มีพระเถระ ว่าปาราชิก ตั้ง8ท่าน ยังไม่พออีกหรือ ? ทำไมไม่มองในแง่นี้กันบ้าง

กระทู้คำถาม
สมัยนั้น มันว่า พระลิขิตปลอม
สมัยนี้ มันหาว่า ญาติโยมถวายพระ ไม่ได้ถวายวัด
ทั้งที่ความจริง  เป็นการเอาเงินวัดไปซื้อแล้วโอนเข้าชื่อคนสนิท

บิดเบือนความจริง เพื่ออะไร

----------
มีพระเถระ ว่าปาราชิก ตั้ง8รูป ยังไม่พออีกหรือ  ?
ถ้าบริสุทธจริง ทำไมพระทุกรูป ไม่เห็นตรงกันว่า บริสุทธิ

ทำไมไม่มองในแง่นี้กันบ้าง
----------
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ในพระธรรมวินัย ไม่มี “สังฆราช” ไม่มี “มหาเถรสมาคม” ไม่มี “เจ้าคุณชั้นรอง ชั้นพรหม ชั้นธรรม ชั้นเทพ ชั้นราช ชั้นสามัญ” ไม่มี “มหาเปรียญ พระครู” ไม่มี “เจ้าคณะ” ต่างๆ พระพุทธเจ้ารับสั่งว่า ธรรมและวินัยจะเป็นตัวแทนพระองค์ที่จะคอยดูแลพุทธบริษัท ก็พระควรเคารพกันด้วยอาวุโสที่ “พรรษา” มิใช่หรือ แล้วใยให้ความสำคัญกับ “พัดยศ” มากกว่า แน่นอน เหล่านี้ล้วนเป็นแนวทางการปกครองคณะสงฆ์ที่บูรพมหากษัตรยิ์ได้ทรงวางแนวทางไว้ เพื่อความเรียบร้อย ความสามัคคีและความอนุเคราะห์ ในการปฏิบัติธรรมและวินัย

ทีลาภสักการะ ยศ ศักดิ์ อันเกิดจากสายการปกครอง ยินดียอมรับ น้อมรับ แต่พอเป็นประเด็นแห่งโทษทัณฑ์ทางสายการปกครอง โบ้ยไปหาความชัดเจนในธรรมวินัย โบ้ยไปหาตัวอย่างในพุทธบัญญัติ ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือ แน่นอน พระที่ต้องปาราชิก ไม่จำเป็นต้องมีใครมาชี้ มาวินิจฉัย ทันทีที่ผิดก็เป็นตาลยอดด้วนในตัวเองอยู่แล้ว ผู้ที่มีหิริโอตัปปะแรงกล้า เมื่อรู้ตัวก็จะอัปเปหิตนเองออกจากหมู่คณะ มิให้หมู่สงฆ์ต้องเศร้าหมอง มิตอกย้ำความผิดในตน ลาสิกขาออกไปก็สามารถเป็นคฤหัสถ์ที่ทรงคุณธรรมได้ พระลิขิตก็คือชี้แจงว่าหากทำเช่นนั้นก็ต้องอาบัติปาราชิก พระองค์ทรงลิขิตในฐานะเป็นประมุขแห่งสงฆ์ทางสายปกครองคณะสงฆ์ตามที่ฝ่ายบ้านเมืองได้แต่งตั้ง โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงลงปรมาภิไท สมเด็จพระสังฆราชทรงทำตามหน้าที่ของพระองค์ในฐานะประมุขคณะสงฆ์ไทย

ส่วนคณะมหาเถรนะหรือ... ยังทรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถืออีกหรือ สมเด็จฯช่วง พระคู่สวดธัมมชโย เป็นหัวหน้า แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับที่มหาเถรประกาศออกมานั้น สมเหตุสมผลควรค่าแก่การเชื่อถือหลังจากใคร่ครวญพิจารณาดูแล้ว จริงหรือ “ไม่มีเจตนาเอาเป็นของส่วนตัว” ฟังดูเหมือนดีมีเหตุผล เพราะท่านเป็นนักบวช แต่ “เจตนาเพื่อเอาไปใช้จ่ายเพื่อความสุขสะดวกสบายสำหรับตัว สำหรับพวกตัว (รวมถึงแบ่งๆให้พระในมหาเถรด้วย) เพื่อกิจการที่ตัวและพวกตัวทำอยู่ๆ” นั่นล่ะ....

คดียักยอกทรัพย์ที่อัยการถอนฟ้อง เป็นการถือเอา ยักยอกเอา ทรัพย์สมบัติหรือสิ่งของของผู้อื่น มาเป็นของของตัวหรือไม่ การที่เมื่อคืนไปแล้วถือว่าไม่ผิด ควรแล้วหรือ... เมื่อได้มาโดยชอบตั้งแต่แรกแล้ว จะต้องคืนไปทำไม เมื่อได้มาโดยชอบแต่แรกแล้ว คืนไปมิเท่ากับผิดเจตนารมณ์ครั้งแรกหรอกหรือ หากแก้ต่างว่า ไม่มีเจตนา ก็ควรคืนไปทันที มิใช่ยื้อเวลาให้ผ่านไปหลายปี ค่อยคืนเมื่อใกล้เวลาศาลตัดสิน... ที่สอนคำสอนเพี้ยนๆ... ที่ให้การเท็จต่อศาลเกี่ยวกับคดีศุภชัย... ที่รับของโจรคดีสหกรณ์คลองจั่น... ที่อ้างรู้ว่าใครไปเกิดที่ไหน... ที่อวดรู้ว่าในดินแดนแห่งนิพพานเป็นเช่นไร เหล่านี้ใช้ได้หรือ มิใช่เป็นอลัชชี เดียร์ถีย์หรอกหรือ... ทั้งยังกล่าวสอนลบหลู่พระพุทธเจ้า (ลองหาฟังคลิปเทศสอนเรื่องพระพุทธเจ้าสะดุ้งเพราะมาร) ทำได้หรือแบบนี้...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่