วิธีตามง้อสามีกลับบ้าน ต้นเหตุจากนิสัยผู้เป็นภรรยา

กระทู้คำถาม
สวัสดีค่ะเพื่อนๆในเพจพันธ์ทิพย์ทุกคน ดิฉันชื่อแตงโม สามีชื่อ เลิฟ
เราสองอยู่ด้วยกันมา 6 ปี ก่อนจะมีลูก ตอนนี้ลูกชายอายุ 3 ขวบแล้ว เราอยู่ด้วยกันโดยไม่มีผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับ เราตัดสินใจอยู่กินกันเอง
สามีอายุน้อยกว่าดิฉัน แต่เป็นคนทำงานหาเลี้ยงดิฉันมาตลอด 6 ปี ก่อนหน้านี้ดิฉันเคยทำงาน เป็นอาชีพที่ดีมีรายได้สูง แต่พอตัดสินใจอยู่ด้วยกัน
สามีบอกให้ออกงาน และจะเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างเอง สามีจบการศึกษาแค่ ม. 6 ส่วนดิฉันจบปริญญาตรี โดยพื้นฐานทั้ง 2 ครอบครัว มีฐานะดี
แต่ด้วยปมหลังของผู้เป็นสามี อาจมีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัว เนื่องจากสามีเป็นลูกเลี้ยง พ่อแต่งงานใหม่ มีพี่น้องร่วมมารดา 2 คน คือพี่สาวและตัวสามี
และมีน้องชายต่างมารดา 1 คน ซึ่งปัญหาภายในบ้านของสามีทำให้สามีตัดสินใจออกจากบ้าน และหนีมาใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพ สามีเคยเล่าให้ฟังว่า
พ่อลำเอียงรักน้องชายมากกว่า ตนและพี่สาวจึงอยู่ทนความกดดันในบ้านไม่ไหว จึงตัดสินใจหนีมา พี่สาวก็หนีมาใช้ชีวิตเอง และมีครอบครัว ส่วนตัวสามี
ก็เข้ามาอยู่ในบ้านดิฉัน ซึ่งตอนแรกที่เข้ามาไม่ได้เกิดจากความรัก แต่เป็นความสงสาร และที่บ้านดิฉันก็ไม่มีใครยอมรับสามี แต่ด้วยความเป็นเด็กดี
แม่ดิฉันจึงรักและให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ สนับสนุนทั้งในอาชีพการงาน หรือซื้อสิ่งของมีค่าให้

ขออนุญาติเรียกสามีว่าเลิฟเลยนะคะ คืออยู่ด้วยกันมาเลิฟทำหน้าที่พ่อและสามีได้ดีมาตลอด แต่สิ่งที่ทำให้เริ่มเป็นปัญหา คงเป็นเพราะความไม่ยอมกัน
โดยนิสัยของดิฉันเองซะส่วนใหญ่ ดิฉันมีนิสัยปากร้าย พูดหยาบ ดูถูกสามี พูดจาไม่ให้เกียรติ สรุปคือข้อเสียของดิฉันมีมากกว่าผู้เป็นสามี
สามีมีนิสัยติดเกมส์ ซึ่งถ้ามองกันดีๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ด้วยความเห็นแก่ตัว ไม่ยอมใคร อยากเอาชนะ ดิฉันก็มักเอาเหตุผลนี้มาต่อว่าสามีต่างๆนาๆ
ท้าวความไปก็คือ ก่อนหน้าที่สามีจะมาอยู่กับดิฉัน สามีเคยทำงานร้านเกมส์มาก่อน คือชอบเล่นเกมส์มากอ่ะคะ จริงๆเราก็รู้จักกันจากเกมส์ออนไลน์ละคะ 555 สามีเป็นเพื่อนกับรุ่นน้องที่ดิโมรู้จัก โมก็เลยชวนเล่นด้วยกัน สมัยก่อนดิฉันก็ติดเกมส์มากเหมือนกัน แต่ก็ยังทำงานประจำอยู่นะคะ

