ฉันทำอะไรอยู่ตรงนี้?
ฉันถามคำถามนี้กับตัวเองเป็นครั้งที่ล้าน และฉันก็ไม่ได้คำตอบ มันแปลกเสียจริง ที่เมื่ออยู่ที่โน่น ฉันก็ถามคำถามเดียวกันนี้ และแน่ล่ะ ฉันหาคำตอบไม่ได้เช่นเดียวกัน เมื่อก่อน...ฉันเฝ้าคิดถึงบ้านเกิด แต่ตอนนี้เมื่อมาแล้ว ฉันพบว่า ‘บ้านเกิด’ กลับไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันฝัน อันที่จริง...ฉันรักที่โน่นมาก เพียงแต่ว่า ‘ที่โน่น’ ก็ไม่ได้รักฉัน ถึงตอนนี้ฉันจึงได้แต่ครุ่นคิด ว่าแล้วที่ไหนล่ะ คือ ‘ที่’ ของฉัน หรือว่า...ฉันจะเป็นได้เพียงคนพเนจรคนหนึ่ง...
‘แม่ค้ามือใหม่’ อย่างฉันขาดทุนย่อยยับ จนไม่อาจนับนิ้วว่ามากเท่าไหร่ ‘ร้านดอกไม้ในฝัน’ ก็คงมีแค่ ’ในฝัน’ ฉันเจ็บปวดที่ทำให้ใครหลายคนผิดหวัง แน่ล่ะ...ตัวฉันเองเสียใจสุดซึ้ง ที่ทำให้พวกเขาเสียเงินและเป็นทุกข์
เพียงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีเรื่องราวเกิดขึ้นกับฉันมากมาย สารพัดเจ้าหนี้โทรทวงหนี้ฉันเช้าค่ำ ฉันป่วยเป็นโรคตาแดงครั้งแรกในชีวิต ฉันถูกรับน้องด้วยการชักดาบ ทั้งซึ่งๆ หน้า และแอบปิดร้านหนี ฉันถูกไล่ออกจากร้านของตัวเองในห้องแถวให้เช่า ฉันยังจำภาพรองเท้าสีสะอาดกับขากางเกงสแล็กรีดเรียบร้อย ที่ก้าวเข้ามาตอนฉันก้มจัดของได้ติดตา และฉันคงจำได้ตลอดชีวิต
คนเช่าบ้านที่ฉันปล่อยให้เช่าเพื่อหวังแบ่งเบาภาระหอบของหนีเสียแล้ว เบี้ยวค่าเช่าก้อนโต ทิ้งความสกปรกและความเสียหายไว้ให้ดูต่างหน้า พร้อมค่าน้ำ กับค่าไฟที่คงราคาแพงจากการเชื่อมเหล็กขาย เออ...หนอ คนเราเวลาล้ม ดูเหมือนมีแต่เรื่องเข้ามาซ้ำเติม แต่ไม่หรอก ถึงอย่างไรฉันก็ยังมีหวัง... ฉันนั่งทำช่อดอกไม้วาเลนไทน์จนดึกดื่น ก่อนจะขาดทุนอีกครั้ง แถมผิดหวังซ้ำเมื่อถูกลูกค้าหลอกให้รอเก้อ เอาเถอะ...ฉันปลอบใจตัวเอง ฉันว่าคนเราย่อมมีสิทธิเปลี่ยนใจได้เสมอ
แต่แล้วไวรัสก็ลงคอมพิวเตอร์ของฉัน และกู้อะไรกลับมาไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว เรื่องอย่างนี้สำหรับใครหลายคนอาจคิดว่าเรื่องเล็ก เพียงลบทิ้งและลงข้อมูลใหม่ก็เพียงพอแล้ว หากสำหรับคนเขียนหนังสือนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นยิ่งกว่าหายนะ... ถึงตอนนี้ฉันอดคิดไม่ได้ ว่าคนบนฟ้าทดสอบฉันหนักเกินไปแล้ว!
แล้วนี่ฉันต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ ที่จะเรียงความคิดออกมาได้อีก...
