"คืนสีน้ำเงิน" สัญลักษณ์ที่แฝงอยู่ สะท้อนจิตใจฝ่ายชั่วดี ให้ตระหนัก และฉุกคิด
การที่ตั้มเดินบนขอบกำแพง หมายถึงการหมายจะเอาชนะสิ่งที่ตีกรอบชีวิตเขาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทางสังคม ทางบ้าน ที่ต้องปกปิดตัวเองว่าเป็นเกย์
การขึ้นไปอยู่เหนือขอบกำแพงอาจหมายถึงความปรารถนาของตัวละครที่จะหลุดพ้นกรอบกำแพงที่ขวางกั้นเหล่านั้น
และเมื่อพิจารณาดีๆ จะเห็นว่าแนวกำแพงจะกั้นระหว่างท้องฟ้าสีครามสดใสกับพื้นดินที่ครึ้มไปด้วยหญ้าและรอยเปื้อนดำของกำแพงที่สกปรก
หมายถึงตั้มกำลังอยู่ในระหว่างความชั่ว (เบื้องล่าง) และความดี (ท้องฟ้าและก้อนเมฆเบื้องบน) ตัวละครกำลังจะก้าวเดินไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิตว่าตนจะมุ่งไปสู่เบื้องล่างหรือเบื้องบน ดี หรือ ชั่ว
สระน้ำสี่เหลี่ยม หมายถึง ความกักขังตนเองในความรู้สึกเก็บกด กดดันจากทางบ้าน ที่บีบบังคับตัวละครให้ตัดสินใจอะไรผิดๆ ภายใต้กรอบสี่เหลี่ยมนั้นที่เป็นค่านิยมทางสังคม การดูถูก แอนตี้เกย์ การที่พ่อเป็นทหารแต่ดันมีลูกเป็นเกย์ การที่แม่บังคับให้เปลี่ยนแปลงตนเอง การที่พี่ชายไม่เข้าใจ และพี่ชายมักเป็นที่รักของพ่อแม่มากกว่า และอื่นๆ ทำให้ตัวละครมักจะลงไปในกรอบสี่เหลี่ยมของสระน้ำอยู่เสมอ
น้ำขุ่นดำในสระ หมายถึง ความสกปรกแห่งจิตใจใฝ่ต่ำ ดำมืดมนอนธการของจิตใจตัวละคร ที่ก้นบึ้งนั้นหยั่งลึกลงไปเต็มไปด้วยตะกอน ตะไคร้ ความเศร้าหมอง สลดรันทด เก็บกด โหยหาความอบอุ่นจากทางบ้าน จากเพื่อน ที่ไม่เคยได้รับ ทำให้จิตใจตัวละครชื่อตั้ม ถลำลึกจมดิ่งลงไปใต้ก้นบึ้งของสระที่ไม่สะอาด ดั่งก้นบึ้งของจิตใจที่เต็มไปด้วยตะกอนแห่งความเกลียดชัง
การที่ภูมิชวนตั้มลงสระน้ำที่ขุ่นขลั่กสกปรก ทั้งๆ ที่ตั้มก็รู้ว่าสกปรก ภูมิก็รู้ว่าสกปรก แต่ก็ชวนกันลง หมายถึง ภูมิเข้ามาในชีวิตตั้ม และผลักดันให้ตั้มจมดิ่งลงไปในความมืดดำ อบายมุข อาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิต แม้จะรู้จะเห็นว่าดำว่าสกปรก แต่ทั้งคู่ก็ยังเปรมปรีที่จะเล่นน้ำในสระนั้น เสมือนรู้ว่าไฟมันร้อน ก็ยังเล่น รู้ว่าทางที่ทั้งคู่ชักชวนกันเดิน หรือดำดิ่งไปด้วยกันมันสกปรก แต่ก็ยังพากันไป จนพบกับเรื่องหายนะต่างๆ ที่ช่วยกันก่อขึ้น
สุดท้ายตัวละครทั้งสองตัวก็แปดเปื้อนไปด้วยตะไคร้ ตะกอนที่สกปรกขุ่นขลั่กมืดดำครอบงำชีวิต จนไม่อาจมีอะไรลบล้างได้อีก แม้ว่าตั้มจะพยายามลบล้างความผิดบาปในใจหรือ ความผิดชอบชั่วดีให้ได้ก่อนที่อะไรๆ จะสายไป (ก่อนที่จะฆ่ายกครัวบ้านตนเอง) แต่รอยดำรูปร่างคนที่เสมือนเป็นเงาฝ่ายชั่วในจิตใจที่ติดอยู่ที่ผนังสระนั้นก็ไม่อาจมีอะไรมาลบล้างได้หมดจด และยังมีอีกหลายรอย แม้จะพยายามลบออก ขูดออก เอาน้ำดำๆ ในสระมาล้างออก แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา จนตนเองรู้ว่าสายไปเสียแล้ว การที่จู่ๆตั้มถูกอะไรบางอย่างดึงจมลงก้นสระ นั้นไม่ใช่ผี แต่หากหมายถึงตั้มที่พยายามลบความคิดชั่วในใจให้ออกไปก่อนลงมือจ้างวานฆ่าพ่อแม่พี่ตนเอง แต่กลับถูกอำนาจฝ่ายชั่ว (คือน้ำดำในสระ) ดึงขาลงไปให้จมมิด ไม่อาจกลับตัวกลับใจได้ทัน จนจมดิ่ง (ถลำลึก) ลงไป และก่อเหตุอาชกรรมในที่สุด
การที่ภูมิช่วยตั้มขึ้นจากสระ และพูดว่า คราวหลังอย่าเล่นน้ำคนเดียวในสระอีกนะ หมายถึง ภูมิไม่อยากให้ตั้มก่ออาชกรรมคนเดียว โดยไม่มีภูมิช่วย ทั้งคู่จับมือกันเวียนว่ายอยู่ในวงจรที่ดำมืดด้วยกันต่อไป
การที่มีน้ำอยู่ในสระครึ่งเดียว อีกครึ่งเปิดโล่งโผล่พ้นน้ำเห็นกระเบื้องในสระ และรอยดำ อาจหมายถึงจิตใจของคนเราที่ต้องมีทั้งดีและชั่ว และสำนึกแห่งผิดชอบชั่วดี มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้ชีวิตไปทางด้านใดมากกว่ากัน
มีด้านที่ขุ่นขลั่ก (น้ำในสระที่มีเพียงครึ่ง) มีด้านที่บริสุทธิ์ (ครึ่งบนของสระที่โผล่พ้นน้ำ) แต่ครึ่งบนนั้นที่พ้นน้ำแม้ว่าจะเป็นส่วนที่น้ำขุ่นๆ ในสระไม่ถึง แต่ก็ยังเปื้อนไปด้วยรอยดำต่างๆ แสดงให้เห็นว่าจิตใจด้านที่เคยใฝ่ดีของตั้มและภูมิเอง ก็เริ่มที่จะมีความด่างพร้อยไปบ้างแล้ว อยากจะขูดจะลบรอยดำในใจฝ่ายดีอย่างไร ก็สายเกินเพราะตัวเองก็ยังจมอยู่ใต้น้ำดำขุ่นอยู่ดี
สถานที่เปลี่ยวร้าง ที่ทั้งคู่นัดเจอกัน หมายถึง จิตใจของทั้งคู่ที่อ้างว้างโดดเดี่ยว ไม่มีใครเข้าใจ ถูกสังคมทิ้งให้รู้สึกอ้างว้าง ต้องปิดบังครอบครัวว่าเป็นเกย์ เสมือนสถานที่ที่เปลี่ยวร้าง และถูกทิ้งไร้การดูแล มีแต่ตั้มและภูมิเท่านั้นที่เข้าใจกัน
การที่ตั้มฝันเห็น ตนและภูมิเข้าไปพบศพพี่ชายตั้มในห้องน้ำ และพยายามจะกลับมาซ่อนหลักฐาน แต่พบว่าศพหายไปแล้ว และพยายามลบรอยนิ้วมือในที่เกิดเหตุ นั้นหมายถึงความคิดกังวลถึงแผนการที่จะก่อในวันข้างหน้า ที่จะสังหารพี่ชายตนเอง และครอบครัว แม้แต่รอยดำรูปคนที่ติดอยู่ที่ผนังในห้องน้ำก็ตามติดมา นั้นหมายถึงความคิดชั่ว และตราบาปในใจที่เกาะกุมจิตใจของเขาอยู่. ความกังวลในแผนการที่ทั้งสองวางแผนด้วยกัน ถูกถ่ายทอดออกมาในฉากความฝันที่จะหาศพที่หายไปซ่อน และพยายามลบหลักฐานทิ้ง อาจหมายถึงเป็นสื่อแทนคำพูดที่ทั้งคู่ช่วยกันคิดแผนการและพยายามจะกลบเกลื่อนปิดบังความผิดตนเอาไว้ ไม่ให้ใครรู้ แต่ตนเองก็รู้อยู่แก่ใจ แม้รอยนิ้วมือจะลบได้ แต่รอยดำรูปคนที่เป็นเสมือนตราบาปในใจนั้นก็ยังติดแน่นฝังตรึงอยู่ไม่รู้หาย เหมือน "ผีบังตา" ทำให้คนเรามักคิดชั่วได้เสมอ ตั้มหาภูมิไม่เจอในห้องน้ำ หมายถึง ความกลัวว่า ตนต้องถูกทิ้งให้อยู่กับความผิดบาปคนเดียว ต่อสู้กับความกลัว ความรู้สึกผิดฝ่ายเดียว โดยที่อีกฝ่ายที่ร่วมก่อคดีทิ้งไป (มันแค่ความกลัวลึกๆ ในใจของตั้ม ที่กลัวว่า งานเสร็จแล้ว จะถูกจับได้คนเดียว คนร่วมด้วยหายไป) สุดท้ายตั้มก็ไม่อาจจะทนสู้อำนาจฝ่ายชั่วที่ครอบงำเหมือนผีบังตา ให้ตัดสินใจก่ออาชกรรมตามแผนที่วางไว้อยู่ดี โดยไม่มีเสียงห้ามของใครเลย
