ออกตัวก่อนว่าเขียนเพื่ออธิบายมือใหม่ เพราะฉะนั้นข้อมูลต่างๆ จะค่อนข้างพื้นฐานและรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ อาจจะถูก simplify ทำให้ไม่ถูกต้อง 100% ในรายละเอียดนะครับ
คำถามแรกสำหรับคนเริ่มดื่มไวน์โดยมากก็คือ ไอ้ไวน์ที่มีอยู่มากมายในท้องตลาด มันต่างกันอย่างไรและเราจะเลือกหยิบขวดไหนมาลองดี วันนี้เลยอยากมาคุยเรื่องพื้นฐานให้ฟังกัน
โดยเริ่มจากข้อมูลพื้นฐานของไวน์ ซึ่งอันดับแรกก็คือ พันธุ์องุ่น เนื่องจากไวน์ก็คือน้ำองุ่นหมัก เพราะฉะนั้นรสชาติพื้นฐานของไวน์ และสี (ไวน์ขาว หรือ ไวน์แดง) จะถูกกำหนดชนิดขององุ่นนั่นเอง ไวน์จากนอกยุโรป เช่น Australia, Argentina, Chile ส่วนมากจะตั้งชื่อตามชนิดขององุ่นเช่น Chardonnay, Merlot, Pinot Noir, Cabernet Sauvignon องุ่นแต่ละชนิดก็จะมีรสชาติลักษณะเด่นต่างกันไป โดยทั่วไปไวน์ที่ผลิตจากองุ่นชนิดเดียวกันก็จะมีรสชาติไปในแนวทางเดียวกัน ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนพันธุ์มะม่วง เช่น เขียวเสวย, น้ำดอกไม้, อกร่อง ก็จะมีรสชาติต่างกันไป เพราะฉะนั้นพื้นฐานการเลือกไวน์อันดับแรกก็คือเลือกจากพันธุ์องุ่น โดยมากไวน์จะใช้องุ่นชนิดเดียว แต่ก็มีไวน์หลายชนิดที่ผสมองุ่นมากกว่าหนึ่งชนิดเข้าด้วยกัน เรียกว่า wine blend
ที่นี้บางคนอาจจะมีคำถามว่าแล้ว องุ่นพันธุ์ไหนดีที่สุด คำตอบคือ “แล้วแต่” – แล้วแต่รสนิยม แล้วแต่สถานการณ์ ถ้าเทียบกับมะม่วงอีกรอบ มะม่วงบางพันธุ์ก็เหมาะจะกินกับน้ำปลาหวาน บางพันธุ์ก็เหมาะจะกินกับข้าวเหนียวมูล บางพันธุ์เหมาะจะกินเปล่าๆ บางคนชอบน้ำดอกไม้ บางคนชอบเขียวเสวย เพราะฉะนั้นผมแนะนำให้ลองแล้วจำว่าชนิดไหนที่คุณชอบ
หลังจากเลือกพันธุ์องุ่นแล้ว ต่อมาเราก็ต้องดู ถิ่นที่มา ลองคิดง่ายๆ ว่าผลไม้ชนิดเดียวกันแต่ปลูกคนละที่ คนละสภาพแวดล้อม คนละวิธีดูแล ก็สามารถมีความแตกต่างกันในรสชาติได้พอสมควร องุ่นแต่ละชนิดก็จะมี แหล่งขึ้นชื่อ ของตัวเอง
ไวน์ในยุโรปโดยมากจะใช้ชื่อสถานที่เป็นตัวนำ โดยให้ความสำคัญมากกว่าพันธุ์องุ่นด้วยซ้ำ เช่น Bordeaux, Burgundy, Chianti, Vinho do Porto เนื่องจากแต่ละสถานที่จะมีการตรวจสอบและควบคุณคุณภาพก่อนจะสามารถใช้ชื่อได้ และไม่อนุญาตให้ไวน์จากที่อื่นใช้ชื่อเดียวกัน ทำให้การใช้ชื่อสถานที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้ เช่น Champagne คือ sparkling wine ที่ผลิตจากองุ่นในย่าน Champagne ของฝรั่งเศสเท่านั้น ถ้ามาจากที่อื่นจะไม่สามารถใช้ชื่อ Champagne ได้ หรือถ้าเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ก็เช่น ทุเรียนนนทบุรี ก็จะมีชื่อเสียงว่าเป็นทุเรียนที่มีคุณภาพเหนือกว่าทุเรียนจากแหล่งอื่น เป็นต้น
ส่วนไวน์จากนอกยุโรปส่วนมากก็จะบอกแค่ว่ามาจากประเทศไหนเท่าไหน
