีโอ อัพโหลดเผยแพร่จนกลายเป็นกระแสฮิตในโลกไซเบอร์ – ถ้าเลือกได้ เขาคงอยากจะเขวี้ยงตัวตนนั้นทิ้งไปซะเดี๋ยวนั้น ตัวตนที่ทำให้เขา เป็นเขาในปัจจุบัน
สิ่งที่น่าคิดก็คือ แล้วตัวตนก่อนหน้านั้นอีกล่ะ ? ตัวตนที่ยังไม่ได้สวมชุดมนุษย์นก มันเป็นอย่างไร
ผมขอเชื่อมโยงเรื่องนี้กับเทคนิคการถ่ายทำแบบ Long Take (ซึ่งถือเป็นอีกจุดขายหนึ่งของหนัง) อินญาร์ริตู ผู้กำกับ เคยให้สัมภาษณ์ว่า Long Take มันเปรียบได้กับชีวิตจริง เพราะชีวิตเรามันก็จะดำเนินเรื่อยไปไม่มีการคัทตัดต่อเหมือนภาพยนตร์ มันจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ต้องยอมรับ และเดินต่อไป – ริกเกนเองก็อาจจะมีชีวิตที่ Long Take มาเป็นเวลา Long พอสมควร ซึ่งมันควรจะดีถ้าชีวิตที่ว่านี้ เราได้เดินหรือวิ่งไปข้างหน้า ไม่ใช่วิ่งวนอยู่กับที่อย่างที่เขาทำ – ผมว่าบางทีริกเกนอาจจะต้องหยุดเดินแป๊บนึง และลองคิดย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นที่เขาก้าวเดิน จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ชีวิตของเขาเอง
ริกเกนเริ่มต้นเดินในสายอาชีพนักแสดง เพราะเขาประทับใจในคำชื่นชมจากเรย์มอนด์ คาร์เวอร์ อดีตนักแสดงผู้เป็นแรงบันดาลใจในวัยเด็ก และเมื่อเบนมาทางละครเวที เขาก็ยังเลือกเอาบทประพันธ์ของคาว์เวอร์มาดัดแปลง – ริกเกนจะเก็บกระดาษโน้ตซึ่งมีลายมือของคาว์เวอร์ที่เขียนชมการแสดงของเขาเอาติดตัวไว้เสมอ
ไม่รู้ว่ามีใครสังเกตเห็นเหมือนผมไหม – ริกเกนลืมกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้ในร้านกาแฟ ในวันเดียวกับที่เขาหลงลืมตัวตนของตัวเขาเอง
มันสื่อความหมายได้กลายๆ ว่าบางทีเขาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าทำไมเขาจึงเลือกที่จะมาเป็นนักแสดง
ซึ่งก็ดูจะมีความหมายใกล้เคียงกับประโยคที่เขาโดนลูกสาวตะคอกใส่หน้าว่า เขาไม่ได้ทำละครเวทีเพราะรักในงานศิลปะหรอก เขาทำเพียงเพราะอยากเป็นคนสำคัญเท่านั้น
คิดแล้วก็น่าขำ เพราะมันก็คงจะดีกว่านี้แน่ๆ ถ้าเสียงที่ดังอยู่ตลอดในมโนสำนึกของเขา เป็นเสียงตะคอกแรงๆของลูกสาว หรือเป็นเสียงเตือนสติของคาว์เวอร์ ไม่ใช่เสียงที่คอยปลุกปั่นยุยงจากเบิร์ดแมน หรืออีโก้ของเขาเอง
ท่ามกลางความตลกร้ายทั้งหมดที่ปรากฏในหนัง ผมว่ามุกนี้ร้ายที่สุด
แถมยังตลกไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
PAGE | โตแล้ว จะดูหนังเรื่องอะไรก็ได้ | www.facebook.com/tohlaew