จากคลิปนี้ เรื่องมอมยาบนรถแท๊กซี่....
https://www.facebook.com/MorningNewsTV3/posts/880197745350813
หลายความเห็นที่เชื่อว่าถูกมอมจริง แต่ก็ยังขัดแย้งในสิ่งที่อาจารย์เจษกล่าว คือ
ยังไม่เห็นมีการฟ้องร้องและพิสูจน์เอาผิดกันได้จริงในศาล เกี่ยวกับการถูกมอมด้วยสารบลาๆๆ
หรือในต่างประเทศที่เทคโนโลยีเจริญกว่าเราก็ไม่เห็นมีข่าวลักษณะนี้
ผมเลยเกิดความสงสัยว่าคนพวกนี้ไปหายาพวกนี้มาได้จากไหน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผมขอไม่ลงลิงค์นะครับ เดียวจะหาว่าโฆษณา ลองเสริทเองก็น่าจะเจอครับ
พอเสริทกูเกิ้ล ไปก็เจอเลยครับ มีขายตามเว็บ มีหลายเว็บด้วย มีโฆษาสรรพคุณพร้อม จากเหตุการณ์ที่พยาบาลเล่ามา
ว่าเห็นแท็กซี่เอามือเปียกๆมาอังแอร์ ถ้าเป็นยาสลบจริง แน่นอนว่าต้องเป็นสารที่ระเหยได้ ซึ่งผมดูแล้วก็น่าจะเป็น
ยาสลบแบบดม Isoflurane หรือ
ยาสลบแบบดม Lidocaine
พอไปหาดู ก็พบว่าเป็นสารที่ใช้ในทางการแพทย์จริงๆ เป็นสารควบคุม ซึ่งต้องใช้กับเครื่องพ่นยา vaporizer
ให้ระเหยเป็นไอพร้อมทั้งควบคุมปริมาณความเข้มข้น
ซึ่งการดมแบบปรับเข้มข้น สุงสุดโดยตรงยังต้องใช้เวลาเป็นนาที
ซึ่งผมก็ไม่ทราบนะครับว่าสารนี้มีกลิ่นมั้ย(รอผู้ที่รู้จักหรือเกี่ยวข้องยืนยันอีกที) ถ้ามีประเด็นนี้ก็จบครับ
พยาบาลสาวคนนั้นมโนเองแน่นอน ถ้าได้กลิ่นเขาคงต้องบอกตอนสัมภาษณ์แน่นอน ถ้าไม่มีก็ว่ากันต่อ...
ผมเลยตั้งข้อสังเกตุว่า...
1.การดมสารระเหยจากมือที่มีการระเหยแบบกระจายตัวในระยะประมาณ1.5 เมตร เป็นไปได้หรือ? จะที่หวังผลให้หลับได้
1.1 เวลารถเคลื่อนที่เร็วความดันบริเวณท้ายรถจะสูง ตามหลักฟิสิกส์เลย ส่วนผลกระทบต่อร่างกายนั้น ผมไม่เชี่ยวชาญมากนัก
ผมขอล่ะไว้ให้ท่านอื่นตอบ ยิ่งถ้าเปิดหน้าต่าง โอกาสยิ่งน้อยครับอากาศภายนอกจะไหลเข้ามาแทนที่
สารนั้นแทบจะเจือจางและแทบไม่ทันได้สูดเลยทีเดียว
1.2 หากปิดกระจก แน่นอนว่าสารระเหยนั้นต้องเจือจางในอากาศภายในรถ เท่ากับปริมาตรอากาศในห้องโดยสารคิดแบบระบบปิด
ซึ่งคนขับรถก็ต้องโดนด้วยจริงมั้ยครับ?
1.2.1 ขนาดดมจากเครื่องพ่นโดยตรงที่เข้มข้นยังใช้เวลาเป็นนาที ถ้าหากเจือจางลงเวลาก็เพิ่มขึ้นจริงมั้ยครับ..
แล้วนี้ สารระเหยแค่ติดนิ้ว ห่างจากจมูกตั้ง1.5เมตร แล้วเจือจางอากาศทั้งห้องโดยสารคุณคิดว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่?
