ใครเคยอ่าน เรื่องราวที่ลูกคนหนึ่งเล่าว่าลังเลใจมากที่จะส่งแม่ไปบ้านพักคนชราดีหรือไม่
แม่หลายคนอ่านแล้วก็รู้สึกกลัว ว่าตัวเองจะเจอแบบนั้น.....????? ผู้เขียนจึงเอาข้อความนี้

มาถามคุณแม่....
ก็อื่นผู้เขียนต้องขอบอกก่อน ว่าไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ว่ากล่าวคุณแม่ท่านอื่นๆ เพียงแต่คุยกับคุณแม่ผู้เขียนเอง
และท่านก็ให้คำแนะนำมา บางข้ออาจทำได้หรือไม่ได้บ้าง มันก็คงแล้วแต่สถานะการณ์ ต่างๆที่แต่ล่ะคนจะเจอ
แต่ผู้เขียนเห็นว่า มันมีประโยชน์ ในการปรับทัศนะคติของผู้เขียนเอง ในอนาคต ที่อาจอยู่ในสถานะการณ์เดียวกับคุณแม่
และอาจมีประโยชน์ต่อท่านอื่นๆด้วยเช่นกัน
ลูกจ๋าอย่าส่งแม่ไป...
16/02/2015
ตอน การทำตัวเองของแม่ให้มีค่าโดยไม่ต้องกลัวว่าลูกจะส่ง
ไปบ้านพักคนชรา
เขียนจากชีวิตคุณแม่ของผู้เขียนเอง หลังจากที่เสียที่พึ่งคือคุณพ่อไปคุณแม่ที่เราคิดไว้ว่าต้องอับเฉา เหงา เศร้า มองทุก
อย่างไร้ค่า และกลัวว่าลูกๆจะทอดทิ้ง กลับทำให้ลูกๆประหลาดใจซ้ำคุณแม่ ยังกลายเป็นที่พึ่งของลูกๆหลานๆ ได้ในทุกๆเรื่อง
อย่างไม่หน้าเชื่อ
คุณแม่เป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาๆ ดูแลบ้าน ดูแลลูกๆ4คน แทนคุณพ่อ ทุกๆอย่าง ตั้งแต่แต่งงานกับคุณพ่อ เมื่อตอนอายุ 21ปี ท่านเป็นคุณนายในสายตา ของคนอื่นๆและมีผู้ช่วยทำงานบ้านอยู่เสมอไม่เคยขาด แต่ท่านทำอย่างไร กับชีวิตที่ไม่มีคุณพ่อแล้ว มาดูกัน วันหนึ่งผู้เขียนถามท่านว่า
คุณแม่เคยกลัวว่าลูกๆจะทอดทิ้งแล้วส่งไปบ้านพักคนชรามั้ย นี่คือคำตอบของท่านพร้อมคำสอน
แม่ไม่กลัวหรอกลูก แม่มีวิธี ......
ข้อที่1 ปลูกฝั่งจิตใจ ตั้งแต่ลูกเล็กๆ แม่ปลูกฝั่งให้ลูกรักและเคารพผู้อื่น เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ยามที่เค้าเดือด
ร้อน ทำให้ลูกเป็นคน เอื้ออาทร มีเมตตา พร้อมทั้งรู้คุณคน
ข้อ2 เตรียมลูก แม่สอนให้ลูกๆ พึ่งตัวเอง ไม่เอาแต่พึ่งผู้อื่นและให้มองเห็นการทำให้ตัวเองเดือดร้อน ก็จะทำให้ผู้อื่น
เดือดร้อนไปด้วยเสมอ นั่นเป็นการปลูกฝั่ง ให้ลูกพึ่งตัวเองได้แก้ไขสถานะการณ์ต่างๆได้เอง คิดเองเป็นโดยที่ไม่ต้องพึ่งแม่
มากนัก ในยามที่แม่แก่เฒ่า
ข้อ3 เก็บเงิน และใช้เงิน เมื่อแม่ปลูกฝั่งให้ลูกพึ่งตัวเองได้ สตางค์ที่แม่พอมี ก็ยังอยู่ ลูกๆไม่ต้องรบกวนมากนัก แถมยัง
งอกเงยไปด้วย ดอกเบี้ยทั้งหลาย จึงไม่ได้ใช้ไปในทางไหน ยกเว้น แต่แม่จะใช้ส่วนตัวเท่านั้น สรุปข้อนี้คือ แม่มีรายได้เป็นของตัวเอง ซึ่งถ้าหากไม่มี ก็ควรมีเงินเก็บสะสมสักก้อน