ตั้มจึงสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันนั้น จริงๆ อาจเป็นแค่ความกังวล และคิดไปต่างๆ นานาถึงวันก่อเหตุว่าตนจะทำยังไงต่อไป หาฆ่าคนตายสำเร็จ จะเอาศพไปซ่อนไหนดี ตนจะถูกจับได้ไหม และภูมิจะยังอยู่เคียงข้างหรือเปล่า หรือหนีหายไป ความกลัวในใจนี้ ถูกสื่อผ่านฉากห้องน้ำที่เหม็นเน่าสกปรก หมายถึงจิตใจที่ตกต่ำถึงขีดสุดสู่ก้นบึ้งแห่งความโสมม (ส้วม).
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาภูมิก็ช่วยปลอบใจว่าไอ้สิ่งที่คิด ไม่ต้องกังวล ให้นอนต่อไปเถอะ (พร้อมช่วยล้วงมือลงไปกุมช้างน้อยปลอบขวัญด้วย หมายถึงจะช่วยกุมความลับเอาไว้ให้.)
แม้ตั้มจะยังร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวแห่งจิตใจที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ไม่อาจมีอะไรปิดมิด แม้แต่ภูมิเองก็แอบร้องน้ำตาซึมเหมือนกัน ในจิตใจคงกลัวไม่ต่างกัน แต่ทั้งคู่ก็ราวกับถูกผีบังตา และผลักให้เข้าไปสู่ห้องส้วมที่สกปรกเหม็นเน่า และไม่อาจออกมาได้อีกจากก้นบึ้งที่โสมมในจิตใจนั้น.
คำพูดของภูมิที่พูดว่า
"หากไม่เข้าไปในห้องน้ำ เราจะกลัวไปตลอดชีวิต" นั้นหมายถึง
"หากเราไม่กล้าที่จะฆ่าพวกมัน ที่ขวางทางเรา (ครอบครัวที่กดดัน) เราจะต้องกลัวไปทั้งชีวิต"
ภูมิเองเป็นฝ่ายผลักดันตั้มให้เข้าไปสู่ความคิดชั่วร้ายดำมืด (ห้องส้วม) อย่างที่ไม่อาจถอนตัวได้
ห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ เหม็นๆ มีห้องเล็กๆ ซอยย่อยออกไปอีกในห้องส้วมนั้น เปรียบเสมือนจิตใจคนเราที่มี สี่ห้อง แต่ละห้องเต็มไปด้วยความดำมืด มืดมน
"อนธการ" (ชื่อหนังฉบับเต็ม) เปิดไปห้องไหนก็พบว่าสกปรก เหมือนจิตใจทั้งสี่ห้องของทั้งสองตัวละคร ที่ขุ่นขลั่กแปดเปื้อนไปด้วยความสกปรกมืดดำ ไม่อาจมีสิ่งใดมากระตุ้นเตือน ยื่นแสงสว่างให้ทั้งสองตัวละครได้พบทางออกที่ดีกว่านี้อีกต่อไป และแม้ว่าประตูห้องน้ำจะไม่ได้ล็อกขังทั้งสองคนไว้ไม่ให้ออกมาได้ พวกเขาออกมาได้ถ้าจะออก ตอนนี้ก็ยังทัน แต่กลับไม่ออกมาจากความโสมมสกปรกนั้น กลับอยากที่จะยืนอยู่ต่อไปทั้งสองคนจนสายเกินไป
แผนการของภูมิที่บอกให้ตั้มฆ่าพ่อแม่และพี่เพื่อเอาที่ดินซึ่งเป็นมรดกนั้นมาเป็นของตนคนเดียวเสีย พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกัน ไม่มีใครมาขัดขวาง เงินค่าจ้างวานก็จะเอามาให้ทีหลัง หลังจากงานฆ่าเสร็จและขายที่ดินนั้นได้
และทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนการของทั้งสอง.
