กระเป๋าหายที่สถานีรถไฟหัวลำโพง

กระทู้สนทนา
หลายปีก่อนในช่วงที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่ ๆ
ผมยังต้องเดินทางไปมาระหว่างหาดใหญ่ - กรุงเทพฯ
เพื่อสมัครงาน/หางานทำเพราะไม่อยากหางานทำที่บ้านเกิด
รวมทั้งงานการที่แถวบ้านก็หายากมากในยุคนั้น
กอปรกับยังลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
เหลืออีกเพียงไม่กี่หน่วยกิตก็จะจบแล้ว
ทั้งยังต้องขึ้นไปสอบที่กรุงเทพ ฯ
ที่เป็นสนามสอบราม ฯ เพียงแห่งเดียวในยุคนั้น
โดยจะไปพักอาศัยกับเพื่อนที่ทำงานแล้วอยู่ที่กรุงเทพ ฯ

ในวันนั้นหลังจากซื้อตั๋วรถไฟที่สถานีรถไฟหัวลำโพงแล้ว
พอขึ้นขบวนรถชั้น 3 (ยังไม่มีรถไฟฟรี)
รถไฟออกเที่ยวบ่าย 2 โมงขบวน ฯ จึงจะออกจากสถานีรถไฟ
พอวางกระเป๋าเสื้อผ้าบนราววางกระเป๋าเสร็จแล้ว
ข้างในกระเป๋านอกจากเสื้อผ้าแล้ว
ยังมีเอกสารทางราชการประเภทต่าง ๆ
เช่น สำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน ใบทหารของตนเอง
กับสำเนาเอกสารเบ็ดเตล็ด ประเภททะเบียนบ้าน
สำเนาใบสูติบัตรที่ถ่ายเอกสารของพี่น้องที่นำติดตัวมาด้วย
จำไม่ได้เหมือนกันว่านำขึ้นไปทำไมในตอนนั้น
หรือจะให้ลงลายมือชื่อกำกับสำเนาถูกต้องหรือไม่
รถไฟต้องรออีกประมาณเกือบชั่วโมงจึงจะได้เวลาออก
เลยมักง่ายเดินลงจากขบวนรถไฟ
กะว่าจะซื้อหนังสือพิมพ์สัก 2-3 ฉบับ
เพราะเห็นมีคนประมาณ 3-4 คนนั่งอยู่ในขบวนรถไฟแล้ว

หลังจากซื้อหนังสือพิมพ์รายวันกับรายสัปดาห์มติชน
ขึ้นมาบนขบวนรถไฟไม่เห็นกระเป๋าเดินทางแล้ว
ใจหายหมดเลยไม่รู้จะทำอย่างไร
คิดได้แต่อย่างเดียวว่าจะต้องรีบไปแจ้งความ
หรือลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ
เพราะอ่านหนังสือพิมพ์มีข่าวว่า
มีขโมยขึ้นบ้านพักหลังหนึ่งในกรุงเทพฯ
แล้วมีบัตรประชาชนเป็นของนักศึกษารามคำแหง
ตกหล่นอยู่ใกล้บริเวณบ้านพักหลังนั้น
ตำรวจเรียกตัวไปสอบสวนและบีบบังคับให้สารภาพ
กว่าจะจับโจรผู้ร้ายตัวจริงได้ในภายหลัง
นักศึกษารายนั้นก็อ่วมอรทัยไปแล้ว