ข้อ4 พร้อมให้ ในข้อนี้ไม่ใช่เอาแต่ให้เงินทอง แต่คือให้ความ
ห่วงใยเอาใจใส่ ดูแล พร้อมอยู่เคียงข้างลูกเสมอ ยามลูกมีปัญหา ข้อนี้ทำให้ลูกมองเห็นคุณค่าของแม่เสมอ
ข้อ5 แข็งแรง แม่ก็ได้เตรียมตัวแม่เอง ให้แข็งแรงดูแลตัวเองได้ไม่เอาแต่พึ่งลูกหลานจนเกินไป เพื่อไม่ให้ลูกรู้สึก ว่าแม่น่า
เบื่อ น่ารำคาญ โดยการทำทุกอย่างเองในบ้าน สรุปข้อนี้ คือคุณแม่เป็นคนขยัน ขยันทำโน่นนี่จนลูกๆต้องเกรงใจ
ข้อ6 เข้าใจไม่คาดหวัง แม่เข้าใจเวลาในการทำงานของลูก เข้าใจว่าลูกมีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบเป็นของลูกเอง แม่จึงไม่คาดหวัง ว่าลูกจะต้องมาดูแลแม่เสมอ และไม่เคยกล่าวหาลูกว่าลูกผิดในเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะการกล่าวหาลูกจะทำให้ลูกกดดัน และไม่รู้สึกรักนับถือแม่อีกต่อไป
ข้อ7 ไม่ช่างติเตียน แต่แม่จะเปลี่ยนเป็นแนะนำ เชิงปรึกษา และถามความเห็นลูกเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องของลูกเอง หรือธุระของแม่ ก็ตาม เพื่อไม่ให้ลูกที่โตแล้วของแม่ รู้สึกว่าแม่กำลังออกคำสั่งซึ่งนั่น จะทำให้ลูกรู้สึก ว่าแม่น่าเบื่อ
ข้อ8 เกรงใจ แม่ไม่เคยถือตัวว่าแม่เป็นแม่นะ ฉะนั้นการเกรงใจซึ่งกันและกัน ก็เป็นสิ่งสำคัญ เมื่อแม่เกรงใจลูก ลูกก็จะรู้สึกเกรงใจแม่ และเต็มใจที่จะทำ บางเรื่องที่เเม่ขอให้ช่วยเองโดยที่แม่ไม่ต้องใช่คำสั่งให้ลูกอึดอัดใจเลย
ข้อ9 ลูกรักใครแม่รักด้วย แม่มีเมตตาอ่อนโยน ต่อลูกเขยลูกสะใภ้ของแม่ทุกคนเสมอ แม่ทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งพิง
ได้กับเขา แม่ให้อภัยเขา และไม่คอยตำหนิติเตียนเรื่องเล็กน้อยให้เขารู้สึกว่าแม่เป็นคนอื่น ไม่โยนภาระงานบ้าน
ทุกอย่างไปที่เขา เพื่อไม่ให้เขาเห็นว่าแม่ไร้ค่า และทำให้เขารู้สึกว่าเป็นคนรับใช้ของแม่ อย่างไม่เต็มใจ
ข้อ10 สุดท้าย แม่ปรับตัว แม่ไม่เคยไปยุ่งกับชีวิตครอบครัวของลูก แม่พยายามวางตัวเป็นกลาง ไม่เรื่องมากเอาแต่ใจ
และยอมรับความจริง ว่าลูกต้องมีชีวิตเป็นของลูกเอง ไม่ใช่เป็นของแม่ตลอดไป
เพียง สิบข้อนี้ที่แม่ทำมาตลอดกับลูกๆของแม่และคนรักของลูก
แล้วทำไมแม่จะต้องกลัวอีก ว่าลูกจะทิ้งแม่ไป ให้อยู่
บ้านพักคนชรา
จริงของคุณแม่ ว่ามั้ย....แต่ทำไมแม่ๆทั้งหลายถึงกลัวกันนักหนาว่าลูกจะทิ้ง โดยเฉพาะคนที่มีลูกชาย ???
