เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีสหรัฐฯเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐดำเนินมาตรการที่แข็งกร้าวกับไทยว่า เรื่องดังกล่าวรัฐบาลได้มีการดำเนินการและรับทราบ ทั้งนี้ที่ผ่านมาการใช้มาตรคว่ำบาตรในประเทศอื่นๆของสหรัฐฯ ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ เพราะผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนก็คือประชาชน
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยก็ต้องรับฟังและพยายามนำข้อกังวลที่เหมาะสมมาปรับใช้ เช่น การคลายกฎอัยการศึก เปิดให้มีการพูดคุยเรื่องของการเมืองมากขึ้น ซึ่งการเปิดพื้นที่ดังกล่าวนั้นต่างเป็นแผนของรัฐบาลอยู่แล้ว อย่างเช่นสถาบันพระปกเกล้าฯได้เตรียมจัดเวทีให้ทุกภาคส่วนเข้ามาคุย โดยวันที่ 1 มีนาคม จะเปิดเวทีสมัชชาพลเมือง 15 มีนาคม จัดเสวนาด้านธุรกิจ 19 มีนาคมเสวนาวิชาการเรื่องการเมือง
ทั้งนี้ การเปิดเวทีดังกล่าวจำเป็นต้องคล้ายกฎอัยการศึกแน่นอน ทั้งนี้ในปี 2558 ซึ่งจะมีการถกเตียงในเรื่องของข้อกฎหมายต่างๆและรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐบาลได้หาวิธีการผ่อนคลายกฎอัยการศึกเพื่อสร้างบรรยากาศ แต่ก็ต้องดูแลในเรื่องของความปลอดภัยไปด้วย
นายปณิธาน กล่าวว่า ไม่มีประเทศใดในโลกนี้อยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว การเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกและอาเซียนเป็นการยืนยันว่า ไทยมีความจำเป็นที่ต้องพึ่งพิงและเดินหน้าประเทศให้สอดคล้องกับกระแสของโลก อย่างไรก็ตามแม้ประเทศไทยจะมีการทำรัฐประหารแต่พันธผูกพันกับต่างประเทศก็ยังคงอยู่
แต่ในอีกแง่หนึ่งไทยจำเป็นต้องระมัดระวังการแทรกแทรงของประเทศมหาอำนาจ ที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ ในมติของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นมีความซับซ้อนกว่าที่นักวิชาการบางฝ่ายคิด มีทั้งเรื่องของการเชื่อมโยง การรักษาเอกราชอธิปไตย เพียงแต่ต้องหาความสมดุลเท่านั้นเอง
“ต่างประเทศอาจจะไม่ได้เข้าใจลายละเอียดของเรามากนักประชาธิปไตยส่วนใหญ่ทั่วโลกให้การยอมรับแต่ว่าจะเอามาดัดแปรงใช้อย่างไรก็เป็นเรื่องของประเทศนั้น เพราะหลายประเทศต่างมีการดัดแปรงให้เหมาะสมกับวัฒนธรรม ท่องถิ่น แต่ตรงนี้ทำให้คนที่มีหัวคิดแบบตะวันตกที่ต้องการเอาประชาธิปไตยแบบตะวันตกมาใช้จึงไม่ประสบความสำเร็จ จึงไม่เกิดการยอมรับ เรื่องนี้จึงต้องมีการอธิบายให้คนตะวันตกเข้าใจว่าระบบของเขานั้น โดยหลังการสามารถใช้ได้ แต่ทำอย่างไรให้เหมาะกับบ้านเรา เป็นหน้าที่ของเราในการอธิบาย” นายปณิธาน กล่าว
ที่มา มติชนออนไลน์
“ปณิธาน”เผย รบ.มีแผนเปิดให้คุยพื้นที่การเมืองมากขึ้น-คลายกฎอัยการศึก
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยก็ต้องรับฟังและพยายามนำข้อกังวลที่เหมาะสมมาปรับใช้ เช่น การคลายกฎอัยการศึก เปิดให้มีการพูดคุยเรื่องของการเมืองมากขึ้น ซึ่งการเปิดพื้นที่ดังกล่าวนั้นต่างเป็นแผนของรัฐบาลอยู่แล้ว อย่างเช่นสถาบันพระปกเกล้าฯได้เตรียมจัดเวทีให้ทุกภาคส่วนเข้ามาคุย โดยวันที่ 1 มีนาคม จะเปิดเวทีสมัชชาพลเมือง 15 มีนาคม จัดเสวนาด้านธุรกิจ 19 มีนาคมเสวนาวิชาการเรื่องการเมือง
ทั้งนี้ การเปิดเวทีดังกล่าวจำเป็นต้องคล้ายกฎอัยการศึกแน่นอน ทั้งนี้ในปี 2558 ซึ่งจะมีการถกเตียงในเรื่องของข้อกฎหมายต่างๆและรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐบาลได้หาวิธีการผ่อนคลายกฎอัยการศึกเพื่อสร้างบรรยากาศ แต่ก็ต้องดูแลในเรื่องของความปลอดภัยไปด้วย
นายปณิธาน กล่าวว่า ไม่มีประเทศใดในโลกนี้อยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว การเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกและอาเซียนเป็นการยืนยันว่า ไทยมีความจำเป็นที่ต้องพึ่งพิงและเดินหน้าประเทศให้สอดคล้องกับกระแสของโลก อย่างไรก็ตามแม้ประเทศไทยจะมีการทำรัฐประหารแต่พันธผูกพันกับต่างประเทศก็ยังคงอยู่
แต่ในอีกแง่หนึ่งไทยจำเป็นต้องระมัดระวังการแทรกแทรงของประเทศมหาอำนาจ ที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ ในมติของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นมีความซับซ้อนกว่าที่นักวิชาการบางฝ่ายคิด มีทั้งเรื่องของการเชื่อมโยง การรักษาเอกราชอธิปไตย เพียงแต่ต้องหาความสมดุลเท่านั้นเอง
“ต่างประเทศอาจจะไม่ได้เข้าใจลายละเอียดของเรามากนักประชาธิปไตยส่วนใหญ่ทั่วโลกให้การยอมรับแต่ว่าจะเอามาดัดแปรงใช้อย่างไรก็เป็นเรื่องของประเทศนั้น เพราะหลายประเทศต่างมีการดัดแปรงให้เหมาะสมกับวัฒนธรรม ท่องถิ่น แต่ตรงนี้ทำให้คนที่มีหัวคิดแบบตะวันตกที่ต้องการเอาประชาธิปไตยแบบตะวันตกมาใช้จึงไม่ประสบความสำเร็จ จึงไม่เกิดการยอมรับ เรื่องนี้จึงต้องมีการอธิบายให้คนตะวันตกเข้าใจว่าระบบของเขานั้น โดยหลังการสามารถใช้ได้ แต่ทำอย่างไรให้เหมาะกับบ้านเรา เป็นหน้าที่ของเราในการอธิบาย” นายปณิธาน กล่าว
ที่มา มติชนออนไลน์