พอดีเจอผู้หญิง 2 คนนั่งอยู่ในขบวนเดียวกัน
สอบถามว่าจะลงที่หาดใหญ่เช่นกัน
เลยเขียนข้อความลงในหนังสือมติชนว่า
กระเป๋าหายจะลงไปในวันรุ่งขึ้น
เพราะต้องไปแจ้งความก่อน
แล้วฝากเธอช่วยไปส่งที่บ้านให้ด้วย
เธอทั้งสองคนก็ใจดีไปส่งให้ที่บ้าน
แต่พอทางบ้านถามเธอทั้งคู่ก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก
ที่ไม่ได้โทรศัพท์ไปบอกตอนนั้น
เพราะเงินทองร่อยหรอมากแล้ว
กับอับอายทางบ้านที่สะเพร่าทำกระเป๋าหาย
กะว่าจะไปบอกด้วยตนเองภายหลัง
รวมทั้งมึนงงทำอะไรไม่ค่อยถูกแบบว่าตกใจ
ต้องขอบคุณ 2 สาวชาวใต้ไว้ ณ ที่นี้ด้วย
จำหน้าค่าตาเธอทั้ง 2 คนไม่ได้เลย
เพราะฉุกละหุกและหลายปีแล้ว
อนึ่ง  ในยุคนั้นโทรศัพท์เป็นอะไรที่แพงมาก
บ้านแต่ละหลังแค่โทรศัพท์บ้านต้องจองล่วงหน้าเป็นปี ๆ
โทรศัพท์มือถือก็ยังไม่มีขายตามท้องตลาด

หลังจากนั้นรีบเดินไปที่สถานีตำรวจหัวลำโพง
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับแจ้งความ/ลงบันทึกประจำวัน
บอกว่าให้ไปซื้ออากรสแตมป์มาปิดคำร้องก่อนตามกฎหมาย
จึงจะรับแจ้งความหรือลงบันทึกประจำวันให้
พอสอบถามว่าซื้อที่โรงพักได้หรือไม่
ได้รับคำตอบว่าไม่มี  ให้ไปหาซื้อที่อื่น
หรือลองไปหาซื้อที่ไปรษณีย์ดูก็แล้วกัน
เลยไปสอบถามที่ไปรษณีย์หัวลำโพง
เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์บอกว่ามีขาย
เพราะมีเรื่องกระเป๋าหายบ่อยมากที่หัวลำโพง
เลยนำมาสำรองไว้ขายให้กับชาวบ้าน

เลยคาดว่าการที่ตำรวจใช้วิธีการ/เกียร์ว่างในยุคนั้น
โดยอ้างเหตุผลตามกฎหมายในช่วงนั้นว่า
ตามกฎหมายคำร้องทางราชการต้องปิดอากรแสตมป์
น่าจะใช้แบบหลักมาเฟีย The Godfather ที่ชอบพูดว่า
การปฏิเสธคนที่ดีที่สุด  คือให้มันปฏิเสธเราเอง
หรือมีเงื่อนไขมาก ๆ จนมันเลิกขอเราไปเอง
รวมทั้งคงไม่อยากให้โรงพักแห่งนี้
ได้รับบันทึกสถิติใน Guiness World Records
ว่าเป็นโรงพักที่มีการรับแจ้งความเรื่องกระเป๋าหาย
กระเป๋าถูกลักขโมยมากที่สุดในประเทศไทย
หริออาจจะมากที่สุดในโลกในยุคนั้น

หลังจากซื้ออากรสแตมป์เสร็จแล้ว
จึงเดินกลับไปโรงพักแจ้งความอีกครั้ง
ก็ได้รับการแจ้งความตามปรกติ
มีการลงบันทึกประจำวันและมอบสำเนาให้
แต่ต้องเขียนคำร้องด้วยลายมือตนเอง
พร้อมกับมีสำเนาที่มีแผ่นคาร์บอนสีน้ำเงินรองข้างล่าง
เพื่อให้ตัวหนังสือเขียนติดในใบคำร้องด้านล่างใช้เป็นสำเนาได้
พอเขียนเสร็จปิดอากรแสตมป์
ยื่นให้ตำรวจตามกฎหมายจะต้องมีการลงนามโดยร้อยเวร
แต่สังเกตเห็นว่าตำรวจที่นี่รับเรื่องแล้วลงนามแทนร้อยเวรเลย

พอเสร็จเรื่องที่โรงพักเดินกลับมาที่สถานีรถไฟ
กำลังลังเลใจว่าจะกลับไปหาเพื่อนที่บ้านก่อน
หรือกลับบ้านเลยในค่ำวันนั้น
แต่แล้วตัดสินใจว่าจะขอคืนตั๋วโดยสารรถไฟก่อน
ระหว่างรอคืนตั่วรถไฟใช้เวลานานมาก
เพราะคิวคนรอซื้อตั๋วล่วงหน้ากับคืนตั๋วยาวมาก
เกินกว่าหนึ่งชั่วโมงที่รถไฟก็ออกไปแล้ว
เลยได้คืนตั๋วราคาลดหลั่นลงไปอีก
ทางคนรับคืนตั๋วอ้างว่ามายื่นหลังจากรถไฟออกไปแล้ว
แต่ไม่ยอมรับว่าคิวยาวมากเลยทำให้ยื่นล่าช้า