ฉัน...ขอไว้อาลัย ให้กับงานเขียนที่ฉันพากเพียร ท่ามกลางกลิ่นเหม็นๆของคลองระบายน้ำ (ที่ถูกสร้างไว้กลางบ้านตามแปลนชุ่ยๆประหยัดเงินของมหาเศรษฐีเจ้าของตึกแถว) ฝูงยุงอันชุกชุม ฝูงหนูน้อยใหญ่ที่แทบจะวิ่งเหยียบเท้าคน ครอบครัวมนุษย์ป้า เด็กผีจูออนเสียงแปดหลอด เพื่อนบ้านขี้เอะอะ และหมู่เด็กแว้น
หากในวิกฤตที่เกิดขึ้น เมื่อฉันลองคิดบวกและมองหาสิ่งดีๆ ฉันกลับพบว่าฉันได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ฉันเห็นตัวตนของคนชัดๆ ฉันรู้แล้วว่าใครคือมิตรแท้ที่ไม่ทอดทิ้ง ฉันเห็นผลของความดี ที่แม้ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเอง ฉันเห็นน้ำใจงามๆของคนหาเช้ากินค่ำ ที่หยิบยื่นให้ในวันที่ฉันอดอยาก ฉันว่าบางครั้งสิ่งเล็กๆก็มีค่าและยิ่งใหญ่ ถ้าหากมันออกมาจากหัวใจที่บริสุทธิ์ ไม่คาดหวังการตอบแทน
ใครหลายคนบอกว่าฉันตัดสินใจผิด ที่ทิ้งทุกอย่างมาจนไม่เหลืออะไรเลย ฉันได้แต่ฟังและเกือบคิดคล้อยตาม ก่อนฉันได้คำตอบ ว่าไม่หรอก ถึงฉันจะตัวเปล่า ล้มลุกคลุกคลาน เจ็บปวดจากความคิดถึง ผิดหวังมากกว่าสมหวัง หากอย่างน้อยๆ ฉันก็ไม่เสียใจ และฉันยังได้ทำในสิ่งที่ควรทำ ด้วยการช่วยเด็กน้อยกำพร้า ให้ได้อยู่ในโลกที่เขาควรจะอยู่และควรจะเป็น ฟังดูแล้วก็ขำปนเศร้า ที่จู่ๆฉันก็กลายเป็นคุณแม่ที่มีลูกถึงห้าคน ฉันอาจเหมือนคนหน้าโง่ ที่ถูกมองว่าไม่ได้อะไรจากความเสียสละ หากฉันรู้ดี ว่าความปรารถนาเดียวของฉัน คือการเห็นคนรอบข้างต่างอยู่ดีมีความสุข แม้นท้ายที่สุดแล้ว ทั้ง ‘บ้านเกิด’และ ’ที่โน่น’ อาจไม่รักฉัน และปล่อยให้ฉันเดียวดาย...
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันขอยืนยัน ว่าฉันยินดีเป็นแค่คนพเนจรคนหนึ่ง...
Ps. ขออภัยที่ดราม่า
ขออภัยที่ดราม่า
ฉันถามคำถามนี้กับตัวเองเป็นครั้งที่ล้าน และฉันก็ไม่ได้คำตอบ มันแปลกเสียจริง ที่เมื่ออยู่ที่โน่น ฉันก็ถามคำถามเดียวกันนี้ และแน่ล่ะ ฉันหาคำตอบไม่ได้เช่นเดียวกัน เมื่อก่อน...ฉันเฝ้าคิดถึงบ้านเกิด แต่ตอนนี้เมื่อมาแล้ว ฉันพบว่า ‘บ้านเกิด’ กลับไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันฝัน อันที่จริง...ฉันรักที่โน่นมาก เพียงแต่ว่า ‘ที่โน่น’ ก็ไม่ได้รักฉัน ถึงตอนนี้ฉันจึงได้แต่ครุ่นคิด ว่าแล้วที่ไหนล่ะ คือ ‘ที่’ ของฉัน หรือว่า...ฉันจะเป็นได้เพียงคนพเนจรคนหนึ่ง...
