พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด ๑๙ ก.พ.๕๘

พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด

ชุดที่ ๗ สุดสาครศิษย์พระเจ้าตา

ตอนที่ ๑ "รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี"

ฑ.มณฑา


เมื่อพระอภัยมณีออกเดินทางจากเกาะแก้วพิศดาร อาศัยเรือกำปั่นของท้าวสิลราชกลับบ้านเมืองจนกระทั่งเรือแตก
แล้วอุศเรนรัชทายาทของเจ้าเมืองลังกา มาช่วยรับไปจากเกาะร้าง และรบกับสินสมุทเพื่อชิงนางสุวรรณมาลี
คู่หมั้นคู่หมายแต่ต้องพ่ายแพ้ไป สุดท้ายพระอภัยมณีกลับเป็นผู้ได้ครองกรุงผลึกและได้อภิเษกกับนางสุวรรณมาลีเสียเองนั้น
เวลาก็คงจะผ่านมาประมาณห้าปี

ในระหว่างนั้นเองบุตรชายคนที่สองของพระอภัยมณี ซึ่งเกิดจากนางเงือกน้อยกลอยใจที่เกาะแก้วพิศดาร ก็ลามารดาและพระเจ้าตา
ออกเดินทางไปตามหาบิดา ขณะที่มีอายุเพียงสามขวบ กุมารนั้นก็คือ สุดสาคร แม้อายุยังเยาว์
แต่ก็มีความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาจากพระเจ้าตามากมาย ทั้งได้ไม้เท้าวิเศษเป็นอาวุธคู่มือ มีม้ามังกรเป็นพาหนะ
สามารถว่ายน้ำหรือวิ่งไปบนน้ำได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อตอนที่จะจากกันมา นางเงือกผู้มารดา รำพันไว้ว่าอย่างไรก็ยังจำได้ว่า

“ต้องลมแดดแผดเผาจะเศร้าสร้อย
ทั้งกล้วยอ้อยพ่อจะได้ที่ไหนเสวย
กันดารแดนแสนไกลพ่อไม่เคย
จะหลงเลยลดเลี้ยวอยู่เดียวดาย
แสนสงสรมารดาอุตส่าห์ถนอม
จะซูบผอมเผือดผิวจะหิวโหย
เหมือนดอกไม้ไกลต้นจะหล่นโรย
น้ำค้างโปรยปรายต้องจะหมองมัว
แม้ล้าเลื่อยเมื่อยเหน็บจะเจ็บป่วย
ใครจะช่วยอนุกูลพ่อทูนหัว
ทั้งผีสางกลางชลาล้วนน่ากลัว
จะจับตัวฉีกเนื้อเป็นเหยื่อกิน “

และตนเองก็ไม่วายคิดถึงมารดา ซึ่งเป็นมนุษย์ปนมัจฉาแสนอาภัพ

“ แล้วลานางย่างเยื้องชำเลืองเหลียว
ให้เปล่าเปลี่ยวเสียวทรวงสะท้อนถอน
ขึ้นทรงนั่งหลังพระยาม้ามังกร
แล้วหยุดหย่อนยืนยั้งเหลียวหลังแล
เห็นศาลาอาลัยเพียงใจขาด
จะนิราศแรมร้างไปห่างแห
สะอื้นไห้ใจคอให้ท้อแท้
คิดถึงแม่ถึงตายิ่งอาลัย “

สุดสารครเดินทางไปทางทิศพายัพได้ไม่เท่าไร ก็พบเมืองตั้งอยู่กลางทะเลเมืองหนึ่ง เมื่อมองแต่ไกลจะเห็นความเจริญรุ่งเรือง
มีบ้านช่องแน่นหนา และผู้คนพลเมืองเดินกันขวักไขว่ ทำมาค้าขายกันทั้งทางบกทางน้ำ แต่พอควบม้ามังกรเข้าไปในเมือง
ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปหมด บ้านช่องตึกรามก็หายไป มีแต่กำแพงเมืองดูคร่ำคร่าจมอยู่ในน้ำ ผู้คนที่เห็นมากมายก็กลายเป็นผีดิบ
เข้ากลุ้มรุมสุดสาคร จะจับตัวดูดเลือดกิน สุดสาครก็แกว่งไม้เท้าคู่มือฟาดฟันกับผีร้าย ล้มหายไปก็มาก แต่ที่หนุนเนื่องเข้ามาก็มิใช่น้อย
ม้ามังกรก็ช่วยขบกัดถีบกระทืบ ทั้งเอาหางซึ่งเป็นนาคฟาดพวกผี ก็ไม่อาจเอาชนะได้ ต่อสู้กันอยู่ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน
จนเหนื่อยอ่อนไปทั้งคนและม้า แทบจะจมน้ำตายอยู่แล้ว ก็ร้อนถึงพระอาจารย์ต้องมาช่วยเหลือ