กว่าจะหลับ
2.ผมไม่ใช่หมอนะ แต่วิเคราะห์อาการแล้ว เป็นอย่างที่อาจารย์เจษแก่บอกเลยครับ
ขึ้นรถมาก็วิตกกังวลแล้ว วาดระแวง ทำให้เกิดความเครียดแล้วส่งผลต่อการหายใจ ผมแถมให้อีกอย่างคือปกติเรานั่งอยู่ในรถที่เคลื่อนที่
ซึ่งความดันภายในมันจะสูงขึ้นอย่างที่กล่าวไว้ข้างบนแล้ว แอร์ที่เย็นก็ส่งผลให้เกิดการเกรงหดตัวของกล้ามเนื้อ หลอดเลือดด้วยนะครับ
จะส่งผลอย่างไรกับสมองหรือป่าวรอให้ท่านอื่นมาอธิบายครับ บวกกับการก้มหน้าเล่นโทรศัพย์ อารมณ์เหมือนคนนั่งนานๆแล้วลุกขึ้นยืน
ถึงจะบอกว่าขับประจำแต่คนขับกับคนนั่งก็ต่างกันนะครับ
นั่งท้ายด้วยการเหวี้ยงตัวก็สูงกว่า แล้วก็อาจจะเป็นเรื่องก๊าซCOภายในรถด้วย สรุปว่าครบองค์ประกอบเลยครับ...
3.ผมตั้งข้อสังเกตุอีกอย่าง ไม่ได้จะอยากจับผิดคำพูดของเขานะครับ เห็นบอกว่ามีสติดีจำความได้แต่เบลอๆหน่อย... ดูขัดแย้งนะครับ-*-
ปกติยานอนหลับหรือสารสารมอมต่างๆนี้ มันส่งผลต่อสมองไม่ใช่หรอครับ ไม่น่าจะมีผลต่อร่างกายเช่น คลื่นไส้ มั้ง?
อาการง่วงนอนซึ่งเป็นอาการหลักๆเลยที่ควรจะมี แต่ก็ไม่มี เพราะในสัมภาษณ์ไม่ได้บอกเลยว่ามีอาการง่วงเลย
จริงๆยังตั้งคำถามและข้อสังเกตุได้อีกเยอะนะครับ
ถ้าถามในเชิงตรรกะ ก็มีเยอะครับ
1.ถ้ามีจริง ทำมั้ยวงการแพทย์ไม่ใช่วิธีนี้กัน? หรือไม่หาซื้อกัน...
2.ถ้ามีจริง ทำไปขายผู้ก่อการร้ายไม่ดีกว่าหรือ เอาไปทำระเบิดสารระเหย(ที่ไม่เห็นควัน)ไม่ดีกว่าหรอ...
3.ถ้ามีจริง เอาไปวางแผนปล้นธนาคาร ร้านทองไม่ดีกว่าหรือ พวกนี้ส่วนใหญ่ก็อยู่ในห้องแอร์อยู่แล้ว...
4.ถ้ามีจริง ทำมั้ยไม่เห็นมีผู้ร้องเรียนเสียหาย แล้วผลพิสูจน์ตรวจออกมายืนยันว่ามีจริง? ด้วยวิธีนี้
บลาๆ ๆ ๆ
(ถ้ามีจริง คือสารอย่างว่าที่ได้ผลนะครับ...)
ผมว่ามันเป็นคำถามง่ายๆนะครับ เป็นตรรกะพื้นฐาน ไม่จำเป็นต้องเรียนสายวิทย์ก็คิดแบบเป็นเหตุเป็นผลได้
คนไทยนั้นส่วนใหญ่ชาวพุทธอยู่แล้ว แก่นของศาสนาเราสอนให้เราคิดแบบใกล้เคียงกระบวนการคิดแบบวิทศาสตร์ที่สุดแล้ว
การสงสัยหรือตั้งคำถา แล้วหาคำตอบให้ตัวเองนี้แหละครับจะเป็นตัวยืนยันความเชื่อของคุณ...
สุดท้ายผลจะเป็นอย่างไร รอผลตรวจจากทางโรงพยาบาลอีกทีครับ ถ้ามีจริงแท๊กซี่คนนั้นคงไม่รอดแน่ และอาจารย์เจษก็คง
เสียเงินค่าทำขวัญ ที่ผมวิเคราะห์มาอาจจะผิดก็ได้ แต่อยากให้สังคมตั้งคำถามแล้วหาคำตอบกันเยอะๆครับ
ก่อนที่จะเชื่ออะไรที่มันเป็นกระแสแบบนี้ ลองหาคำตอบที่สมเหตุสมผลให้กับตัวเองซักนิด อย่างน้อยก็ควรมีหลักไว้บ้าง
เผื่อใครถามว่า คุณเชื่อ เชื่อเพราะอะไร ถ้าไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะอะไร อย่างน้อยมันยังมีประเด็นที่ยังคุย
ถกเถียงกันได้อยู่ ดีกว่าบอกว่า คุณไม่โดนไม่รู้หรอก ขอให้พ่อแม่พี่น้องคุณโดนบ้าง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ฯลฯ
สำหรับตัวผมขอเชื่อตัวเองแล้วกันครับ เพราะผมได้ลองหาข้อมูลคร่าวๆมาแล้ว ค่อนข้างแน่ใจว่ากรณีนี้ไม่น่าจะโดนมอมครับ... ^^
ถ้าผมเชื่อแบบนั้นแล้ว... มือที่เปียกของแท๊กซี่ ที่เป็นคีย์เวิร์ดของเรื่องนี้คืออะไร? ผมวิเคราะห์แบบเป็นไปได้เลยคือ...