‘แม่ค้ามือใหม่’ อย่างฉันขาดทุนย่อยยับ จนไม่อาจนับนิ้วว่ามากเท่าไหร่ ‘ร้านดอกไม้ในฝัน’ ก็คงมีแค่ ’ในฝัน’ ฉันเจ็บปวดที่ทำให้ใครหลายคนผิดหวัง แน่ล่ะ...ตัวฉันเองเสียใจสุดซึ้ง ที่ทำให้พวกเขาเสียเงินและเป็นทุกข์
เพียงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีเรื่องราวเกิดขึ้นกับฉันมากมาย สารพัดเจ้าหนี้โทรทวงหนี้ฉันเช้าค่ำ ฉันป่วยเป็นโรคตาแดงครั้งแรกในชีวิต ฉันถูกรับน้องด้วยการชักดาบ ทั้งซึ่งๆ หน้า และแอบปิดร้านหนี ฉันถูกไล่ออกจากร้านของตัวเองในห้องแถวให้เช่า ฉันยังจำภาพรองเท้าสีสะอาดกับขากางเกงสแล็กรีดเรียบร้อย ที่ก้าวเข้ามาตอนฉันก้มจัดของได้ติดตา และฉันคงจำได้ตลอดชีวิต
คนเช่าบ้านที่ฉันปล่อยให้เช่าเพื่อหวังแบ่งเบาภาระหอบของหนีเสียแล้ว เบี้ยวค่าเช่าก้อนโต ทิ้งความสกปรกและความเสียหายไว้ให้ดูต่างหน้า พร้อมค่าน้ำ กับค่าไฟที่คงราคาแพงจากการเชื่อมเหล็กขาย เออ...หนอ คนเราเวลาล้ม ดูเหมือนมีแต่เรื่องเข้ามาซ้ำเติม แต่ไม่หรอก ถึงอย่างไรฉันก็ยังมีหวัง... ฉันนั่งทำช่อดอกไม้วาเลนไทน์จนดึกดื่น ก่อนจะขาดทุนอีกครั้ง แถมผิดหวังซ้ำเมื่อถูกลูกค้าหลอกให้รอเก้อ เอาเถอะ...ฉันปลอบใจตัวเอง ฉันว่าคนเราย่อมมีสิทธิเปลี่ยนใจได้เสมอ
แต่แล้วไวรัสก็ลงคอมพิวเตอร์ของฉัน และกู้อะไรกลับมาไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว เรื่องอย่างนี้สำหรับใครหลายคนอาจคิดว่าเรื่องเล็ก เพียงลบทิ้งและลงข้อมูลใหม่ก็เพียงพอแล้ว หากสำหรับคนเขียนหนังสือนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นยิ่งกว่าหายนะ... ถึงตอนนี้ฉันอดคิดไม่ได้ ว่าคนบนฟ้าทดสอบฉันหนักเกินไปแล้ว!
แล้วนี่ฉันต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ ที่จะเรียงความคิดออกมาได้อีก...
ฉัน...ขอไว้อาลัย ให้กับงานเขียนที่ฉันพากเพียร ท่ามกลางกลิ่นเหม็นๆของคลองระบายน้ำ (ที่ถูกสร้างไว้กลางบ้านตามแปลนชุ่ยๆประหยัดเงินของมหาเศรษฐีเจ้าของตึกแถว) ฝูงยุงอันชุกชุม ฝูงหนูน้อยใหญ่ที่แทบจะวิ่งเหยียบเท้าคน ครอบครัวมนุษย์ป้า เด็กผีจูออนเสียงแปดหลอด เพื่อนบ้านขี้เอะอะ และหมู่เด็กแว้น
หากในวิกฤตที่เกิดขึ้น เมื่อฉันลองคิดบวกและมองหาสิ่งดีๆ ฉันกลับพบว่าฉันได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ฉันเห็นตัวตนของคนชัดๆ ฉันรู้แล้วว่าใครคือมิตรแท้ที่ไม่ทอดทิ้ง ฉันเห็นผลของความดี ที่แม้ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเอง ฉันเห็นน้ำใจงามๆของคนหาเช้ากินค่ำ ที่หยิบยื่นให้ในวันที่ฉันอดอยาก ฉันว่าบางครั้งสิ่งเล็กๆก็มีค่าและยิ่งใหญ่ ถ้าหากมันออกมาจากหัวใจที่บริสุทธิ์ ไม่คาดหวังการตอบแทน
ใครหลายคนบอกว่าฉันตัดสินใจผิด ที่ทิ้งทุกอย่างมาจนไม่เหลืออะไรเลย ฉันได้แต่ฟังและเกือบคิดคล้อยตาม ก่อนฉันได้คำตอบ ว่าไม่หรอก ถึงฉันจะตัวเปล่า ล้มลุกคลุกคลาน เจ็บปวดจากความคิดถึง ผิดหวังมากกว่าสมหวัง หากอย่างน้อยๆ ฉันก็ไม่เสียใจ และฉันยังได้ทำในสิ่งที่ควรทำ ด้วยการช่วยเด็กน้อยกำพร้า ให้ได้อยู่ในโลกที่เขาควรจะอยู่และควรจะเป็น ฟังดูแล้วก็ขำปนเศร้า ที่จู่ๆฉันก็กลายเป็นคุณแม่ที่มีลูกถึงห้าคน ฉันอาจเหมือนคนหน้าโง่ ที่ถูกมองว่าไม่ได้อะไรจากความเสียสละ หากฉันรู้ดี ว่าความปรารถนาเดียวของฉัน คือการเห็นคนรอบข้างต่างอยู่ดีมีความสุข แม้นท้ายที่สุดแล้ว ทั้ง ‘บ้านเกิด’และ ’ที่โน่น’ อาจไม่รักฉัน และปล่อยให้ฉันเดียวดาย...
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันขอยืนยัน ว่าฉันยินดีเป็นแค่คนพเนจรคนหนึ่ง...
Ps. ขออภัยที่ดราม่า