“................................................... .................................................
พอเสียงดังหง่างหง่างมากลางลม
ปีศาจจมหายวับไปลับตา
เห็นโยคีขี่เมฆมาเสกเวท
จึงอาเพทพวกผีหนีคาถา
ขึ้นหยุดยั้งนั่งลนใบเสมา
ไหว้เจ้าตาทูลถามไปตามแคลง “

พระฤๅษีจึงเล่าให้ฟังว่า แต่เดิมเป็นเมืองของเท้าปักกา แต่เลิกนับถือพระพุทธศาสนา จึงเกิดอาเพททำให้ข้าวยากหมากแพง
ประชาชนอดอยากล้มตายลงมาก มายร่วมร้อยล้าน และในที่สุดเมืองนี้ก็ล่มจมมหาสมุทรไป เหลือแต่เสมาบนกำแพงเมืองโผล่พ้นน้ำอยู่นิดเดียว
แล้วพระอาจารย์ก็แนะให้สุดสาครออกเดินทางต่อไป ถ้าพบผีร้ายชนิดนี้อีกก็อย่าไปสู้กับมัน ให้รีบหนีไปเสีย ถ้ามันเข้ามาใกล้
จึงใช้ไม้เท้าฟาดให้สลายไป

สุดสาครพาม้ามังกรขึ้นไปพักบนเกาะร้างแห่งหนึ่งที่อยู่แถวนั้น หาผลไม้กินพออิ่มท้องหายเหนดเหนื่อย แล้วก็นอนพักเสียคืนหนึ่ง
ปล่อยให้ม้ามังกรออกไปเที่ยวหากินตามสบาย พอรุ่งเช้าจึงออกเดินทางต่อไป

สุดสาครเดินทางต่อมาอีกกระมาณเดือนเศษ ก็ถึงเกาะแห่งหนึ่ง อยู่ไม่ไกลจากเมืองการะเวก เมื่อขี่ม้ามังกรเดินสำรวจไปทั่วเกาะ
ก็พบกุฎีหลังหนึ่งอยู่ในป่าละเมาะใกล้เนินเขา พอเข้าไปใกล้ศาลา จึงเห็นว่ามีชายชราผู้หนึ่งนอนหลับอยู่
ตาเฒ่าผู้นี้ท่าทางดูเหมือนจะเป็นฤาษีชีไพร แต่เปลือยกายไม่นุ่งผ้าผ่อน ผมเผ้าและหนวดเคราก็หงอกขาวยาวเฟื้อยเลื้อยถึงดิน
ก็มีความสงสัยเป็นกำลัง

"ประหลาดใจใยหนอไม่นุ่งผ้า
จะเป็นบ้าไปหรือว่าถือศีล
หนวดถึงเข่าเคราถึงนมผมถึงตีน
ฝรั่งจีนแขกไทยก็ใช่ที"

สุดสาครจึงตะโกนเรียก ให้ตื่นขึ้นมาพูดจากันหน่อย ว่าเป็นอย่างไรจึงไม่นุ่งผ้า ตามแก่ชีเปลือยก็บอกว่า

"อันร่างกายหมายเหมือนหนึ่งเรือนโรค
แสนโสโครกคืออายุกเป็นทุกขัง
เครื่องสำหรับยับยุบอสุภัง
จะปิดบังเวทนาไว้ว่าไร
เราถือศีลจินตนาศิวาโมกข์
สละโลกรูปนามตามวิสัย
บังเกิดเป็นเบญจขันธ์มาฉันใด
ก็ทิ้งไว้เช่นนั้นจนฉันนี้"

สุดสาครได้ฟังก็หลงเชื่อว่าคงจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตขั้นสูง จนละกิเลสไม่อาลัยใยดีต่อสังขารร่างกาย เกิดมาอย่างไรก็อยู่อย่างนั้น
ไม่ปรุงแต่งให้สวยงามตามปกติเช่นคนทั่วไป ก็บังเกิดความนับถือเลื่อมใส จึงลงจากหลังม้ากราบขอโทษ และเล่าความเดิมให้ฟัง
พร้อมทั้งไต่ถามหนทางที่จะไปหาบิดา กับพี่ชายที่จากไปกว่าสามปีแล้ว

ชีเปลือยนั้นเดิมเป็นพราหมณ์อยู่เมืองไกล นั่งเรือมาแตกแถวนี้ แต่รอดชีวิตมาอยู่บนเกาะ ก็อาศัยกินผลไม้อย่างเดียว
เสื้อผ้าไม่มีจะนุ่งห่มก็เลยปล่อยตามสบาย อยู่มานานเข้าก็มีชาวเมืองการะเวกเดินทางมาพบ คิดว่าเป็นผู้วิเศษจึงก่อกุฏิให้อยู่อาศัย
และชวนกันมาบนบานศาลกล่าวเรื่องราวต่าง ๆ เมื่อได้ผลสำเร็จบ้าง ก็เล่าลือกันต่อไป จนมีผู้นับถือมากขึ้น