เมื่อขึ้นรถเมล์ไปหาเพื่อนที่บ้านพักตำรวจเรือนแถวบ้านไม้เก่าแก่ 2 ชั้น
(เคยนั่งแท็กซี่ผ่านเมื่อ 3-4 ปีก่อนที่ตั้งเดิมเป็นแฟลตแล้ว)
แถววัดโสมนัสวิหาร ปรากฎว่าเพื่อนไม่อยู่ซะอีก
จริง ๆ เป็นบ้านพักตามสิทธิ์ของตำรวจระดับสัญญาบัตร
เป็นบ้านพักลูกพี่ลูกน้องเพื่อน
แต่ตัวแกไป ๆ มา ๆ ไม่เคยเข้ามาพักที่นี่เลย
นาน ๆ ก็แวะมาอาบน้ำหรือเยี่ยมทักทายเพื่อน
เพราะบ้านครอบครัวแกอยู่แถวฝั่งนนทบุรี
แกเลยอนุญาตให้เพื่อนผมอยู่ที่นั้นเลย
เพราะอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ไปไหนมาไหนสะดวก
กับไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้าน  น้ำไฟของหลวงในยุคนั้น

ผมจึงตัดสินใจขึ้นรถเมล์ไปที่สถานีขนส่งสายใต้
ยังทันกลับรถทัวร์กรุงเทพ ฯ หาดใหญ่
ที่ออกจากขนส่งสายใต้ประมาณ 2 ทุ่มเศษ
กว่าจะกลับถึงบ้านที่หาดใหญได้
ก็ใช้เวลาเกือบ 14 ชั่วโมง
พอถึงบ้านจึงบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด
โดนดุพอสมควรเรื่องที่ทำกระเป๋าหาย

ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นลงแวะที่นครศรีธรรมราชหรือเปล่า
หรือเดินทางไปนคร ฯ หลังจากกลับบ้านไม่นานนัก
แต่จำได้ว่าเจอพระพุทธรูปรูปหนึ่งทำด้วยหินอ่อนสีขาว
มีป้ายเขียนว่า พระขาวที่วัดแห่งหนึ่งจำชื่อวัดไม่ได้
ได้บนว่าขอให้ได้สำเนาเอกสารคืนเถอะ
เพราะกังวลเอกสารราชการตัวจริงที่หายส่วนหนึ่ง
กับสำเนาเอกสารที่หายไปบางส่วน
แล้วจึงขึ้นรถเมล์กลับหาดใหญ่อีกทอดหนึ่งหรือไม่
แต่จำได้แม่นว่ามีการบนพระองค์นี้ไว้
ทุกวันนี้เวลาไปนครศรีธรรมราช
ยังหาพระพุทธรูปองค์นี้กับวัดไม่เจอเลย
แต่ได้ตัดเหมรย(แก้บน)เรียบร้อยแล้ว
กับมโนราห์ที่วัดเจ้าแม่อยู่หัว(วัดท่าคุระ)
อำเภอสทิงพระ(จะทิ้งพระ) จังหวัดสงขลา
หลังจากนั้นอีกหลายปีต่อมา

ถัดมาอีก 2 สัปดาห์เศษ
มีผู้หญิงคนหนึ่งส่งจดหมายมาที่บ้าน
ระบุชื่อพี่ชายพร้อมเอกสารภายใน
มีสำเนาเอกสารพี่น้องบางส่วนคืนมาให้
พร้อมแนบจดหมายน้อยบอกว่า
มีคนนำมาลืมทิ้งไว้ที่ร้านทำผมแถวสามย่าน
แต่ใบทหารกับบัตรประชาชนที่มีชื่อของผมหายไปแล้ว
และผมได้ไปแจ้งส่วนราชการออกใหม่ทั้ง 2 ใบ
แต่ต้องใช้เวลารอนานเหมือนกัน
บัตรประชาชนในยุคนั้นจะออกบัตรเหลืองให้ก่อน
กว่าจะได้บัตรขาวก็รอกันเป็นเดือน