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ มันเป็นปัญหาสะสมที่ดิฉันทำร้ายจิตใจเค้ามากๆ เดวย้อนไปนิดนึงนะคะ สามีเป็นคนหน้าตาดี รุปร่างดี ผิวขาว ส่วนดิฉันก็เคยหน้าตาดี หุ่นดี แต่พอเริ่มมีลูกก็เปลี่ยนเป็นอีกคนเลยค่ะ ทั้งอ้วน ทั้งปล่อยตัว งานบ้านก็ไม่ทำ ใช้สามีทำอย่างเดียว ทุกอย่างเป็นของกุ นุ้นของกุ นี่ของกุ อะไรๆก็ของกุ บ้านของกุ คือแย่อ่ะคะ นิสัยแย่มากๆ พูดจาหยาบคาย ไม่เคยให้เกียรติ สามีขอไปเตะบอลก็ไม่ให้ ขนาดเลิกงานแล้วขอเตะบอล บริษัทก็อยู่ข้างบ้านยังไม่ให้เลยค่ะ แต่ดิฉันก็มีเหตุผลนะคะ แต่อาจจะฟังไม่ขึ้น เหมือนแถๆ ที่ดิฉันไม่ให้เล่นก็เพราะว่า สามีทำงานประจำ บ.ปิโตรเลียม แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ข้างบ้าน และมีอาชีพเสริมคือ รับส่งพนักงานออฟฟิศ อีกบ.หนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน ใกล้ๆมากๆอ่ะคะ คือเช้าก็ต้องตื่นตั้งแต่ 6 โมง ไปรับพนักงาน พอ 8 โมงก็เข้างานประจำ แต่ก่อนไปทำงานจะต้องล้างขวดนมให้ลูกทุกเช้า อันนี้เป็นข้อตกลงกันตั้งแต่มีลูก สามีล้างขวดนมให้ลูกมา 3 ปี ส่วนงานบ้านอื่นๆดิฉันทำหมด
(ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของภรรยาที่ดี) แต่ไม่อย่างงั้นค่ะ พออยู่ๆด้วยกันมา ความขี้เกียจ การเกี่ยงงาน ความเห็นแก่ตัวของดิฉัน มันก็เริ่มออกมา ดิฉันอ้างว่าเป็นเพราะสามีเล่นแต่เกมส์ เลยหางานบ้านเพื่อสามีจะได้ไม่ว่าง เป็นเหตุผลที่แย่มาก คือเอางานบ้านมากองให้สามี เพื่อสามีจะได้ไม่มีเวลาไปเตะบอล หรือไปเล่นเกมส์ แต่ส่วนที่ดิฉันรู้สึกจริงๆก็คือ บางเวลาดิฉันก็อยากมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง อยากออกไปข้างนอก อยากไปร้านเสริมสวย อยากไปกินดื่มพบปะเพื่อนฝูง แต่ดิฉันก็ไม่เคยทำได้เช่นนั้นเลย ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา 6 ปี ดิฉันเคยนัดเพื่อนออกไปกินหมูกะทะอยู่เพียง 1 ครั้ง เพราะอะไรหรอคะ ก็เพราะปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาเรื่องเงินนี่ละคะ เราอยู่ด้วยกันมา โดยที่รายได้หลักมาจากสามีล้วนๆ คิดดูนะคะ เงินเดือนสามี ประมาณ 11,000 บาท ต่อเดือน
เงินเดือนรถ 23,000 บาท หักค่าน้ำมันไป 5,000 บาท ซึ่ง ย้อนไป 4 ปีที่แล้วเรายังผ่อนรถกันอยู่ด้วยค่ะ
แม่ดิฉันออกรถตู้มาให้สามีเพื่อที่จะมีรายได้เพิ่ม โดยออกเงินดาวน์ให้ 8 แสน ที่เหลือ 3 แสน เราผ่อนกันเอง โดยหักจากเงินเดือน 23,000 บาท หักค่าผ่อนรถเดือนละ 11,000 บาท + ค่าน้ำมัน 5,000 บาท = 16,000 บาท เหลือ ประมา  7,000 บาท หักค่าภาษี กับค่าประกันสังคม เหลือประมาณ 6,500 บาท (โดยประมาณนะคะ) รวมเงินเดือนสามี ก็คือเหลือใช้ไม่ถึง 2 หมื่นบาท เราผ่อนทุกอย่าง ผ่อนกันเอง ผ่อนรถ ผ่อนเครื่องซักผ้า