สุดท้ายตัวละครทั้งสองก็พากันลงไปในน้ำดำในคลองอีกครั้ง และมองขึ้นไปบนฟ้าสีครามที่สว่างสดใส.
หมายถึงพวกเขาทั้งคู่คิดว่าตนเองพบทางสว่างสดใสแล้ว บรรลุเป้าหมายแล้ว แต่หลงลืมไปว่าตนเองนั้นก็ยังจมปลักดำมืดอยู่ใต้น้ำดำปี๋ในคลองอยู่ดี แม้ว่าจะไม่มีกรอบสี่เหลี่ยมมาตีกรอบพวกเขาทั้งสองอีกแล้ว (ลงน้ำคลอง ที่ไม่มีกรอบสี่เหลี่ยมมาตีรอบเหมือนน้ำในสระน้ำ) มันรู้สึกอิสระเสรี หลุดพ้นจากพันธนาการ แต่กระนั้นถึงแม้น้ำในคลองจะไม่มีกรอบสังคม ความกดดันมาตีกรอบชีวิตเอาไว้ พวกเขาทั้งสองคนก็จมดิ่งสู่ความสกปรกดำมืดในจิตใจ ที่ไม่อาจเอื้อมถึงแสงสว่างเบื้องบนได้อยู่ดี เพราะถูกตะกอนดำปิดบังตาไว้.
หนังพยายามจะเล่าเรื่องแฝงสัญลักษณ์เอาไว้อย่างแนบเนียน ให้ตีความ และเข้าใจความคิด ความรู้สึก แรงกดดัน แรงปรารถนา กิเลสตัณหาราคะ ความโลภ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวละครออกมาได้อย่างลึกซึ้งจับใจและเสียดสีสังคม
การหักห้ามชั่งใจของตัวละครเหมือนจะมี
ในตอนที่ตั้มพยายามจะลบรอยนั้นออก ราวกับบอกตนเองว่าอย่าทำเลย แต่กลับถูกจิตใจฝ่ายต่ำกระชากลงน้ำที่ดำสกปรก จนทำให้ตัดสินใจผิดพลาด จนนำพาชีวิตตนเองและคนรักไปสู่อาชกรรมร้ายแรง หนังพยายามจะเปรียบเทียบว่าตัวละครห้ามตัณหาราคะของตนไม่อยู่ฉันใด (ฉากเลิฟซีน ต่างๆ ช่วยตัวเอง เพศสัมพันธ์ดูดดื่มรุนแรงที่ถูกตัดออกไปจากฉบับเต็ม) ก็ไม่อาจหักห้ามความโลภ และโทสะได้ฉันนั้น
หนังเรื่องนี้พยายามสะท้อนแง่มุม ให้เราได้ตระหนัก ฉุกคิด และเข้าใจถึงความคิดของมนุษย์ทุกคนที่ต้องมีฝ่ายดีฝ่ายชั่วอยู่ทุกคน ให้เราระวังอำนาจฝ่ายมืดครอบงำเหมือนผีบังตาเอาไว้ดีๆ ก่อนจะเห็นกรงจักรเป็นดอกบัว ตัดสินอะไรผิดพลาดจนไม่อาจถอนตัว หรือลบล้างได้อีก
ทุกคนที่ชม โดยเฉพาะวัยรุ่นควรระวังจิตใจตนเองเอาไว้ไม่ให้เข้าไปแหวกว่ายในความสกปรกโสมมเหล่านั้น จนแปดเปื้อนชีวิต อย่างที่ไม่อาจมีอะไรมาลบล้างออกได้อีกต่อไป
นี่คือตอนสุดท้ายของเพื่อนเฮี้ยนโรงเรียนหลอนที่ดีที่สุด ใน 13 ตอน และสมควรได้รับรางวัล เพราะไม่มีผีอะไรจะน่ากลัวไปกว่า
"ผีบังตาให้เราคิดชั่วทำชั่ว" อีกแล้ว
ญาณนิทัศน์
"คืนสีน้ำเงิน" สัญลักษณ์ที่แฝงอยู่ สะท้อนจิตใจฝ่ายชั่วดี ให้ตระหนัก และฉุกคิด
การที่ตั้มเดินบนขอบกำแพง หมายถึงการหมายจะเอาชนะสิ่งที่ตีกรอบชีวิตเขาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทางสังคม ทางบ้าน ที่ต้องปกปิดตัวเองว่าเป็นเกย์
การขึ้นไปอยู่เหนือขอบกำแพงอาจหมายถึงความปรารถนาของตัวละครที่จะหลุดพ้นกรอบกำแพงที่ขวางกั้นเหล่านั้น