เขาน่าจะกำลังล้างมือด้วยแอลกอฮอร์หรือเจลล้างมือครับ ปกติเขาก็พกกันนะครับ มันไม่ใช่ของแปลกอะไร...
พอพูดถึงประเด็นนี้ทำให้ผมคิดต่อว่า สารมอมลักษณะนี้เป็นสารระเหย เป็นไปได้ยากครับที่จะเปียกมือชุ่มจนเห็นได้
ชัดเจนยิ่งโดนลมมันแทบจะระเหยในพริบตา ในระยะเวลาแบบนั้น ต้องทำอย่างรวดเร็ว ล้วงยาปุ๊บ อังมือปั๊บ
ซึ่งอย่างน้อยผู้เสียหาย ก็ควรจะเห็นด้วยว่าแท๊กซี่กำลังเอามือไปล้วงอะไรซักอย่างแล้วรีบเอามาอังแอร์ จนผิดสังเกตุ
่ต่อให้ไม่โดนลม แค่เปียกนิ้วไม่ถึง2-3วินาทีก็แห้งแล้วครับ ยังไม่ต้องเอามาอังแอร์ด้วยซ้ำ ลองทดสอบได้ครับ...
เป็นไปได้มากคือเจลล้างมือครับ ถ้าใครเคยใช้มันจะเป็นเนื้อใสๆ ติดมือและแห้งช้ากว่าแอลกอฮอร์ ผมอาจจะมั่วนะครับ... ^^
ถ้าเงิบก็คือเงิบครับ เพื่อนๆมีความคิดเห็นกันอย่างไร จัดไปอย่าให้เสียนะครับ....
ว่าด้วยเรื่อง พยาบาลถูกมอมยาบนแท๊กซี่
https://www.facebook.com/MorningNewsTV3/posts/880197745350813
หลายความเห็นที่เชื่อว่าถูกมอมจริง แต่ก็ยังขัดแย้งในสิ่งที่อาจารย์เจษกล่าว คือ
ยังไม่เห็นมีการฟ้องร้องและพิสูจน์เอาผิดกันได้จริงในศาล เกี่ยวกับการถูกมอมด้วยสารบลาๆๆ
หรือในต่างประเทศที่เทคโนโลยีเจริญกว่าเราก็ไม่เห็นมีข่าวลักษณะนี้
ผมเลยเกิดความสงสัยว่าคนพวกนี้ไปหายาพวกนี้มาได้จากไหน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอเสริทกูเกิ้ล ไปก็เจอเลยครับ มีขายตามเว็บ มีหลายเว็บด้วย มีโฆษาสรรพคุณพร้อม จากเหตุการณ์ที่พยาบาลเล่ามา
ว่าเห็นแท็กซี่เอามือเปียกๆมาอังแอร์ ถ้าเป็นยาสลบจริง แน่นอนว่าต้องเป็นสารที่ระเหยได้ ซึ่งผมดูแล้วก็น่าจะเป็น
ยาสลบแบบดม Isoflurane หรือ ยาสลบแบบดม Lidocaine
พอไปหาดู ก็พบว่าเป็นสารที่ใช้ในทางการแพทย์จริงๆ เป็นสารควบคุม ซึ่งต้องใช้กับเครื่องพ่นยา vaporizer
ให้ระเหยเป็นไอพร้อมทั้งควบคุมปริมาณความเข้มข้น
ซึ่งการดมแบบปรับเข้มข้น สุงสุดโดยตรงยังต้องใช้เวลาเป็นนาที
ซึ่งผมก็ไม่ทราบนะครับว่าสารนี้มีกลิ่นมั้ย(รอผู้ที่รู้จักหรือเกี่ยวข้องยืนยันอีกที) ถ้ามีประเด็นนี้ก็จบครับ
พยาบาลสาวคนนั้นมโนเองแน่นอน ถ้าได้กลิ่นเขาคงต้องบอกตอนสัมภาษณ์แน่นอน ถ้าไม่มีก็ว่ากันต่อ...