ยอมรับความจริง
ลูกจ๋าอย่าส่งแม่ไป.......
แม่หลายคนอ่านแล้วก็รู้สึกกลัว ว่าตัวเองจะเจอแบบนั้น.....????? ผู้เขียนจึงเอาข้อความนี้
ก็อื่นผู้เขียนต้องขอบอกก่อน ว่าไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ว่ากล่าวคุณแม่ท่านอื่นๆ เพียงแต่คุยกับคุณแม่ผู้เขียนเอง
และท่านก็ให้คำแนะนำมา บางข้ออาจทำได้หรือไม่ได้บ้าง มันก็คงแล้วแต่สถานะการณ์ ต่างๆที่แต่ล่ะคนจะเจอ
แต่ผู้เขียนเห็นว่า มันมีประโยชน์ ในการปรับทัศนะคติของผู้เขียนเอง ในอนาคต ที่อาจอยู่ในสถานะการณ์เดียวกับคุณแม่
และอาจมีประโยชน์ต่อท่านอื่นๆด้วยเช่นกัน
ลูกจ๋าอย่าส่งแม่ไป...
16/02/2015
ตอน การทำตัวเองของแม่ให้มีค่าโดยไม่ต้องกลัวว่าลูกจะส่ง
ไปบ้านพักคนชรา
เขียนจากชีวิตคุณแม่ของผู้เขียนเอง หลังจากที่เสียที่พึ่งคือคุณพ่อไปคุณแม่ที่เราคิดไว้ว่าต้องอับเฉา เหงา เศร้า มองทุก
อย่างไร้ค่า และกลัวว่าลูกๆจะทอดทิ้ง กลับทำให้ลูกๆประหลาดใจซ้ำคุณแม่ ยังกลายเป็นที่พึ่งของลูกๆหลานๆ ได้ในทุกๆเรื่อง
อย่างไม่หน้าเชื่อ
คุณแม่เป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาๆ ดูแลบ้าน ดูแลลูกๆ4คน แทนคุณพ่อ ทุกๆอย่าง ตั้งแต่แต่งงานกับคุณพ่อ เมื่อตอนอายุ 21ปี ท่านเป็นคุณนายในสายตา ของคนอื่นๆและมีผู้ช่วยทำงานบ้านอยู่เสมอไม่เคยขาด แต่ท่านทำอย่างไร กับชีวิตที่ไม่มีคุณพ่อแล้ว มาดูกัน วันหนึ่งผู้เขียนถามท่านว่า
คุณแม่เคยกลัวว่าลูกๆจะทอดทิ้งแล้วส่งไปบ้านพักคนชรามั้ย นี่คือคำตอบของท่านพร้อมคำสอน
แม่ไม่กลัวหรอกลูก แม่มีวิธี ......
ข้อที่1 ปลูกฝั่งจิตใจ ตั้งแต่ลูกเล็กๆ แม่ปลูกฝั่งให้ลูกรักและเคารพผู้อื่น เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ยามที่เค้าเดือด
ร้อน ทำให้ลูกเป็นคน เอื้ออาทร มีเมตตา พร้อมทั้งรู้คุณคน
ข้อ2 เตรียมลูก แม่สอนให้ลูกๆ พึ่งตัวเอง ไม่เอาแต่พึ่งผู้อื่นและให้มองเห็นการทำให้ตัวเองเดือดร้อน ก็จะทำให้ผู้อื่น
เดือดร้อนไปด้วยเสมอ นั่นเป็นการปลูกฝั่ง ให้ลูกพึ่งตัวเองได้แก้ไขสถานะการณ์ต่างๆได้เอง คิดเองเป็นโดยที่ไม่ต้องพึ่งแม่
มากนัก ในยามที่แม่แก่เฒ่า
ข้อ3 เก็บเงิน และใช้เงิน เมื่อแม่ปลูกฝั่งให้ลูกพึ่งตัวเองได้ สตางค์ที่แม่พอมี ก็ยังอยู่ ลูกๆไม่ต้องรบกวนมากนัก แถมยัง
งอกเงยไปด้วย ดอกเบี้ยทั้งหลาย จึงไม่ได้ใช้ไปในทางไหน ยกเว้น แต่แม่จะใช้ส่วนตัวเท่านั้น สรุปข้อนี้คือ แม่มีรายได้เป็นของตัวเอง ซึ่งถ้าหากไม่มี ก็ควรมีเงินเก็บสะสมสักก้อน