และเมื่อพิจารณาดีๆ จะเห็นว่าแนวกำแพงจะกั้นระหว่างท้องฟ้าสีครามสดใสกับพื้นดินที่ครึ้มไปด้วยหญ้าและรอยเปื้อนดำของกำแพงที่สกปรก
หมายถึงตั้มกำลังอยู่ในระหว่างความชั่ว (เบื้องล่าง) และความดี (ท้องฟ้าและก้อนเมฆเบื้องบน) ตัวละครกำลังจะก้าวเดินไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิตว่าตนจะมุ่งไปสู่เบื้องล่างหรือเบื้องบน ดี หรือ ชั่ว
สระน้ำสี่เหลี่ยม หมายถึง ความกักขังตนเองในความรู้สึกเก็บกด กดดันจากทางบ้าน ที่บีบบังคับตัวละครให้ตัดสินใจอะไรผิดๆ ภายใต้กรอบสี่เหลี่ยมนั้นที่เป็นค่านิยมทางสังคม การดูถูก แอนตี้เกย์ การที่พ่อเป็นทหารแต่ดันมีลูกเป็นเกย์ การที่แม่บังคับให้เปลี่ยนแปลงตนเอง การที่พี่ชายไม่เข้าใจ และพี่ชายมักเป็นที่รักของพ่อแม่มากกว่า และอื่นๆ ทำให้ตัวละครมักจะลงไปในกรอบสี่เหลี่ยมของสระน้ำอยู่เสมอ
น้ำขุ่นดำในสระ หมายถึง ความสกปรกแห่งจิตใจใฝ่ต่ำ ดำมืดมนอนธการของจิตใจตัวละคร ที่ก้นบึ้งนั้นหยั่งลึกลงไปเต็มไปด้วยตะกอน ตะไคร้ ความเศร้าหมอง สลดรันทด เก็บกด โหยหาความอบอุ่นจากทางบ้าน จากเพื่อน ที่ไม่เคยได้รับ ทำให้จิตใจตัวละครชื่อตั้ม ถลำลึกจมดิ่งลงไปใต้ก้นบึ้งของสระที่ไม่สะอาด ดั่งก้นบึ้งของจิตใจที่เต็มไปด้วยตะกอนแห่งความเกลียดชัง
การที่ภูมิชวนตั้มลงสระน้ำที่ขุ่นขลั่กสกปรก ทั้งๆ ที่ตั้มก็รู้ว่าสกปรก ภูมิก็รู้ว่าสกปรก แต่ก็ชวนกันลง หมายถึง ภูมิเข้ามาในชีวิตตั้ม และผลักดันให้ตั้มจมดิ่งลงไปในความมืดดำ อบายมุข อาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิต แม้จะรู้จะเห็นว่าดำว่าสกปรก แต่ทั้งคู่ก็ยังเปรมปรีที่จะเล่นน้ำในสระนั้น เสมือนรู้ว่าไฟมันร้อน ก็ยังเล่น รู้ว่าทางที่ทั้งคู่ชักชวนกันเดิน หรือดำดิ่งไปด้วยกันมันสกปรก แต่ก็ยังพากันไป จนพบกับเรื่องหายนะต่างๆ ที่ช่วยกันก่อขึ้น
สุดท้ายตัวละครทั้งสองตัวก็แปดเปื้อนไปด้วยตะไคร้ ตะกอนที่สกปรกขุ่นขลั่กมืดดำครอบงำชีวิต จนไม่อาจมีอะไรลบล้างได้อีก แม้ว่าตั้มจะพยายามลบล้างความผิดบาปในใจหรือ ความผิดชอบชั่วดีให้ได้ก่อนที่อะไรๆ จะสายไป (ก่อนที่จะฆ่ายกครัวบ้านตนเอง) แต่รอยดำรูปร่างคนที่เสมือนเป็นเงาฝ่ายชั่วในจิตใจที่ติดอยู่ที่ผนังสระนั้นก็ไม่อาจมีอะไรมาลบล้างได้หมดจด และยังมีอีกหลายรอย แม้จะพยายามลบออก ขูดออก เอาน้ำดำๆ ในสระมาล้างออก แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา จนตนเองรู้ว่าสายไปเสียแล้ว การที่จู่ๆตั้มถูกอะไรบางอย่างดึงจมลงก้นสระ นั้นไม่ใช่ผี แต่หากหมายถึงตั้มที่พยายามลบความคิดชั่วในใจให้ออกไปก่อนลงมือจ้างวานฆ่าพ่อแม่พี่ตนเอง แต่กลับถูกอำนาจฝ่ายชั่ว (คือน้ำดำในสระ) ดึงขาลงไปให้จมมิด ไม่อาจกลับตัวกลับใจได้ทัน จนจมดิ่ง (ถลำลึก) ลงไป และก่อเหตุอาชกรรมในที่สุด