ครั้นพิจารณาดูสุดสาคร ฤาษีน้อยอายุเพียงสามขวบ แต่มีม้ารูปร่างหน้าตาแปลกประหลาด สามารถเดินบนน้ำเป็นพาหนะ
และถือไม้เท้าท่าทางจะมีฤทธิ์ ก็สนใจอยากจะได้มาครอบครองทั้งสองอย่าง จึงบอกว่าหนทางที่จะไปข้างหน้า
มีทะเลน้ำกรดขวางอยู่ ถ้าไม่มีเวทมนต์คาถาแล้วก็ไม่สามารถข้ามไปได้ สุดสาครจึงขอฝากตัวเป็นศิษย์ เพื่อเรียนเวทมนต์นั้น

ชีเปลือยก็หลอกพาสุดสาครขึ้นไปบนภูเขา หาที่สงบสงัดจะได้สอนคาถาให้ พอถึงปากเหวข้างบนก็ให้วางไม้เท้านั่งลงที่ขอบเหว
สงบสติอารมณ์ทำสมาธิจนเผลอตัว ชึเปลือยก็ผลักสุดสาครหล่นลงไปในเหวลึก สลบสิ้นสติสมประดีไป

"ชีเปลือยได้ไม้เท้าของดาวบส
แกถือจดจ้องเดินลงเนินไศล
ตรงมาหาพาชีด้วยดีใจ
แกเงื้อไม้ม้ากลัวก้มหัวลง
ขึ้นขี่หลังรั้งสายหวายตะค้า
สงสารม้าร้องเพียงจะเสียงหลง
แต่ป่วนปั่นหันเหียนวิ่งเวียนวง
ด้วยรักองค์หน่อนาถไม่คลาดคลา"

แต่ในที่สุดชีเปลือยก็เอาไม้เท้าวิเศษ บังคับม้ามังกรจนยอมให้ขี่ แล้วก็ควบขับบ่ายหน้าไปยังกรุงการะเวก

ฝ่ายสุดสาครซึ่งเสียรู้แก่ชีเปลือย ถูกผลักตกลงไปในเหว ก็กระแทกหินเรื่อยไปจนลึก แต่เนื่องจากมีอาคมของพระเจ้าตาคุ้มตัว
จึงคงทนไม่ถึงตาย แต่ก็สลบไปถึงสามวันสามคืน จึงได้ฟื้นคืนสติขึ้น แต่ด้วยความเจ็บช้ำไปทั่วร่างกาย ฤทธิ์เดชเวทมนต์ก็เสื่อมลง
จะปีนป่ายขึ้นจากก้นเหวก็ไม่ไหว ทั้งอดอยากหิวโหยโรยแรง ต้องนอนคิดถึงพระเจ้าตาและมารดาอยู่แต่ผู้เดียว

"สงสารแต่แม่เงือกของลูกน้อย
จะหลงคอยคิดถึงคนึงหา
ลูกอยากนมสมเด็จพระมารดา
แม้นได้มากล้ำกลืนจะชื่นใจ
โอ้แม่คุณทูลกระหม่อมถนอมลูก
ไม่ต้องถูกหนักหนาอัชฌาสัย
ได้สามปีชีวันจะบรรลัย
มิทันได้แทนคุณกรุณา"

ขณะที่รำพึงอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงม้ามังกรร้องอยู่ที่ปากเหวแต่ไม่สามารถจะไต่หินผาขึ้นไปหาได้ จึงร้องบอกม้า
ให้รีบไปตามพระเจ้าตามาช่วยชีวิตไว้ด้วย แล้วก็สลบไสลไปอีก ม้ามังกรซึ่งแอบหลบหนีจากตาเฒ่าชีเปลือยกลับมาได้
ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเจ้านายของมันได้อย่างไร นอกจากร้องไปตามประสาม้า แล้วก็นั่งเฝ้าอยู่ที่ปากเหวนั้นเอง

"บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว
สดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา
เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา
ประคองพาขึ้นไปบนบรรพต"

ก็ไม่มีใครนอกจากพระเจ้าตา จากเกาะแก้วพิศดารนั่นเอง เมื่อเข้าฌาณรู้ว่าหลานรักกำลังตกอยู่ในอันตราย ก็รีบมาช่วยขึ้นจากเหว
แล้วก็สอนสั่งเป็นสำนวนอมตะอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้

"แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
อันเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน
บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน
เกิดเป็นยคนคิดเห็นจึงเจรจา
แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ
ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี"

พระฤาษีสั่งสอนหลานเสร็จแล้ว ก็ล่องหนหายตัวไป เหลือแต่ม้ามังกรผู้ซื่อสัตย์ ที่เข้ามาเอาคางเกยเท้าเจ้านาย แล้วก็เอาจมูกสูดดม
แลบลิ้นเลียแข้งขาตามวิสัยสัตว์ สุดสาครก็จูงม้าพาไปเก็บผลไม้ในป่ากินแก้หิว แล้วก็ลงเล่นน้ำทะเลด้วยกัน
จนสดชื่นคืนแรงขึ้นมาอย่างเดิมแล้ว ก็ขึ้นหลังอาชาคู่ชีพ ออกเดินทางจากเกาะ มุ่งตรงไปยังกรุงการะเวกในคืนนั้นเอง.


##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่