ข้อ4 พร้อมให้ ในข้อนี้ไม่ใช่เอาแต่ให้เงินทอง แต่คือให้ความ
ห่วงใยเอาใจใส่ ดูแล พร้อมอยู่เคียงข้างลูกเสมอ ยามลูกมีปัญหา ข้อนี้ทำให้ลูกมองเห็นคุณค่าของแม่เสมอ
ข้อ5 แข็งแรง แม่ก็ได้เตรียมตัวแม่เอง ให้แข็งแรงดูแลตัวเองได้ไม่เอาแต่พึ่งลูกหลานจนเกินไป เพื่อไม่ให้ลูกรู้สึก ว่าแม่น่า
เบื่อ น่ารำคาญ โดยการทำทุกอย่างเองในบ้าน สรุปข้อนี้ คือคุณแม่เป็นคนขยัน ขยันทำโน่นนี่จนลูกๆต้องเกรงใจ
ข้อ6 เข้าใจไม่คาดหวัง แม่เข้าใจเวลาในการทำงานของลูก เข้าใจว่าลูกมีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบเป็นของลูกเอง แม่จึงไม่คาดหวัง ว่าลูกจะต้องมาดูแลแม่เสมอ และไม่เคยกล่าวหาลูกว่าลูกผิดในเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะการกล่าวหาลูกจะทำให้ลูกกดดัน และไม่รู้สึกรักนับถือแม่อีกต่อไป
ข้อ7 ไม่ช่างติเตียน แต่แม่จะเปลี่ยนเป็นแนะนำ เชิงปรึกษา และถามความเห็นลูกเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องของลูกเอง หรือธุระของแม่ ก็ตาม เพื่อไม่ให้ลูกที่โตแล้วของแม่ รู้สึกว่าแม่กำลังออกคำสั่งซึ่งนั่น จะทำให้ลูกรู้สึก ว่าแม่น่าเบื่อ
ข้อ8 เกรงใจ แม่ไม่เคยถือตัวว่าแม่เป็นแม่นะ ฉะนั้นการเกรงใจซึ่งกันและกัน ก็เป็นสิ่งสำคัญ เมื่อแม่เกรงใจลูก ลูกก็จะรู้สึกเกรงใจแม่ และเต็มใจที่จะทำ บางเรื่องที่เเม่ขอให้ช่วยเองโดยที่แม่ไม่ต้องใช่คำสั่งให้ลูกอึดอัดใจเลย
ข้อ9 ลูกรักใครแม่รักด้วย แม่มีเมตตาอ่อนโยน ต่อลูกเขยลูกสะใภ้ของแม่ทุกคนเสมอ แม่ทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งพิง
ได้กับเขา แม่ให้อภัยเขา และไม่คอยตำหนิติเตียนเรื่องเล็กน้อยให้เขารู้สึกว่าแม่เป็นคนอื่น ไม่โยนภาระงานบ้าน
ทุกอย่างไปที่เขา เพื่อไม่ให้เขาเห็นว่าแม่ไร้ค่า และทำให้เขารู้สึกว่าเป็นคนรับใช้ของแม่ อย่างไม่เต็มใจ
ข้อ10 สุดท้าย แม่ปรับตัว แม่ไม่เคยไปยุ่งกับชีวิตครอบครัวของลูก แม่พยายามวางตัวเป็นกลาง ไม่เรื่องมากเอาแต่ใจ
และยอมรับความจริง ว่าลูกต้องมีชีวิตเป็นของลูกเอง ไม่ใช่เป็นของแม่ตลอดไป
เพียง สิบข้อนี้ที่แม่ทำมาตลอดกับลูกๆของแม่และคนรักของลูก
แล้วทำไมแม่จะต้องกลัวอีก ว่าลูกจะทิ้งแม่ไป ให้อยู่
บ้านพักคนชรา
จริงของคุณแม่ ว่ามั้ย....แต่ทำไมแม่ๆทั้งหลายถึงกลัวกันนักหนาว่าลูกจะทิ้ง โดยเฉพาะคนที่มีลูกชาย ???
ยอมรับความจริง