การที่ภูมิช่วยตั้มขึ้นจากสระ และพูดว่า คราวหลังอย่าเล่นน้ำคนเดียวในสระอีกนะ หมายถึง ภูมิไม่อยากให้ตั้มก่ออาชกรรมคนเดียว โดยไม่มีภูมิช่วย ทั้งคู่จับมือกันเวียนว่ายอยู่ในวงจรที่ดำมืดด้วยกันต่อไป
การที่มีน้ำอยู่ในสระครึ่งเดียว อีกครึ่งเปิดโล่งโผล่พ้นน้ำเห็นกระเบื้องในสระ และรอยดำ อาจหมายถึงจิตใจของคนเราที่ต้องมีทั้งดีและชั่ว และสำนึกแห่งผิดชอบชั่วดี มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้ชีวิตไปทางด้านใดมากกว่ากัน
มีด้านที่ขุ่นขลั่ก (น้ำในสระที่มีเพียงครึ่ง) มีด้านที่บริสุทธิ์ (ครึ่งบนของสระที่โผล่พ้นน้ำ) แต่ครึ่งบนนั้นที่พ้นน้ำแม้ว่าจะเป็นส่วนที่น้ำขุ่นๆ ในสระไม่ถึง แต่ก็ยังเปื้อนไปด้วยรอยดำต่างๆ แสดงให้เห็นว่าจิตใจด้านที่เคยใฝ่ดีของตั้มและภูมิเอง ก็เริ่มที่จะมีความด่างพร้อยไปบ้างแล้ว อยากจะขูดจะลบรอยดำในใจฝ่ายดีอย่างไร ก็สายเกินเพราะตัวเองก็ยังจมอยู่ใต้น้ำดำขุ่นอยู่ดี
สถานที่เปลี่ยวร้าง ที่ทั้งคู่นัดเจอกัน หมายถึง จิตใจของทั้งคู่ที่อ้างว้างโดดเดี่ยว ไม่มีใครเข้าใจ ถูกสังคมทิ้งให้รู้สึกอ้างว้าง ต้องปิดบังครอบครัวว่าเป็นเกย์ เสมือนสถานที่ที่เปลี่ยวร้าง และถูกทิ้งไร้การดูแล มีแต่ตั้มและภูมิเท่านั้นที่เข้าใจกัน
การที่ตั้มฝันเห็น ตนและภูมิเข้าไปพบศพพี่ชายตั้มในห้องน้ำ และพยายามจะกลับมาซ่อนหลักฐาน แต่พบว่าศพหายไปแล้ว และพยายามลบรอยนิ้วมือในที่เกิดเหตุ นั้นหมายถึงความคิดกังวลถึงแผนการที่จะก่อในวันข้างหน้า ที่จะสังหารพี่ชายตนเอง และครอบครัว แม้แต่รอยดำรูปคนที่ติดอยู่ที่ผนังในห้องน้ำก็ตามติดมา นั้นหมายถึงความคิดชั่ว และตราบาปในใจที่เกาะกุมจิตใจของเขาอยู่. ความกังวลในแผนการที่ทั้งสองวางแผนด้วยกัน ถูกถ่ายทอดออกมาในฉากความฝันที่จะหาศพที่หายไปซ่อน และพยายามลบหลักฐานทิ้ง อาจหมายถึงเป็นสื่อแทนคำพูดที่ทั้งคู่ช่วยกันคิดแผนการและพยายามจะกลบเกลื่อนปิดบังความผิดตนเอาไว้ ไม่ให้ใครรู้ แต่ตนเองก็รู้อยู่แก่ใจ แม้รอยนิ้วมือจะลบได้ แต่รอยดำรูปคนที่เป็นเสมือนตราบาปในใจนั้นก็ยังติดแน่นฝังตรึงอยู่ไม่รู้หาย เหมือน "ผีบังตา" ทำให้คนเรามักคิดชั่วได้เสมอ ตั้มหาภูมิไม่เจอในห้องน้ำ หมายถึง ความกลัวว่า ตนต้องถูกทิ้งให้อยู่กับความผิดบาปคนเดียว ต่อสู้กับความกลัว ความรู้สึกผิดฝ่ายเดียว โดยที่อีกฝ่ายที่ร่วมก่อคดีทิ้งไป (มันแค่ความกลัวลึกๆ ในใจของตั้ม ที่กลัวว่า งานเสร็จแล้ว จะถูกจับได้คนเดียว คนร่วมด้วยหายไป) สุดท้ายตั้มก็ไม่อาจจะทนสู้อำนาจฝ่ายชั่วที่ครอบงำเหมือนผีบังตา ให้ตัดสินใจก่ออาชกรรมตามแผนที่วางไว้อยู่ดี โดยไม่มีเสียงห้ามของใครเลย
