เรื่องของเรื่องก็คือผมเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมเล่มหนึ่ง (ต้องขออภัยผมอ่านมันมานานแล้ว และหนังสือเล่มนั้นก็ไม่ได้อยู่ที่ผมตอนนี้ รายละเอียดอาจจะตกหล่นไป) ใครที่ไม่ต้องการอ่านย่อหน้าเกริ่นนำ ข้ามไปย่อหน้าสุดท้ายเลยครับ คำถามเนื้อๆ
ส่วนหนึ่งในหนังสือกล่าวถึง โลกของเงิน (ธุรกิจ) จะสวนทางกับโลกของความรู้สึก
และได้ยกตัวอย่างประมาณว่า หากเราตีค่าความรู้สึกดีๆ และความรัก ด้วยเงินมักไม่ให้ผลที่ดีนัก เช่น หากคุณกำลังฉลองงานเลี้ยงในครอบครัว ลูกๆของคุณกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ญาติๆคุณกำลังมีความสุขกับการเตรียมอาหาร เมื่อทุกคนมาร่วมโต๊ะกัน แล้วคุณก็พูดโพล่งกับแม่ของคุณว่า "แม่ครับ แม่ช่างมีพระคุณอย่างมาก ถ้าจะให้ตีค่าความรักทั้งหมดที่แม่มีให้ เป็นเงิน จะสามารถตีค่าได้เท่าไหร่ครับ"
สภาพบรรยากาศทุกคนคงช๊อคกับสิ่งที่คุณพูดถึง และสถานการณ์ที่ตามมาคงไม่ค่อยดีนัก แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้คุณจะต้องคิดว่า ความรัก, ความรู้สึก จะสวนทางกับเงิน ในหนังสือได้อธิบายหลายๆการทดลองของเขา
ผมสรุปของผมเองว่า หากจะเล่นกับความรู้สึก อย่าใช้เงินโดยตรง (ถึงแม้จะต้องใช้เงินก็ตาม)
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการมอบความรักให้กับแม่ของคุณ การให้เงินโดยตรง อาจจะไม่รู้สึกดีเท่ากับการที่คุณไปซื้อกระดาษหลากสี แล้วคุณก็พยายามบรรเลง ศิลปะทุกอย่างลงไป (แน่นอน ยิ่งถ้าคุณไม่เคยวาดรูป แต่คุณกลับวาด กลับยิ่งส่งผลให้ความรู้สึกที่ดีกว่า) นั่นคือสิ่งที่ผมสรุปออกมาในตอนนั้น
แต่... ผมกำลังคิดใหม่ กับสิ่งที่ผมสรุปไป เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่อไปนี้
1. งานรับปริญญา มีรุ่นน้องคนหนึ่งบอกว่า ของขวัญรับปริญญาขอเป็นเงินดีกว่า
2. งานเลี้ยงปีใหม่ แห่งหนึ่ง เมื่อมีการจับฉลากของขวัญ การได้ของขวัญกลับเป็นเรื่องที่รู้สึกเฉยๆ แต่พอเป็นเงินเท่านั้นแหละ ทุกคนกลับตื่นเต้นกันใหญ่เลย
ผมกำลังสงสัยว่า สังคมปัจจุบัน อาจจะชอบเงินมากกว่า แล้วนึกถึงสังคมสมัยก่อนที่ต่างคนต่างมีสวน พอเพื่อนบ้านมะม่วงออกผลงาม ก็เดินมาแบ่งให้ แต่ละหลัง ก็ทำให้เกิดความสัมพันธ์กันในหมู่บ้าน แล้วสิ่งนี้กำลังจะลดลงไปรึเปล่า
สรุปคำถาม ถ้าคุณมีเพื่อนบ้านซึ่งทำสวน แล้วเขาเอาผลที่ได้จากการทำสวน มาแบ่งให้คุณ vs. เพื่อนบ้านที่ทำห้องแถว แล้วเขาเอาเงินมาแบ่งให้คุณ อันไหนคุณจะรู้สึกดีกว่ากันครับ?
คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณได้รับสิ่งของจากเพื่อนบ้าน vs. ได้เงินจากเพื่อนบ้าน
ส่วนหนึ่งในหนังสือกล่าวถึง โลกของเงิน (ธุรกิจ) จะสวนทางกับโลกของความรู้สึก
และได้ยกตัวอย่างประมาณว่า หากเราตีค่าความรู้สึกดีๆ และความรัก ด้วยเงินมักไม่ให้ผลที่ดีนัก เช่น หากคุณกำลังฉลองงานเลี้ยงในครอบครัว ลูกๆของคุณกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ญาติๆคุณกำลังมีความสุขกับการเตรียมอาหาร เมื่อทุกคนมาร่วมโต๊ะกัน แล้วคุณก็พูดโพล่งกับแม่ของคุณว่า "แม่ครับ แม่ช่างมีพระคุณอย่างมาก ถ้าจะให้ตีค่าความรักทั้งหมดที่แม่มีให้ เป็นเงิน จะสามารถตีค่าได้เท่าไหร่ครับ"
สภาพบรรยากาศทุกคนคงช๊อคกับสิ่งที่คุณพูดถึง และสถานการณ์ที่ตามมาคงไม่ค่อยดีนัก แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้คุณจะต้องคิดว่า ความรัก, ความรู้สึก จะสวนทางกับเงิน ในหนังสือได้อธิบายหลายๆการทดลองของเขา
ผมสรุปของผมเองว่า หากจะเล่นกับความรู้สึก อย่าใช้เงินโดยตรง (ถึงแม้จะต้องใช้เงินก็ตาม)
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการมอบความรักให้กับแม่ของคุณ การให้เงินโดยตรง อาจจะไม่รู้สึกดีเท่ากับการที่คุณไปซื้อกระดาษหลากสี แล้วคุณก็พยายามบรรเลง ศิลปะทุกอย่างลงไป (แน่นอน ยิ่งถ้าคุณไม่เคยวาดรูป แต่คุณกลับวาด กลับยิ่งส่งผลให้ความรู้สึกที่ดีกว่า) นั่นคือสิ่งที่ผมสรุปออกมาในตอนนั้น
แต่... ผมกำลังคิดใหม่ กับสิ่งที่ผมสรุปไป เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่อไปนี้
1. งานรับปริญญา มีรุ่นน้องคนหนึ่งบอกว่า ของขวัญรับปริญญาขอเป็นเงินดีกว่า
2. งานเลี้ยงปีใหม่ แห่งหนึ่ง เมื่อมีการจับฉลากของขวัญ การได้ของขวัญกลับเป็นเรื่องที่รู้สึกเฉยๆ แต่พอเป็นเงินเท่านั้นแหละ ทุกคนกลับตื่นเต้นกันใหญ่เลย
ผมกำลังสงสัยว่า สังคมปัจจุบัน อาจจะชอบเงินมากกว่า แล้วนึกถึงสังคมสมัยก่อนที่ต่างคนต่างมีสวน พอเพื่อนบ้านมะม่วงออกผลงาม ก็เดินมาแบ่งให้ แต่ละหลัง ก็ทำให้เกิดความสัมพันธ์กันในหมู่บ้าน แล้วสิ่งนี้กำลังจะลดลงไปรึเปล่า
สรุปคำถาม ถ้าคุณมีเพื่อนบ้านซึ่งทำสวน แล้วเขาเอาผลที่ได้จากการทำสวน มาแบ่งให้คุณ vs. เพื่อนบ้านที่ทำห้องแถว แล้วเขาเอาเงินมาแบ่งให้คุณ อันไหนคุณจะรู้สึกดีกว่ากันครับ?