ผมเลยตั้งข้อสังเกตุว่า...
1.การดมสารระเหยจากมือที่มีการระเหยแบบกระจายตัวในระยะประมาณ1.5 เมตร เป็นไปได้หรือ? จะที่หวังผลให้หลับได้
1.1 เวลารถเคลื่อนที่เร็วความดันบริเวณท้ายรถจะสูง ตามหลักฟิสิกส์เลย ส่วนผลกระทบต่อร่างกายนั้น ผมไม่เชี่ยวชาญมากนัก
ผมขอล่ะไว้ให้ท่านอื่นตอบ ยิ่งถ้าเปิดหน้าต่าง โอกาสยิ่งน้อยครับอากาศภายนอกจะไหลเข้ามาแทนที่
สารนั้นแทบจะเจือจางและแทบไม่ทันได้สูดเลยทีเดียว
1.2 หากปิดกระจก แน่นอนว่าสารระเหยนั้นต้องเจือจางในอากาศภายในรถ เท่ากับปริมาตรอากาศในห้องโดยสารคิดแบบระบบปิด
ซึ่งคนขับรถก็ต้องโดนด้วยจริงมั้ยครับ?
1.2.1 ขนาดดมจากเครื่องพ่นโดยตรงที่เข้มข้นยังใช้เวลาเป็นนาที ถ้าหากเจือจางลงเวลาก็เพิ่มขึ้นจริงมั้ยครับ..
แล้วนี้ สารระเหยแค่ติดนิ้ว ห่างจากจมูกตั้ง1.5เมตร แล้วเจือจางอากาศทั้งห้องโดยสารคุณคิดว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่?
กว่าจะหลับ
2.ผมไม่ใช่หมอนะ แต่วิเคราะห์อาการแล้ว เป็นอย่างที่อาจารย์เจษแก่บอกเลยครับ
ขึ้นรถมาก็วิตกกังวลแล้ว วาดระแวง ทำให้เกิดความเครียดแล้วส่งผลต่อการหายใจ ผมแถมให้อีกอย่างคือปกติเรานั่งอยู่ในรถที่เคลื่อนที่
ซึ่งความดันภายในมันจะสูงขึ้นอย่างที่กล่าวไว้ข้างบนแล้ว แอร์ที่เย็นก็ส่งผลให้เกิดการเกรงหดตัวของกล้ามเนื้อ หลอดเลือดด้วยนะครับ
จะส่งผลอย่างไรกับสมองหรือป่าวรอให้ท่านอื่นมาอธิบายครับ บวกกับการก้มหน้าเล่นโทรศัพย์ อารมณ์เหมือนคนนั่งนานๆแล้วลุกขึ้นยืน
ถึงจะบอกว่าขับประจำแต่คนขับกับคนนั่งก็ต่างกันนะครับ
นั่งท้ายด้วยการเหวี้ยงตัวก็สูงกว่า แล้วก็อาจจะเป็นเรื่องก๊าซCOภายในรถด้วย สรุปว่าครบองค์ประกอบเลยครับ...
3.ผมตั้งข้อสังเกตุอีกอย่าง ไม่ได้จะอยากจับผิดคำพูดของเขานะครับ เห็นบอกว่ามีสติดีจำความได้แต่เบลอๆหน่อย... ดูขัดแย้งนะครับ-*-
ปกติยานอนหลับหรือสารสารมอมต่างๆนี้ มันส่งผลต่อสมองไม่ใช่หรอครับ ไม่น่าจะมีผลต่อร่างกายเช่น คลื่นไส้ มั้ง?
อาการง่วงนอนซึ่งเป็นอาการหลักๆเลยที่ควรจะมี แต่ก็ไม่มี เพราะในสัมภาษณ์ไม่ได้บอกเลยว่ามีอาการง่วงเลย
จริงๆยังตั้งคำถามและข้อสังเกตุได้อีกเยอะนะครับ
ถ้าถามในเชิงตรรกะ ก็มีเยอะครับ
1.ถ้ามีจริง ทำมั้ยวงการแพทย์ไม่ใช่วิธีนี้กัน? หรือไม่หาซื้อกัน...
2.ถ้ามีจริง ทำไปขายผู้ก่อการร้ายไม่ดีกว่าหรือ เอาไปทำระเบิดสารระเหย(ที่ไม่เห็นควัน)ไม่ดีกว่าหรอ...