ตั้มจึงสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันนั้น จริงๆ อาจเป็นแค่ความกังวล และคิดไปต่างๆ นานาถึงวันก่อเหตุว่าตนจะทำยังไงต่อไป หาฆ่าคนตายสำเร็จ จะเอาศพไปซ่อนไหนดี ตนจะถูกจับได้ไหม และภูมิจะยังอยู่เคียงข้างหรือเปล่า หรือหนีหายไป ความกลัวในใจนี้ ถูกสื่อผ่านฉากห้องน้ำที่เหม็นเน่าสกปรก หมายถึงจิตใจที่ตกต่ำถึงขีดสุดสู่ก้นบึ้งแห่งความโสมม (ส้วม).
แต่เมื่อตื่นขึ้นมาภูมิก็ช่วยปลอบใจว่าไอ้สิ่งที่คิด ไม่ต้องกังวล ให้นอนต่อไปเถอะ (พร้อมช่วยล้วงมือลงไปกุมช้างน้อยปลอบขวัญด้วย หมายถึงจะช่วยกุมความลับเอาไว้ให้.)
แม้ตั้มจะยังร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวแห่งจิตใจที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ไม่อาจมีอะไรปิดมิด แม้แต่ภูมิเองก็แอบร้องน้ำตาซึมเหมือนกัน ในจิตใจคงกลัวไม่ต่างกัน แต่ทั้งคู่ก็ราวกับถูกผีบังตา และผลักให้เข้าไปสู่ห้องส้วมที่สกปรกเหม็นเน่า และไม่อาจออกมาได้อีกจากก้นบึ้งที่โสมมในจิตใจนั้น.
คำพูดของภูมิที่พูดว่า "หากไม่เข้าไปในห้องน้ำ เราจะกลัวไปตลอดชีวิต" นั้นหมายถึง "หากเราไม่กล้าที่จะฆ่าพวกมัน ที่ขวางทางเรา (ครอบครัวที่กดดัน) เราจะต้องกลัวไปทั้งชีวิต"
ภูมิเองเป็นฝ่ายผลักดันตั้มให้เข้าไปสู่ความคิดชั่วร้ายดำมืด (ห้องส้วม) อย่างที่ไม่อาจถอนตัวได้
ห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ เหม็นๆ มีห้องเล็กๆ ซอยย่อยออกไปอีกในห้องส้วมนั้น เปรียบเสมือนจิตใจคนเราที่มี สี่ห้อง แต่ละห้องเต็มไปด้วยความดำมืด มืดมน "อนธการ" (ชื่อหนังฉบับเต็ม) เปิดไปห้องไหนก็พบว่าสกปรก เหมือนจิตใจทั้งสี่ห้องของทั้งสองตัวละคร ที่ขุ่นขลั่กแปดเปื้อนไปด้วยความสกปรกมืดดำ ไม่อาจมีสิ่งใดมากระตุ้นเตือน ยื่นแสงสว่างให้ทั้งสองตัวละครได้พบทางออกที่ดีกว่านี้อีกต่อไป และแม้ว่าประตูห้องน้ำจะไม่ได้ล็อกขังทั้งสองคนไว้ไม่ให้ออกมาได้ พวกเขาออกมาได้ถ้าจะออก ตอนนี้ก็ยังทัน แต่กลับไม่ออกมาจากความโสมมสกปรกนั้น กลับอยากที่จะยืนอยู่ต่อไปทั้งสองคนจนสายเกินไป
แผนการของภูมิที่บอกให้ตั้มฆ่าพ่อแม่และพี่เพื่อเอาที่ดินซึ่งเป็นมรดกนั้นมาเป็นของตนคนเดียวเสีย พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกัน ไม่มีใครมาขัดขวาง เงินค่าจ้างวานก็จะเอามาให้ทีหลัง หลังจากงานฆ่าเสร็จและขายที่ดินนั้นได้
และทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนการของทั้งสอง.
