สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ถือว่าเป็น "กรรม" ของทุกๆ คนนะครับ
กรณีของสมเด็จพุฒาจารย์(อาจ)นั้น ท่านดำรงตำแหน่งเป็นสังฆมนตรีว่าการศึกษา ตำแหน่งพระราชาคณะชั้นหิรัญบัตรที่พระพิมลธรรม เพราะท่านทุ่มเทให้งานเผยแพร่มาก(จุดประกายส่งพระออกไปเผยแพร่ต่างประเทศครั้งแรก เลยโดนข้อห้าฝักใฝ่คอมมิวนิสต์) ตอนท่านโดนเล่นงานนั้นเป็นความอิจฉาริษยาในหมู่พระด้วยกันเอง แล้วไปยืมมือบ้านเมืองเข้ามากำจัดท่าน ตำรวจจากสันติบาลนิมนต์ท่านให้สึก ท่านไม่ยอมสึก มีการกระชากผ้าเหลืองกันชุลุมุน พระที่กระชากผ้าเหลืองท่านคืออดีตเจ้าอาวาสวัดไตรมิตร พระธรรมราชานุวัติ(ฟื้น) พระสังฆราชที่สนับสนุนให้ฆราวาสเล่นงานท่านก็ประสบอุบัติเหตุมรณภาพ พระที่มีส่วนร่วมก็มีอันเป็นไป สมัยผมบวชเณรเรียนที่วัดมหาธาตุก็เคยไปกราบสักการะท่านเจ้าคุณหลวงพ่อใหญ่สมเด็จพุฒาจารย์(อาจ)เสมอๆ ท่านก็เคยเล่าเรื่องให้ฟังบ้างแบบปะติดปะต่อ ท่านไม่เคยโทษใครเลย ท่านบอกว่าท่านชดใช้กรรมของท่าน คนอื่นๆ จะเป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปตามกรรม
ส่วนกรณีสมเด็จช่วงนี้ ออกจะแตกต่างกันอยู่หลายจุด คล้ายกันอยู่หลายจุด....จุดสำคัญในความคิดส่วนตัวของผมก็คือ เรื่องธรรมยุติกับเรื่องมหานิกายครับ คณะสงฆ์จากทั้งสองฝ่ายอาจจะยินยอมให้สมเด็จช่วงเป็นสังฆราช แต่ผมไม่แน่ในว่า "ฆราวาส" จะยอมได้มากน้อยขนาดไหน ถ้าสนใจก็ลองสืบสาวราวเรื่องศึกระหว่างธรรมยุติและมหานิกายดู ศึกนี้ส่วนใหญ่จะมีตำแหน่งสังฆราชเป็นตัววางเดิมพัน
ดูกรณีของสมเด็จพุฒาจารย์(อาจ)ก็จะเห็นว่า การใช้บ้านเมืองเล่นงานท่านนั้นเป็นการเตะสกัดดาวรุ่ง เพราะท่านมีผลงานมากมายและเป็นพระราชาคณะรองสมเด็จตั้งแต่อายุยังน้อย คือตอนนั้นท่านเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะในขณะที่ "สมเด็จพระญาณสังวร" เป็นเพียงพระราชาคณะชั้นสามัญอยู่ คือวัยวุฒิและพรรษายังห่างกันมาก......แต่สุดท้ายสมเด็จพระญาณสังวรก็ไต่เต้าจากพระราชาคณะชั้นสามัญ ชั้นราช ชั้นเทพ ชั้นธรรม ชั้นรองสมเด็จ ชั้นสมเด็จ และสุดท้ายเป็นสังฆราชได้แบบผ่านสมเด็จพุฒาจารย์แบบฉลุย เพราะมีแบ็คอัพดีและอยู่ฝ่ายธรรมยุติ
คนอย่างอาจารย์สมศักดิ์ เจียมฯ และศ. ศิวรักษ์ ที่โพนทะนาด่าตำหนิพระสงฆ์เรื่องตำแหน่งสังฆราชนั้น เห็นจะไม่ถูกต้องนัก....พระท่านอยู่ของท่านดีๆ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ใครล่ะครับที่อุปโลกน์ตำแหน่งอย่างนี้ไปให้ท่าน(เพื่อใช้ประโยชน์ทางการเมือง)??.....อาจารย์สมศักดิ์และ ศ.ศิวรักษ์ก็เอกอุในเรื่องประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ถ้าจะวิจารณ์ก็ลองวิจารณ์ให้สุดโคนลิ้นสิครับ อย่าวิจารณ์เอาแค่ที่ปลายลิ้น