ไวน์ยุโรปแต่ละที่มาก็จะมีลักษณะเฉพาะตัวของตัวเอง เช่น Red Burgundy จะทำมาจาก Pinot Noir, White Burgundy ทำมาจาก Chardonnay ในขณะที่ Bordeaux จะเป็นการผสมองุ่นมากกว่าหนึ่งชนิด Red Bordeaux โดยมากจะทำมาจาก Cabernet Sauvignon กับ Merlot
ดังนั้นไวน์จากแต่ละที่มาก็จะมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง และจะมีรสชาติไปในแนวทางเดียวกันระดับนึง
อันดับต่อมาก็คือผู้ผลิตหรือ ยี่ห้อ นั่นเอง ต่อให้ใช้วัตถุดิบชนิดเดียวกัน มาจากแหล่งเดียวกัน คุณภาพก็สามารถแตกต่างกันได้ตามฝีมือของผู้ผลิต เพราะฉะนั้นไวน์ชนิดเดียวกันอาจจะมีราคาต่างกันได้เป็นหลายสิบเท่าขึ้นอยู่กับผู้ผลิต
สุดท้ายก็คือ ปีที่ผลิต เนื่องจากแต่ละปีสภาพแวดล้อม ดินฟ้าอากาศ จะไม่เหมือนกันซะทีเดียว ทำให้คุณภาพของวัตถุดิบมีความแตกต่างกันได้ ดังนั้นแม้ทุกอย่างจะเหมือนกัน แต่ถ้าผลิตคนละปีก็สามารถมีความแตกต่างกันได้ในระดับนึงทีเดียว แต่เอาจริงๆ แล้วสำหรับไวน์ตลาด ที่ไม่ใช่ไวน์ high end ความแตกต่างตรงนี้ก็ไม่ได้มากมายจนมีความสำคัญอะไร
สรุป
Key point 1: เลือกจากพันธุ์องุ่น
Key point 2: เลือกจากที่มา
Key point 3: เลือกจากผู้ผลิต
Key point 4: เลือกจากปีที่ผลิต
โดยมาก ไวน์ยุโรปจะใช้ที่มาเป็นตัวนำ ส่วนไวน์นอกยุโรปจะใช้พันธุ์องุ่นเป็นตัวนำ
ก็ขอจบไว้แค่ตรงนี้ก่อนนะครับ หวังว่าคงพอจะให้ความเข้าใจมือใหม่ ให้หายงงเวลาเลือกซื้อไวน์ได้ในระดับนึง
ไว้มีเวลาและอารมณ์อาจจะกลับมาเขียนภาคต่อครับ
WINE 101 ชื่อนั้นสำคัญไฉน ไวน์แต่ละขวดต่างกันอย่างไร
คำถามแรกสำหรับคนเริ่มดื่มไวน์โดยมากก็คือ ไอ้ไวน์ที่มีอยู่มากมายในท้องตลาด มันต่างกันอย่างไรและเราจะเลือกหยิบขวดไหนมาลองดี วันนี้เลยอยากมาคุยเรื่องพื้นฐานให้ฟังกัน
โดยเริ่มจากข้อมูลพื้นฐานของไวน์ ซึ่งอันดับแรกก็คือ พันธุ์องุ่น เนื่องจากไวน์ก็คือน้ำองุ่นหมัก เพราะฉะนั้นรสชาติพื้นฐานของไวน์ และสี (ไวน์ขาว หรือ ไวน์แดง) จะถูกกำหนดชนิดขององุ่นนั่นเอง ไวน์จากนอกยุโรป เช่น Australia, Argentina, Chile ส่วนมากจะตั้งชื่อตามชนิดขององุ่นเช่น Chardonnay, Merlot, Pinot Noir, Cabernet Sauvignon องุ่นแต่ละชนิดก็จะมีรสชาติลักษณะเด่นต่างกันไป โดยทั่วไปไวน์ที่ผลิตจากองุ่นชนิดเดียวกันก็จะมีรสชาติไปในแนวทางเดียวกัน ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนพันธุ์มะม่วง เช่น เขียวเสวย, น้ำดอกไม้, อกร่อง ก็จะมีรสชาติต่างกันไป เพราะฉะนั้นพื้นฐานการเลือกไวน์อันดับแรกก็คือเลือกจากพันธุ์องุ่น โดยมากไวน์จะใช้องุ่นชนิดเดียว แต่ก็มีไวน์หลายชนิดที่ผสมองุ่นมากกว่าหนึ่งชนิดเข้าด้วยกัน เรียกว่า wine blend