สุดท้ายตัวละครทั้งสองก็พากันลงไปในน้ำดำในคลองอีกครั้ง และมองขึ้นไปบนฟ้าสีครามที่สว่างสดใส.
หมายถึงพวกเขาทั้งคู่คิดว่าตนเองพบทางสว่างสดใสแล้ว บรรลุเป้าหมายแล้ว แต่หลงลืมไปว่าตนเองนั้นก็ยังจมปลักดำมืดอยู่ใต้น้ำดำปี๋ในคลองอยู่ดี แม้ว่าจะไม่มีกรอบสี่เหลี่ยมมาตีกรอบพวกเขาทั้งสองอีกแล้ว (ลงน้ำคลอง ที่ไม่มีกรอบสี่เหลี่ยมมาตีรอบเหมือนน้ำในสระน้ำ) มันรู้สึกอิสระเสรี หลุดพ้นจากพันธนาการ แต่กระนั้นถึงแม้น้ำในคลองจะไม่มีกรอบสังคม ความกดดันมาตีกรอบชีวิตเอาไว้ พวกเขาทั้งสองคนก็จมดิ่งสู่ความสกปรกดำมืดในจิตใจ ที่ไม่อาจเอื้อมถึงแสงสว่างเบื้องบนได้อยู่ดี เพราะถูกตะกอนดำปิดบังตาไว้.
หนังพยายามจะเล่าเรื่องแฝงสัญลักษณ์เอาไว้อย่างแนบเนียน ให้ตีความ และเข้าใจความคิด ความรู้สึก แรงกดดัน แรงปรารถนา กิเลสตัณหาราคะ ความโลภ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวละครออกมาได้อย่างลึกซึ้งจับใจและเสียดสีสังคม
การหักห้ามชั่งใจของตัวละครเหมือนจะมี
ในตอนที่ตั้มพยายามจะลบรอยนั้นออก ราวกับบอกตนเองว่าอย่าทำเลย แต่กลับถูกจิตใจฝ่ายต่ำกระชากลงน้ำที่ดำสกปรก จนทำให้ตัดสินใจผิดพลาด จนนำพาชีวิตตนเองและคนรักไปสู่อาชกรรมร้ายแรง หนังพยายามจะเปรียบเทียบว่าตัวละครห้ามตัณหาราคะของตนไม่อยู่ฉันใด (ฉากเลิฟซีน ต่างๆ ช่วยตัวเอง เพศสัมพันธ์ดูดดื่มรุนแรงที่ถูกตัดออกไปจากฉบับเต็ม) ก็ไม่อาจหักห้ามความโลภ และโทสะได้ฉันนั้น
หนังเรื่องนี้พยายามสะท้อนแง่มุม ให้เราได้ตระหนัก ฉุกคิด และเข้าใจถึงความคิดของมนุษย์ทุกคนที่ต้องมีฝ่ายดีฝ่ายชั่วอยู่ทุกคน ให้เราระวังอำนาจฝ่ายมืดครอบงำเหมือนผีบังตาเอาไว้ดีๆ ก่อนจะเห็นกรงจักรเป็นดอกบัว ตัดสินอะไรผิดพลาดจนไม่อาจถอนตัว หรือลบล้างได้อีก
ทุกคนที่ชม โดยเฉพาะวัยรุ่นควรระวังจิตใจตนเองเอาไว้ไม่ให้เข้าไปแหวกว่ายในความสกปรกโสมมเหล่านั้น จนแปดเปื้อนชีวิต อย่างที่ไม่อาจมีอะไรมาลบล้างออกได้อีกต่อไป
นี่คือตอนสุดท้ายของเพื่อนเฮี้ยนโรงเรียนหลอนที่ดีที่สุด ใน 13 ตอน และสมควรได้รับรางวัล เพราะไม่มีผีอะไรจะน่ากลัวไปกว่า
"ผีบังตาให้เราคิดชั่วทำชั่ว" อีกแล้ว
ญาณนิทัศน์