ผ่อนโทรศัพท์ ผ่อนเตียง ผ่อนแท็ปเล็ต ผ่อนทีวี ไหนจะค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับลูก ค่านม ค่าแพมเพิส ค่าเสื้อผ้า และค่ากินของเราสองคน เราอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันกับแม่ดิฉันก็จริงนะคะ แต่เราไม่เคยมีเงินเหลือช่วยค่าน้ำค่าไฟแม่เลย ที่เราทำมาทั้งหมด ก็ใช้กันเอง โดยบางทีพอมั่ง ไม่พอมั่ง บางทีก็เอาทองที่แม่รับขวัญหลานไปจำนำ (ตอนนี้แม่ไถ่ออกให้หมดแล้ว หลังจากทราบปัญหา) คือชีวิตดำเนินมาแบบนี้ตลอด ความเครียดมีไหม ตอบ มีแน่นอน เวลารถเสีย แอร์เสีย แบตหมด เบรคเสีย ค่าพรบ. ค่าประกัน ค่าสึกหรอเกี่ยวกับรถมา เราก็จะทะเลาะกันละ เพราะเราไม่มีเงินเหลือเก็บกันเลย ที่กล่าวมาทั้งหมด จะชี้ให้เห็นว่า ทำไมดิฉันถึงไม่สามารถออกไปทำอะไรส่วนตัวได้เลย ถามว่าอยากมีเสื้อผ้าสวยๆ อยากแต่งหน้าทำผมเหมือนคนอื่นไหม อยากมีครีมหน้าเด้งดีๆ หรือยาลดความอ้วน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะมาทำให้ตัวเองดูดี อยากมีไหม อยากมีค่ะ อยากมีมาก อยากออกไปกินข้าวกับเพื่อนไหม อยากมากค่ะ อยากไปออกกำลังกายไหม อยากค่ะ แต่ทำไม่ได้สักอย่าง ลูกติดตัวอยู่ทุกที่ไม่ว่าจะไปไหน ตลอด 3 ปีมานี่ ดิฉันไม่เคยอาบน้ำคนเดียวเลย เพราะลูกอาบด้วยตลอด ดิฉันก็อยากมีชีวิตส่วนตัวเหมือนกัน แต่เมื่อเราเลือกที่จะมีลูกแล้ว เราก็ต้องยอมเสียสละอะไรที่คิดว่าไม่จำเป็นออกไปบ้าง ดิฉันมองแบบนี้ไงคะ แต่สามีก็มองอีกแบบว่า เออ แค่เตะบอลเอง แค่เล่นเกมส์เอง งานบ้านก็ช่วยแล้ว จะเอาอะไรอีก เงินทุกบาททุกสตางค์ก็ให้แล้ว มันเหมือนมองปัญหาคนละจุดกัน ต่างคนต่างคิด
แต่สิ่งที่สามีคิดคือความเจ็บแค้น ความโกรธ แต่บางเรื่องก็สมควรโกรธนะคะ สิ่งที่ดิฉันทำกับสามีก็ไม่ใช่น้อย ดิฉันไม่ใช่แค่ห้ามเค้าเล่นเกมส์ หรือเตะบอล แต่ห้ามไปหมดทุกอย่าง พาลด่าทุกอย่าง ยกทุกเรื่องมาพูด เอาเปรียบสามีทุกอย่าง เพราะเงินดิฉันเป็นคนถืออยุ่คนเดียว เวลาจะซื้ออะไรก็ซื้อคนเดียว สามีได้จับเงินบ้างนิดหน่อย แต่ใหญ่ๆเลยคือดิฉัน ดิฉันซื้อของเข้าบ้านทุกสิ่นเดือน ของหมาก็ซื้อ ของลูกก็ซื้อ ของตัวเองอีก (คือของกินของใช้ประจำวันน่ะคะ) เช่นแฟ้บ สบู่ ยาสีฟัน และก็กับข้าว เอาไว้ใส่ตู้เย็น คือประมาณว่า เงินเดือนออกมาวันเดียวหมดอ่ะคะ เหลือติดตัวไม่กี่บาท เพราะต้องจ่ายค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่ายิ้มบ้าง บางเดือน อ้อๆ เมื่อก่อนผ่อนมอเตอร์ไซด์ด้วยค่ะ
