ว่าด้วยเรื่องวิธีปฏิบัติตัวของภิกษุ ( วุฏฐิสูตร )

สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่  ณ  พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี  ใกล้พระนครสาวัตถี  ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า  
พระสารีบุตร "ข้าแต่พระองค์เจริญ  ข้าพระองค์จำพรรษาอยู่ในพระนครสาวัตถีแล้ว    ข้าพระองค์ปรารถนาจะหลีกจาริกไปในชนบท"  
พระพุทธเจ้า "ดูก่อนสารีบุตรเธอจงสำคัญกาลอันควรในบัดนี้เถิด"  
ลำดับนั้น  ท่านพระสารีบุตรลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า  กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป.

ครั้งนั้น เมื่อท่านพระสารีบุตรหลีกไปแล้วไม่นาน ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า  
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญท่านพระสารีบุตรกระทบข้าพระองค์แล้ว  ไม่ขอโทษ หลีกจาริกไป"  

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งว่า  
"ดูก่อนภิกษุ  เธอจงมานี่ จงไปเรียกสารีบุตรตามคำของเราว่า  ดูก่อนอาวุโสสารีบุตรพระศาสดารับสั่งให้หาท่าน"


ก็สมัยนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะและท่านพระอานนท์  เที่ยวประกาศไปตามวิหารว่า
"ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  จงรีบออกเถิด ๆ  บัดนี้ท่านพระสารีบุตรจะบันลือสีหนาทเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า"

ครั้งนั้น  ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ   ถวายบังคมแล้วนั่ง   ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า    
“ดูก่อนสารีบุตรเพื่อนพรหมจรรย์รูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้    กล่าวหาเธอว่า ข้าแต่พระองค์เจริญ    ท่านพระสารีบุตรกระทบข้าพระองค์แล้ว    ไม่ขอโทษหลีกจาริกไปแล้ว.”

พระสารีบุตร.  “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  “กายคตาสติ”   อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้  ไม่ขอโทษแล้ว  พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่”  

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ชนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง  ไม่สะอาดบ้างคูถบ้าง มูตรบ้าง  น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง ลงบนแผ่นดิน แผ่นดินก็ไม่อึดอัดระอาหรือเกลียดชังด้วยสิ่งนั้น  
แม้ฉันใดข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล   มีใจเสมอด้วยแผ่นดินอันไพบูลย์กว้างใหญ่  ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่  
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  “กายคตาสติ”   อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้  ไม่ขอโทษแล้ว  พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่”  

“ข้าแต่พระองค์เจริญ  ชนทั้งหลายย่อมล้างของสะอาดบ้างไม่สะอาดบ้าง  คูถบ้าง  มูตรบ้าง  น้ำลายบ้าง  น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง  ลงในน้ำ  น้ำก็ไม่อึดอัดระอาหรือเกลียดชังด้วยสิ่งนั้น
แม้ฉันใดข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน  มีใจเสมอด้วยน้ำอันไพบูลย์กว้างใหญ่  ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน  
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  “กายคตาสติ”   อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้  ไม่ขอโทษแล้ว  พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่”  

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไฟย่อมเผาของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง  มูตรบ้าง  น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง  โลหิตบ้างไฟย่อมไม่อึดอัดระอาหรือเกลียดชังด้วยสิ่งนั้น
แม้ฉันใดข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน  มีใจเสมอด้วยไฟอันไพบูลย์ กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  “กายคตาสติ”   อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้  ไม่ขอโทษแล้ว  พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่”    
             
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ลมย่อมพัดซึ่งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง  น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้างลมย่อมไม่อึดอัดระอาหรือเกลียดชังด้วยสิ่งนั้น
แม้ฉันใดข้าพระองค์ก็เหมือนกันฉันนั้น  มีใจเสมอด้วยลมอันไพบูลย์ กว้างใหญ่  ไม่มี ประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  “กายคตาสติ”   อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้  ไม่ขอโทษแล้ว  พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่”    
        
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   ผ้าสำหรับเช็ดธุลี  ย่อมชำระของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง โลหิตบ้าง ผ้าเช็ดธุลีย่อมไม่อึดอัดระอาหรือเกลียดชังด้วยสิ่งนั้น  
แม้ฉันใดข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีใจเสมอด้วยผ้าสำหรับเช็ดธุลีอันไพบูลย์  กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวรไม่มีความเบียดเบียนอยู่  
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  “กายคตาสติ”  อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้  ไม่ขอโทษแล้ว  พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่”  