พี่สาวเลยบอกให้ผมมีจดหมายตอบกลับไปว่า
ขอบคุณที่ส่งเอกสารคืนให้
และบอกเล่าเรื่องราวกระเป๋าหาย
ที่สถานีรถไฟหัวลำโพงรวมทั้งเอกสารบางส่วน
ที่ได้ไปแจ้งความเพื่อออกให้ใหม่แล้ว

ต่อมาผมโทรศัพท์ติดต่อกับน้องสาว
ที่พักอยู่หอพักเอาซิลิอุมศาลาแดงได้
บอกช่วยไปขอบคุณพี่สาวที่ร้านนี้หน่อย
หรือให้ช่วยซื้อตุ๊กตาจำชื่อไม่ได้ว่าชื่ออะไร
แต่ในตอนนั้นฮิตกันมากที่กรุงเทพฯ
ราคาไม่แพงมากนักให้ช่วยไป
มอบให้พี่สาวคนที่ส่งเอกสารมาให้
เพราะอยู่ใกล้ ๆ กับที่เรียนของน้องสาว
ชื่อที่อยู่ของพี่สาวคนใจดีคนนั้น
สูญหายไปแล้วกับน้ำท่วมหาดใหญ่
ในช่วงเดือนพฤศจิกายนในปีนั้น
เลยไม่ทราบชื่อนามสกุลและที่อยู่อีกเลย
ถามน้องสาวบอกจำร้านได้ไหม
ก็บอกร้านเปลี่ยนกิจการไปแล้วไม่รู้ว่าย้ายไปไหน
ก็ขอขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้เช่นกัน

ที่เขียนเรื่องจากความทรงจำนี้
พอดีไปตอบกระทู้เรื่องระมัดระวัง
การช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
ความทรงจำเรื่องนี้เลยผุดขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากลืมเลือนไปนานเหมือนกันแล้วเรื่องนี้
ขอลอกมาพร้อมกับเขียนเพิ่มเติมบางส่วน




ที่ผ่านมาผมให้การช่วยเหลือคนมาขอเงิน
โดยดูเป็นรายคนกับใช้ความรู้สึก
เคยเจอเด็กผู้หญิงมาหาญาติที่หาดใหญ่ไม่เจอ
ท่าทางตื่นตระหนกและหวาดกลัวการอยู่ในเมืองใหญ่
พอดีผมแต่งชุดทำงานเรียบร้อยหน้าตาแบบเสี่ยว
เธอจึงเดินเข้ามาขอค่ารถยนต์กลับบ้านที่พัทลุง
ผมให้ไป 100 บาทเผื่อค่ารถกับค่าอาหาร
สมัยนั้นยังไม่มีรถไฟฟรีเหมือนยุคนี้

อดีตสมัยเป็นวัยรุ่น  ผมเคยโบกรถยนต์ชาวบ้านมาก่อน
ในตอนเดินทางท่องเที่ยวตามต่างจังหวัด
และเคยทำเงินหล่นหายที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ล้วงกระเป๋าเหลือค่ารถเมล์ไม่พอจ่ายค่าข้าวที่สั่งซื้อ
ร้านค้าเลยให้กินฟรี  วันหลังผมเดินไปจ่ายเงินคืนแกไม่ยอมรับเงินคืน
เลยต้องขอบคุณแกและขอบคุณในน้ำใจคนใจดีที่ผ่านมา

มีครั้งหนึ่งมีผู้ชายคนหนึ่งมาขายเขาวัวแกะสลักราคาเพียง 500 บาท
ท่าทางร้อนรนมากบอกน้ำท่วมที่บ้านและเถ้าแก่ที่เคยสั่งซื้อประจำไม่อยู่
แกโชว์บัตรประชาชนให้เลยว่าอยู่แถวอีสาน/จังหวัด...
ที่มีข่าวทางทีวีกับหนังสือพิมพ์เรื่องน้ำท่วมหนัก
เพราะแกเห็นผมเดินออกมาจากบ้านพอดี
ผมพูดคุยด้วยเล็กน้อยเลยให้เงินแกไป 800 บาท
เป็นการช่วยซื้อสินค้าที่แกมาขาย
ราคาตามท้องตลาดประมาณพันเศษล่าง
พอดีผมไม่ชอบสะสมของประเภทนี้ด้วย