สิ่งที่ต้องผ่อนทั้งหมดทั้งมวลได้หายไปแล้ว หลังจากนั้น 3 ปี คือปีนี้ ตอนนี้ที่ต้องผ่อนอีกคือ ค่าเทอมลูกค่ะ เคยพูดเล่นๆกับสามีว่า ผ่อนทุกอย่างหมดก็ผ่อนลูกต่อละทีนี้ จริงๆค่ะ ตอนนี้ค่าเทอมลูกก็มารอแล้ว สิ่งนี้เป็นปัญหาระดับชาติในความรู้สึกดิฉันตอนนี้ เพราะอะไร ก็เพราะว่าสามีได้จากเราไปอย่างไม่มีวันกลับแล้วค่ะ ไม่ได้ตายนะคะ แต่เค้าหนีไป หนีไปอยู่กับพ่อที่จังหวัดนึงบนภาคเหนือ หนีไปตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2557 ตอนที่เค้าไปเค้าก็บาดเจ็บอยู่ด้วยค่ะ เค้าพึ่งไปผ่าไส้ติ่งมา ภาพถ่ายสุดท้ายของเค้ายังอยุ่ที่คอมพิวเตอร์ดิฉัน ดิฉันมองทีไรก็น้ำตาไหลทุกที มันเป็นความเลวที่ดิฉันได้ทำกับผู้เป็นสามีที่รัก สามีเป็นคนดีมาก เป็นพ่อที่ดีเป็นสามีที่ดีมาตลอด ไม่เคยมีเรื่องอื่นให้ร้อนใจ จะมีก็แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆที่บอกไป หากดิฉันมองข้ามเรื่องแค่นี้ไปได้ ไม่เอาความเครียดที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจในครอบครัวมายกให้เป็นปัญหา ปล่อยๆมันไปบ้าง เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิด มาถึงวันนี้รู้สึกเสียใจจนเคยคิดสั้นมาแล้ว
ที่แย่กว่านั้นคือได้ลงมือทำมาแล้ว มันไม่มีไรดีเลยค่ะ ทำยังไงเค้าก็ไม่กลับมา ดิฉันไปตามมา 3 รอบแล้ว หอบลูกน้อยไปง้อก็ยังไม่ยอมกลับ เค้าจากดิฉันไปเป็นเวลา 3 เดือนกว่าแล้ว ดิฉันอยากบอกให้เค้ารู้ ซึ่งจริงๆเค้าก็รับรุ้แล้ว ว่าดิฉันอยากขอโอกาศ อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ดิฉันไม่อยากเห็นลูกเป็นเด็กกำพร้า ดิฉันสงสารลูกมาก ตลอดเวลา 3 เดือน ลูกพูดถึงเค้าตลอด ลูกถามถึงคุณพ่อ ลูกเปิดหน้าต่างดูคุณพ่อ ถามว่าเมื่อไหร่คุณพ่อจะกลับ ที่ดิฉันคิดตอนนี้ มันไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่มันเป็นการให้โอกาสลูก ให้โอกาสตัวดิฉันเองที่จะได้ทำความดี ทำตัวเป็นภรรยาที่ดี ดิฉันและสามีก็เกิดในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ พ่อและแม่ดิฉันต่างมีครอบครัวใหม่ ดิฉันรู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน ดิฉันไม่เคยมีความมั่นใจในการทำอะไรๆทั้งนั้น เพราะเวลาที่ดิฉันเห็นแม่และพ่อเลี้ยงซื้อของให้น้อง ดิฉันไม่เคยอิจฉา ได้แต่คิดว่าทำไมพ่อดิฉันไม่เคยทำแบบนี้บ้าง และการได้รับความรักจากพ่อเป็นยังไง ดิฉันไม่เคยได้รับโอกาสนั้น ดิฉันเคยคิดไว้อยุ่เสมอว่าลูกดิฉันจะไม่เป็นแบบนั้น ดิฉันใช้ชีวิตบนความประมาทเสมอมา ดิฉันคิดว่าสามีรักดิฉัน ไม่มีวันทิ้งดิฉัน ถึงดิฉันจะอ้วนและปากร้าย ด่าสามี ดูถูกสามี ด่าไปถึงญาติพี่น้อง บุพการีเค้า เค้าเคยเตือนดิฉันหลายรอบแล้ว แต่ดิฉันก็ย่ามใจ คิดว่าขอโทษแล้วเดี๋ยวก็หาย ความคิดนี้ผิดค่ะ เค้าโกรธ และฝังใจ กลายเป็นความเกลียดชัง ตอนนี้ดิฉันสัมผัสความรุ้สึกนั้นได้ ดิฉันขึ้นไปง้อเค้ามา 3 ครั้ง ครั้งแรกเค้าโกรธมาก ก็ไม่ยอมกลับ ครั้งที่ 2 ดีขึ้นหน่อย เพราะขึ้นไปช่วงวันพ่อ เค้าก็พาดิฉันไปหาญาติๆ และพาลูกไปเที่ยวสวนสัตว์ ตอนนั้นเราได้เดินจับมือกัน 3 คนพ่อแม่ลูก เค้าซื้อของให้ลูกและดิฉัน เค้าจับเสื้อผ้า และถามว่าอยากได้ไหม คือทุกอย่างดูดีขึ้นกว่าครั้งแรก แต่ครั้งที่ 3 นี้ ดิฉันขึ้นไปหาเค้าด้วยเหตุผลที่ว่าลูกกำลังจะเข้าเรียน ดิฉันไม่มีเงินสักบาทจะจ่ายค่าเทอม จึงขึ้นไปตกลงว่าจะทำยังไง เพราะตั้งแต่เค้าไปเค้าก็บอกจะช่วยจ่ายค่าเลี้ยงดูให้ 4000 บาททุกเดือน เพราะเค้าได้เงินเดือนจากการช่วยพ่อทำธุรกิจที่บ้านเดือนละ 15,000 บาท แต่ดิฉันคิดว่ายังไงก็ไม่พอ ขนาดเราเคยมีรายได้เยอะกว่านี้ยังไม่พอเลย ถามว่าทำไมดิฉันไม่ทำงาน ดิฉันออกหางานแล้วนะคะ แต่ด้วยอายุ และนน.ตัว ดิฉันอ้วนมากกก อ้วนชนิดที่ว่าน้องๆช้างเลยค่ะ ไปสมัครที่ไหนเค้าก็ไม่รับ ตอนที่ส่ง Port folio เค้าก็โอเคนะคะ รีบเรียกไปสัมภาษณ์ แต่พอเค้าเห็นตัวดิฉันเท่านั้นละ เค้าคงอยากถีบดิฉันออกจากบริษัท มันเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้ามากนะคะ ดิฉันอยากให้เค้ากลับมาด้วยเหตุผลหลักกๆ คือ อยากให้ช่วยกันเลี้ยงลูก อยู่เป็นเพื่อนลูก อยากให้มองเรื่องลูกเป็นหลักสำคัญ เด็กคนนี้น่าสงสารมากนะคะ คือดิฉันไม่เคยเห็นเค้าเป็นแบบนี้ ครั้งที่ 3 ที่เรา 2 คนแม่ลูกไปหาเค้า ลูกกอดคุณพ่อแบบชนิดที่ว่า ตัวเราอึ้งนะคะ กอดซบ ไม่ปล่อย กลัวไม่ได้อยุ่กับคุณพ่ออีก เด็กโกหกไม่เป็นนะคะ เค้าแสดงตามที่เค้ารู้สึก แต่ครั้งนี้แย่กว่าครั้งก่อนๆ ตรงที่ เมื่อช่วงวันที่ 10 มกราคม 2558 ดิฉันทราบข่าวจากทางครอบครัวสามีว่า สามีหนีออกจากบ้านไปนอนกับผู้หญิง ทำไมถึงหนี เพราะครอบครัวสามีเป็นครอบครัวที่เลี้ยงลูกแบบปิด คือจะไม่ค่อยปล่อยให้ไปทำเรื่องอะไรแย่ๆแบบนี้ คือไปกินเหล้าหรือนอนค้างที่อื่น ถึงสามีจะอายุเยอะและมีครอบครัวแล้วก็ตาม เพราะเค้าไม่ต้องการให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีก แต่สามีก็หนีออกไปจนได้ และครั้งนี้เองที่ทำให้ดิฉันหัวใจสลาย ครั้งที่ 3 ที่ดิฉันกับลูกขึ้นไปหาเค้า สามีไม่ใกล้ตัวดิฉัน ไม่จับมือ ยืนห่าง นั่งห่างและพูดว่าไม่กลับ และจะขอหย่าด้วยนะคะ แต่ดิฉันไม่หย่าค่ะ เพราะดิฉันยังหวังว่าสามีจะกลับมา ดิฉันเข้าใจว่าการที่ได้ไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นแล้ว อาจจะทำให้ความรู้สึกเค้าเปลี่ยน (เดี๋ยวมาต่อนะคะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่