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ   กุมารหรือกุมาริกาของคนจัณฑาลถือตะกร้า นุ่งผ้าเก่า ๆ เข้าไปยังบ้านหรือนิคม ย่อมตั้งจิตนอบน้อมเข้าไป  
แม้ฉันใดข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน  มีใจเสมอด้วยกุมารหรือกุมาริกาของคนจัณฑาล   อันไพบูลย์กว้างใหญ่  ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  “กายคตาสติ”   อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้  ไม่ขอโทษแล้ว  พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่”  

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โคเขาขาด สงบเสงี่ยม ได้รับฝึกดีแล้วศึกษาดีแล้ว เดินไปตามถนนหนทาง  ตามตรอกเล็กซอกน้อย ก็ไม่ เอาเท้าหรือเขากระทบอะไร ๆ  
แม้ฉันใดข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีใจเสมอด้วยโคเขาขาด  อันไพบูลย์  กว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ  ไม่มีเวร    ไม่มีความเบียดเบียน
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  “กายคตาสติ”   อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้  ไม่ขอโทษแล้ว  พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่”  

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  สตรีหรือบุรุษรุ่นหนุ่มสาว เป็นคนชอบประดับตบแต่ง  พึงอึดอัดระอาเกลียดชังด้วยซากศพงู หรือซากศพสุนัขที่เขาผูกไว้ที่คอ
แม้ฉันใดข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน   ย่อมอึดอัดระอาและเกลียดชังด้วยกายอันเปื่อยเน่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  “กายคตาสติ”   อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้  ไม่ขอโทษแล้ว  พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่”  

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  คนประคองภาชนะมันข้น มีรูทะลุเป็นช่องเล็กช่องใหญ่ ไหลเข้าไหลออกอยู่  
แม้ฉันใดข้าพระองค์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน  ย่อมบริหารกายนี้มีรูทะลุเป็นช่องเล็กช่องน้อยใหญ่ ไหลเข้าไหลออกอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  “กายคตาสติ”   อันภิกษุใดไม่เข้าไปตั้งไว้แล้วในกาย ภิกษุนั้นกระทบเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งในธรรมวินัยนี้  ไม่ขอโทษแล้ว  พึงหลีกจาริกไปเป็นแน่”    
        
ลำดับนั้น ภิกษุนั้นผู้กล่าวตู่พระสารีบุตรลุกจากอาสนะ  กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง  หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า  แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า  

“ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ โทษได้ครอบงำข้าพระองค์ผู้เป็นคนพาล  เป็นคนหลง เป็นคนไม่ฉลาดอย่างไร ที่ข้าพระองค์ได้กล่าวตู่ท่านพระสารีบุตรด้วยคำอันไม่มี เปล่า เท็จ ไม่เป็นจริง  ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงโปรดรับโทษของข้าพระองค์นั้น  โดยความเป็นโทษ   เพื่อความสำรวมต่อไปเถิด”  

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า  
“ดูก่อนภิกษุ  โทษได้ครอบงำเธอผู้เป็นคนพาล  คนหลง  ไม่ฉลาดอย่างไร  ที่เธอได้กล่าวตู่สารีบุตรด้วยคำอันไม่มี เปล่า เท็จ ไม่เป็นจริง แต่เพราะเธอเห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้ว กระทำคืนตามธรรม  เราย่อมรับโทษของเธอนั้น  
“ดูก่อนภิกษุ  ข้อที่ภิกษุเห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้วทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวมต่อไป  นี้เป็นความเจริญในวินัยของพระอริยเจ้า”  

ลำดับนั้น    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า  
“ดูก่อนสารีบุตร เธอจงอดโทษต่อโมฆบุรุษผู้นี้   เพราะโทษนั้นนั่นแล   ศีรษะของโมฆบุรุษนี้จักแตก ๗  เสี่ยง”

พระสารีบุตร “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์ย่อมอดโทษต่อท่านผู้มีอายุนั้น   ถ้าผู้มีอายุนั้น   กล่าวกะข้าพระองค์อย่างนี้ว่า   ขอท่านผู้มีอายุนั้นจงอดโทษแก่ข้าพเจ้าด้วย”.


พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 738
วุฏฐิสูตร
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่