3.ถ้ามีจริง เอาไปวางแผนปล้นธนาคาร ร้านทองไม่ดีกว่าหรือ พวกนี้ส่วนใหญ่ก็อยู่ในห้องแอร์อยู่แล้ว...
4.ถ้ามีจริง ทำมั้ยไม่เห็นมีผู้ร้องเรียนเสียหาย แล้วผลพิสูจน์ตรวจออกมายืนยันว่ามีจริง? ด้วยวิธีนี้
บลาๆ ๆ ๆ
(ถ้ามีจริง คือสารอย่างว่าที่ได้ผลนะครับ...)
ผมว่ามันเป็นคำถามง่ายๆนะครับ เป็นตรรกะพื้นฐาน ไม่จำเป็นต้องเรียนสายวิทย์ก็คิดแบบเป็นเหตุเป็นผลได้
คนไทยนั้นส่วนใหญ่ชาวพุทธอยู่แล้ว แก่นของศาสนาเราสอนให้เราคิดแบบใกล้เคียงกระบวนการคิดแบบวิทศาสตร์ที่สุดแล้ว
การสงสัยหรือตั้งคำถา แล้วหาคำตอบให้ตัวเองนี้แหละครับจะเป็นตัวยืนยันความเชื่อของคุณ...
สุดท้ายผลจะเป็นอย่างไร รอผลตรวจจากทางโรงพยาบาลอีกทีครับ ถ้ามีจริงแท๊กซี่คนนั้นคงไม่รอดแน่ และอาจารย์เจษก็คง
เสียเงินค่าทำขวัญ ที่ผมวิเคราะห์มาอาจจะผิดก็ได้ แต่อยากให้สังคมตั้งคำถามแล้วหาคำตอบกันเยอะๆครับ
ก่อนที่จะเชื่ออะไรที่มันเป็นกระแสแบบนี้ ลองหาคำตอบที่สมเหตุสมผลให้กับตัวเองซักนิด อย่างน้อยก็ควรมีหลักไว้บ้าง
เผื่อใครถามว่า คุณเชื่อ เชื่อเพราะอะไร ถ้าไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะอะไร อย่างน้อยมันยังมีประเด็นที่ยังคุย
ถกเถียงกันได้อยู่ ดีกว่าบอกว่า คุณไม่โดนไม่รู้หรอก ขอให้พ่อแม่พี่น้องคุณโดนบ้าง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ฯลฯ
สำหรับตัวผมขอเชื่อตัวเองแล้วกันครับ เพราะผมได้ลองหาข้อมูลคร่าวๆมาแล้ว ค่อนข้างแน่ใจว่ากรณีนี้ไม่น่าจะโดนมอมครับ... ^^
ถ้าผมเชื่อแบบนั้นแล้ว... มือที่เปียกของแท๊กซี่ ที่เป็นคีย์เวิร์ดของเรื่องนี้คืออะไร? ผมวิเคราะห์แบบเป็นไปได้เลยคือ...
เขาน่าจะกำลังล้างมือด้วยแอลกอฮอร์หรือเจลล้างมือครับ ปกติเขาก็พกกันนะครับ มันไม่ใช่ของแปลกอะไร...
พอพูดถึงประเด็นนี้ทำให้ผมคิดต่อว่า สารมอมลักษณะนี้เป็นสารระเหย เป็นไปได้ยากครับที่จะเปียกมือชุ่มจนเห็นได้
ชัดเจนยิ่งโดนลมมันแทบจะระเหยในพริบตา ในระยะเวลาแบบนั้น ต้องทำอย่างรวดเร็ว ล้วงยาปุ๊บ อังมือปั๊บ
ซึ่งอย่างน้อยผู้เสียหาย ก็ควรจะเห็นด้วยว่าแท๊กซี่กำลังเอามือไปล้วงอะไรซักอย่างแล้วรีบเอามาอังแอร์ จนผิดสังเกตุ
่ต่อให้ไม่โดนลม แค่เปียกนิ้วไม่ถึง2-3วินาทีก็แห้งแล้วครับ ยังไม่ต้องเอามาอังแอร์ด้วยซ้ำ ลองทดสอบได้ครับ...
เป็นไปได้มากคือเจลล้างมือครับ ถ้าใครเคยใช้มันจะเป็นเนื้อใสๆ ติดมือและแห้งช้ากว่าแอลกอฮอร์ ผมอาจจะมั่วนะครับ... ^^
ถ้าเงิบก็คือเงิบครับ เพื่อนๆมีความคิดเห็นกันอย่างไร จัดไปอย่าให้เสียนะครับ....