ที่เคยถูกต้มก็มี
มีผู้ชายหน้าตาบอกว่าเป็นแขก
บอกว่ามาจากมาเลย์จะกลับบ้านทางสุไหงโก-ลค
พูดภาษาอังกฤษตลอดเวลา  
เห็นใจเลยให้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ไปส่งคิวรถตู้
พอจ่ายค่าตั๋วรถตู้ไปโกลคให้แล้ว  
เลยแวะไปหาเพื่อนแถวนั้น
กลับมาอีกทีเห็นหายไปแล้วรถตู้ก็ยังไม่ออก
ถามคนขับรถตู้บอกมันขอคืนตั๋วแล้วหายหัวไปไหนไม่รู้แล้ว

อีกรายผู้ชายพยายามขายกล้องถ่ายรูปใช้ฟิล์ม(ตกรุ่นไม่มีราคาแล้ว)
บอกเป็นคนไทยอยู่ที่เกาะลังกาวี  มาเลเซีย
ตกรถไม่มีค่ารถกลับบ้านพร้อมกับให้เบอร์มือถือไว้ติดต่อขายคืนวันหลังได้
ถ้ามีโอกาสเดินทางไปเกาะลังกาวีในวันหลัง
เพราะแกพักอยู่กับพี่สาวเปิดร้านขายของที่นั้น
ท่าทางแกเดินเกี่ยวร่มไว้ที่กระเป๋ากางเกง  
ในครั้งนั้นเห็นใจแกว่าคนไทยตกรถเลยช่วยซื้อ
ต่อมาเห็นแกเป็นประจำในหาดใหญ่เลยไม่ช่วยซื้ออีก
และไม่อยากเดินไปถามเรื่องเก่าแต่อย่างใด

อีกรายผู้ชายหน้าตาแบบแขก
ท่าทางรีบร้อนมากพร้อมแสดงเอกสารให้ดู
ขอเงินค่ารถกลับปัตตานีเพียง 20 บาท
พอดีไม่ได้ใส่แว่นตาเลยอ่านไม่ชัด
ว่าหนังสือที่แกยื่นให้เขียนว่าอะไร
เห็นชัดแต่ตราครุฑเด่นเป็นสง่า
เลยหยิบเงินให้แกไปตามที่ขอ 20 บาท
เดินกลับเข้าบ้านทำธุระแล้วหยิบแว่นตาออกมา

สักพักเห็นแกเดินกลับมาแถวหน้าบ้านอีก
แกเดินมาบอกว่า ขอบคุณผมอีกครั้ง
แกบอกว่าแกเดินขอเงินคนแถวนี้
ได้เงินพอค่ารถกลับบ้านแล้ว
เลยบอกไหนขอดูเอกสารฉบับเมื่อกี้หน่อย
ไม่ได้พกแว่นตาเลยอ่านได้ไม่ชัด
แกก็หยิบขึ้นมาให้ดูอีกครั้ง
พออ่านโดยละเอียดจึงรู้ว่าเพิ่งถูกปรับและรอลงอาญา
คดีขนและค้าใบกระท่อม 20 กิโลกรัม  เซ็งเป็ดมากรายนี้
แต่ก็น่าชื่นชมแกอย่างที่ขอรายละเล็กรายละน้อยคนละ 20 บาท
พอได้เงินค่ารถกลับบ้านก็พอแล้ว
และเมื่อเจอผมอีกก็มาขอบคุณ
แล้วก็ไม่เจอแกอีกเลยในหาดใหญ่
หรือถ้าเจอก็คงจำไม่ได้แล้วเช่นกัน

เขียนขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ
ก่อนที่จะเลือนหายไปเหมือนกับกระเป๋าเดินทางใบนั้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่