กรณีของสมเด็จพุฒาจารย์(อาจ)นั้น ท่านดำรงตำแหน่งเป็นสังฆมนตรีว่าการศึกษา ตำแหน่งพระราชาคณะชั้นหิรัญบัตรที่พระพิมลธรรม เพราะท่านทุ่มเทให้งานเผยแพร่มาก(จุดประกายส่งพระออกไปเผยแพร่ต่างประเทศครั้งแรก เลยโดนข้อห้าฝักใฝ่คอมมิวนิสต์) ตอนท่านโดนเล่นงานนั้นเป็นความอิจฉาริษยาในหมู่พระด้วยกันเอง แล้วไปยืมมือบ้านเมืองเข้ามากำจัดท่าน ตำรวจจากสันติบาลนิมนต์ท่านให้สึก ท่านไม่ยอมสึก มีการกระชากผ้าเหลืองกันชุลุมุน พระที่กระชากผ้าเหลืองท่านคืออดีตเจ้าอาวาสวัดไตรมิตร พระธรรมราชานุวัติ(ฟื้น) พระสังฆราชที่สนับสนุนให้ฆราวาสเล่นงานท่านก็ประสบอุบัติเหตุมรณภาพ พระที่มีส่วนร่วมก็มีอันเป็นไป สมัยผมบวชเณรเรียนที่วัดมหาธาตุก็เคยไปกราบสักการะท่านเจ้าคุณหลวงพ่อใหญ่สมเด็จพุฒาจารย์(อาจ)เสมอๆ ท่านก็เคยเล่าเรื่องให้ฟังบ้างแบบปะติดปะต่อ ท่านไม่เคยโทษใครเลย ท่านบอกว่าท่านชดใช้กรรมของท่าน คนอื่นๆ จะเป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปตามกรรม
ส่วนกรณีสมเด็จช่วงนี้ ออกจะแตกต่างกันอยู่หลายจุด คล้ายกันอยู่หลายจุด....จุดสำคัญในความคิดส่วนตัวของผมก็คือ เรื่องธรรมยุติกับเรื่องมหานิกายครับ คณะสงฆ์จากทั้งสองฝ่ายอาจจะยินยอมให้สมเด็จช่วงเป็นสังฆราช แต่ผมไม่แน่ในว่า "ฆราวาส" จะยอมได้มากน้อยขนาดไหน ถ้าสนใจก็ลองสืบสาวราวเรื่องศึกระหว่างธรรมยุติและมหานิกายดู ศึกนี้ส่วนใหญ่จะมีตำแหน่งสังฆราชเป็นตัววางเดิมพัน
ดูกรณีของสมเด็จพุฒาจารย์(อาจ)ก็จะเห็นว่า การใช้บ้านเมืองเล่นงานท่านนั้นเป็นการเตะสกัดดาวรุ่ง เพราะท่านมีผลงานมากมายและเป็นพระราชาคณะรองสมเด็จตั้งแต่อายุยังน้อย คือตอนนั้นท่านเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะในขณะที่ "สมเด็จพระญาณสังวร" เป็นเพียงพระราชาคณะชั้นสามัญอยู่ คือวัยวุฒิและพรรษายังห่างกันมาก......แต่สุดท้ายสมเด็จพระญาณสังวรก็ไต่เต้าจากพระราชาคณะชั้นสามัญ ชั้นราช ชั้นเทพ ชั้นธรรม ชั้นรองสมเด็จ ชั้นสมเด็จ และสุดท้ายเป็นสังฆราชได้แบบผ่านสมเด็จพุฒาจารย์แบบฉลุย เพราะมีแบ็คอัพดีและอยู่ฝ่ายธรรมยุติ
คนอย่างอาจารย์สมศักดิ์ เจียมฯ และศ. ศิวรักษ์ ที่โพนทะนาด่าตำหนิพระสงฆ์เรื่องตำแหน่งสังฆราชนั้น เห็นจะไม่ถูกต้องนัก....พระท่านอยู่ของท่านดีๆ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ใครล่ะครับที่อุปโลกน์ตำแหน่งอย่างนี้ไปให้ท่าน(เพื่อใช้ประโยชน์ทางการเมือง)??.....อาจารย์สมศักดิ์และ ศ.ศิวรักษ์ก็เอกอุในเรื่องประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ถ้าจะวิจารณ์ก็ลองวิจารณ์ให้สุดโคนลิ้นสิครับ อย่าวิจารณ์เอาแค่ที่ปลายลิ้น
แสดงความคิดเห็น
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ) ก็เคยถูกใส่ร้ายป้ายสีให้มีมลทินจนต้องถูกจับสึกและติดคุก
แต่สุดท้าย ผลกรรมตามทันพวกที่จงใจใส่ร้ายป้ายสีป้ายมลทินท่านจนประสบภัยพิบัติหายนะกันหมดทุกคน!
