วุฏฐิสูตร
(บางส่วน)
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ผ้าสำหรับเช็ดธุลี ย่อมชำระของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง
คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง
ผ้าเช็ดธุลี ย่อมไม่อึดอัดระอาหรือเกลียดชังด้วยสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
มีใจเสมอด้วยผ้าสำหรับเช็ดธุลีอันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ
ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
อ่านพระสูตรเต็ม คลิกที่นี่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้วุฏฐิสูตร
[๒๑๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี
ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จำพรรษาอยู่ในพระนครสาวัตถีแล้ว
ข้าพระองค์ปรารถนาจะหลีกจาริกไปในชนบท
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรสารีบุตร เธอจงสำคัญกาลอันควรในบัดนี้เถิด
ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ฯ
ครั้งนั้นแล เมื่อท่านพระสารีบุตรหลีกไปแล้วไม่นาน
ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ท่านพระสารีบุตรกระทบข้าพระองค์แล้ว ไม่ขอโทษ หลีกจาริกไป
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งว่า
ดูกรภิกษุ เธอจงมานี่ จงไปเรียกสารีบุตรตามคำของเราว่า
ดูกรอาวุโสสารีบุตร พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน
ภิกษุนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้วเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่
แล้วได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรอาวุโสสารีบุตร พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน
ท่านพระสารีบุตรรับคำของภิกษุนั้นแล้ว
ก็สมัยนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะและท่านพระอานนท์
ถือลูกดานเที่ยวประกาศไปตามวิหารว่า
ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย จงรีบออกเถิดๆ บัดนี้ท่านพระสารีบุตร
จะบันลือสีหนาทเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ฯ
ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรสารีบุตร เพื่อนพรหมจรรย์รูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้ กล่าวหาเธอว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรกระทบข้าพระองค์
แล้ว ไม่ขอโทษหลีกจาริกไปแล้ว ฯ
ส. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
กายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้
ไม่ขอโทษ แล้ว พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ชนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง
คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง ลงบนแผ่นดิน
แผ่นดินก็ไม่อึดอัดระอาหรือเกลียดชังด้วยสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล มีใจเสมอด้วยแผ่นดินอันไพบูลย์ กว้างใหญ่
ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
กายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกายภิกษุนั้น
กระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้
แล้วไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ชนทั้งหลายย่อมล้างของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง
คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง ลงในน้ำ
น้ำก็ไม่อึดอัดระอาหรือเกลียดชังด้วยสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
มีใจเสมอด้วยน้ำอันไพบูลย์กว้างใหญ่
ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
กายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้
แล้ว ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ไฟย่อมเผาของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง
คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง
ไฟย่อมไม่อึดอัดระอาหรือเกลียดชังด้วยสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
มีใจเสมอด้วยไฟอันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ
ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
กายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้
แล้ว ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ลมย่อมพัดซึ่งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง
คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง
ลมย่อมไม่อึดอัดระอาหรือเกลียดชังด้วยสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็เหมือนกันฉันนั้นแล
มีใจเสมอด้วยลมอันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ
ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้
แล้ว ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ผ้าสำหรับเช็ดธุลี ย่อมชำระของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง
คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง
ผ้าเช็ดธุลี ย่อมไม่อึดอัดระอาหรือเกลียดชังด้วยสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
มีใจเสมอด้วยผ้าสำหรับเช็ดธุลีอันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ
ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
กายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง
ในธรรมวินัยนี้ แล้ว ไม่ขอโทษ พึงหลีกไปเป็นแน่ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
กุมารหรือกุมาริกาของคนจัณฑาล
ถือตะกร้า นุ่งผ้าเก่าๆ เข้าไปยังบ้านหรือนิคม
ย่อมตั้งจิตนอบน้อมเข้าไป แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
มีใจเสมอด้วยกุมารหรือกุมาริกา ของคนจัณฑาล
อันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ
ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
กายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้
แล้ว ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
โคเขาขาด สงบเสงี่ยม ได้รับฝึกดีแล้ว ศึกษาดีแล้ว
เดินไปตามถนนหนทาง ตามตรอกเล็กซอกน้อย
ก็ไม่เอาเท้าหรือเขากระทบอะไรๆ แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
มีใจเสมอด้วยโคเขาขาด อันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ
ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
กายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้
แล้ว ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
สตรีหรือบุรุษรุ่นหนุ่มสาว เป็นคนชอบประดับตบแต่ง
พึงอึดอัดระอาเกลียดชังด้วยซากศพงู
หรือซากศพสุนัขที่เขาผูกไว้ที่คอ แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
ย่อมอึดอัดระอาและเกลียดชังด้วยกายอันเปื่อยเน่านี้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
กายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้
แล้ว ไม่ขอโทษ พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
คนประคองภาชนะมันข้น มีรูทะลุเป็นช่องเล็กช่องใหญ่
ไหลเข้าไหลออกอยู่ แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
ย่อมบริหารกายนี้มีรูทะลุเป็นช่องเล็กช่องใหญ่ ไหลเข้าไหลออกอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
กายคตาสติ อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย
ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปหนึ่งในพระธรรมวินัยนี้
แล้ว ไม่ขอโทษ พึงหลีกไปเป็นแน่ ฯ
ลำดับนั้นแล
ภิกษุรูปนั้นลุกจากอาสนะ กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง
หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า
แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
โทษได้ครอบงำข้าพระองค์ผู้เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นคนไม่ฉลาดอย่างไร
ที่ข้าพระองค์ได้กล่าวตู่ท่านพระสารีบุตร
ด้วยคำอันไม่มี เปล่า เท็จ ไม่เป็นจริง
ขอพระผู้มีพระภาคทรงโปรดรับโทษของข้าพระองค์นั้น
โดยความเป็นโทษ เพื่อความสำรวมต่อไปเถิด
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุ โทษได้ครอบงำเธอผู้เป็นคนพาล คนหลง ไม่ฉลาดอย่างไร
ที่เธอได้กล่าวตู่สารีบุตรด้วยคำอันไม่มี เปล่า เท็จ ไม่เป็นจริง
แต่เพราะเธอเห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้ว กระทำคืนตามธรรม เราย่อมรับโทษของเธอนั้น
ดูกรภิกษุ ข้อที่ภิกษุเห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้วทำคืนตามธรรม
ถึงความสำรวมต่อไป นี้เป็นความเจริญในวินัยของพระอริยเจ้า
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรสารีบุตร เธอจงอดโทษต่อโมฆบุรุษผู้นี้มิฉะนั้น
เพราะโทษนั้นนั่นแล ศีรษะของโมฆบุรุษนี้จักแตก ๗ เสี่ยง ฯ
ส. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมอดโทษต่อท่านผู้มีอายุนั้น
ถ้าผู้มีอายุนั้น กล่าวกะข้าพระองค์อย่างนี้ว่า ขอท่านผู้มีอายุนั้นจงอดโทษแก่ข้าพเจ้าด้วย ฯ
จบสูตรที่ ๑
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ บรรทัดที่ ๗๙๑๖ - ๘๐๑๗. หน้าที่ ๓๔๓ - ๓๔๗.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=7916&Z=8017&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=215
ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรไทย ได้ที่ :-
[215]
http://budsir.mahidol.ac.th/cgi-bin/Budsir.cgi/SearchItem?mode=1&valume=23&item=215&Roman=0
ภิกษุ นักบวช ในยุคหลัง ที่กล่าวจาบจ้วงพระสารีบุตร จะมองเห็นโทษในตนบ้างไหมหนอ. ?
.
ภิกษุ ผู้ที่ กล่าวเท็จ จ้องจับผิดพระสารีบุตร ในครั้งพุทธกาล
(บางส่วน)
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ผ้าสำหรับเช็ดธุลี ย่อมชำระของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง
คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง
ผ้าเช็ดธุลี ย่อมไม่อึดอัดระอาหรือเกลียดชังด้วยสิ่งนั้น แม้ฉันใด
ข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
มีใจเสมอด้วยผ้าสำหรับเช็ดธุลีอันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ
ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
อ่านพระสูตรเต็ม คลิกที่นี่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ บรรทัดที่ ๗๙๑๖ - ๘๐๑๗. หน้าที่ ๓๔๓ - ๓๔๗.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=7916&Z=8017&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=215
ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรไทย ได้ที่ :-
[215] http://budsir.mahidol.ac.th/cgi-bin/Budsir.cgi/SearchItem?mode=1&valume=23&item=215&Roman=0
ภิกษุ นักบวช ในยุคหลัง ที่กล่าวจาบจ้วงพระสารีบุตร จะมองเห็นโทษในตนบ้างไหมหนอ. ?
.