ที่นี้บางคนอาจจะมีคำถามว่าแล้ว องุ่นพันธุ์ไหนดีที่สุด คำตอบคือ “แล้วแต่” – แล้วแต่รสนิยม แล้วแต่สถานการณ์ ถ้าเทียบกับมะม่วงอีกรอบ มะม่วงบางพันธุ์ก็เหมาะจะกินกับน้ำปลาหวาน บางพันธุ์ก็เหมาะจะกินกับข้าวเหนียวมูล บางพันธุ์เหมาะจะกินเปล่าๆ บางคนชอบน้ำดอกไม้ บางคนชอบเขียวเสวย เพราะฉะนั้นผมแนะนำให้ลองแล้วจำว่าชนิดไหนที่คุณชอบ
หลังจากเลือกพันธุ์องุ่นแล้ว ต่อมาเราก็ต้องดู ถิ่นที่มา ลองคิดง่ายๆ ว่าผลไม้ชนิดเดียวกันแต่ปลูกคนละที่ คนละสภาพแวดล้อม คนละวิธีดูแล ก็สามารถมีความแตกต่างกันในรสชาติได้พอสมควร องุ่นแต่ละชนิดก็จะมี แหล่งขึ้นชื่อ ของตัวเอง
ไวน์ในยุโรปโดยมากจะใช้ชื่อสถานที่เป็นตัวนำ โดยให้ความสำคัญมากกว่าพันธุ์องุ่นด้วยซ้ำ เช่น Bordeaux, Burgundy, Chianti, Vinho do Porto เนื่องจากแต่ละสถานที่จะมีการตรวจสอบและควบคุณคุณภาพก่อนจะสามารถใช้ชื่อได้ และไม่อนุญาตให้ไวน์จากที่อื่นใช้ชื่อเดียวกัน ทำให้การใช้ชื่อสถานที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้ เช่น Champagne คือ sparkling wine ที่ผลิตจากองุ่นในย่าน Champagne ของฝรั่งเศสเท่านั้น ถ้ามาจากที่อื่นจะไม่สามารถใช้ชื่อ Champagne ได้ หรือถ้าเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ก็เช่น ทุเรียนนนทบุรี ก็จะมีชื่อเสียงว่าเป็นทุเรียนที่มีคุณภาพเหนือกว่าทุเรียนจากแหล่งอื่น เป็นต้น
ส่วนไวน์จากนอกยุโรปส่วนมากก็จะบอกแค่ว่ามาจากประเทศไหนเท่าไหน
ไวน์ยุโรปแต่ละที่มาก็จะมีลักษณะเฉพาะตัวของตัวเอง เช่น Red Burgundy จะทำมาจาก Pinot Noir, White Burgundy ทำมาจาก Chardonnay ในขณะที่ Bordeaux จะเป็นการผสมองุ่นมากกว่าหนึ่งชนิด Red Bordeaux โดยมากจะทำมาจาก Cabernet Sauvignon กับ Merlot
ดังนั้นไวน์จากแต่ละที่มาก็จะมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง และจะมีรสชาติไปในแนวทางเดียวกันระดับนึง
อันดับต่อมาก็คือผู้ผลิตหรือ ยี่ห้อ นั่นเอง ต่อให้ใช้วัตถุดิบชนิดเดียวกัน มาจากแหล่งเดียวกัน คุณภาพก็สามารถแตกต่างกันได้ตามฝีมือของผู้ผลิต เพราะฉะนั้นไวน์ชนิดเดียวกันอาจจะมีราคาต่างกันได้เป็นหลายสิบเท่าขึ้นอยู่กับผู้ผลิต
สุดท้ายก็คือ ปีที่ผลิต เนื่องจากแต่ละปีสภาพแวดล้อม ดินฟ้าอากาศ จะไม่เหมือนกันซะทีเดียว ทำให้คุณภาพของวัตถุดิบมีความแตกต่างกันได้ ดังนั้นแม้ทุกอย่างจะเหมือนกัน แต่ถ้าผลิตคนละปีก็สามารถมีความแตกต่างกันได้ในระดับนึงทีเดียว แต่เอาจริงๆ แล้วสำหรับไวน์ตลาด ที่ไม่ใช่ไวน์ high end ความแตกต่างตรงนี้ก็ไม่ได้มากมายจนมีความสำคัญอะไร
สรุป
Key point 1: เลือกจากพันธุ์องุ่น
Key point 2: เลือกจากที่มา
Key point 3: เลือกจากผู้ผลิต
Key point 4: เลือกจากปีที่ผลิต
โดยมาก ไวน์ยุโรปจะใช้ที่มาเป็นตัวนำ ส่วนไวน์นอกยุโรปจะใช้พันธุ์องุ่นเป็นตัวนำ
ก็ขอจบไว้แค่ตรงนี้ก่อนนะครับ หวังว่าคงพอจะให้ความเข้าใจมือใหม่ ให้หายงงเวลาเลือกซื้อไวน์ได้ในระดับนึง
ไว้มีเวลาและอารมณ์อาจจะกลับมาเขียนภาคต่อครับ