เรื่องสมเด็จวัดปากน้ำ ตลอดทั้งชีวิตของท่านอุทิศเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไปต่างประเทศ มีการสร้างโรงเรียนปริยัติธรรม มีการส่งพระธรรมทูตออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีการนำบรรดาเณรน้อยจากวัดในศรีลังกา เนปาล มาบวชเรียนในวัดปากน้ำ ให้ได้เรียนปริยัติธรรม แล้วส่งกลับไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนา
แต่ตอนนี้ กับแค่เรื่องรถโบราณคันเดียว ที่มีผู้บริจาคโดยเจาะจงใส่ชื่อท่าน แต่ว่าโดนจงใจใส่ใคล้ว่า เป็นรถหรูๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ทั้งที่เป็นรถที่ใช้งานจริงไม่ได้ แล้วก็อยู่ในพิพิธภัณฑ์ของวัดปากน้ำ เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาชม ไม่ใช่เก็บไว้ชื่นชมส่วนตัว
ผมเองเคยบวชที่วัดปากน้ำ 2 เดือนในช่วงที่ปิดเทอมสมัยเป็นนักศึกษา ความเป็นอยู่ของท่านก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่ได้ฟุ้งเฟ้ออะไรเลย ทุกเช้าท่านจะลงทำวัตรเช้าในอุโบสถกับพระสงฆ์และเณรของวัดปากน้ำ แล้วพอทำวัตรสวดมนต์เสร็จ ท่านก็จะพานั่งทำสมาธิต่ออีกครึ่งชั่วโมง เป็นอย่างนี้ทุกเช้ามิเคยขาด ฉันเช้าก็ฉันร่วมกันกับพระเณรทั้งวัด ไม่ได้แยกฉัน ไม่ได้มีอาหารวิลิศมาหรา ฉันเพลก็ฉันร่วมกับพระเณรทั้งวัดอีก ทำอย่างนี้ทุกเช้าทุกวันไม่เคยขาด และไม่เคยเห็นท่านสะสมอะไรฟุ้งเฟ้อ
รถโบราณในวัดปากน้ำมี 3 คันที่มีผู้ถวาย แต่มีเพียงคันเดียวที่ผู้ถวายเจาะจงให้ใส่เป็นชื่อท่าน
ในสมัยพุทธกาล ก็มีอุบาสกอุบาสิกาที่ถวายทานถวายปัจจัยทั้งที่เจาะจงถวายเป็นสังฆทาน และถวายเป็นส่วนตัว เพียงแต่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า การถวายเป็นสังฆทานนั้นย่อมได้บุญกว่า แต่ก็ไม่ใช่หมายความว่าจะห้ามถวายเป็นส่วนตัว เพราะขึ้นอยู่กับศรัทธาของญาติโยมที่ถวาย อย่างที่เรียกว่า ไม่ขัดศรัทธาของญาติโยม แต่การจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร ก็อยู่ที่พระภิกษุผู้รับจะพึงพิจารณาให้เกิดประโยชน์สูงสุด