เป็นอะไรที่วิเศษนะ ได้เขียนถึงหนังเกี่ยวกับประวัติชีวิตของนักวิจารณ์หนัง Roger Ebert (แม้เราจะเล็กจ้อยแค่ฝุ่นใต้ตีนเขา) เก๋ไก๋พอๆ กับการถ่ายทอดชีวิตคนดูหนังออกมาเป็นหนังให้คนอื่นดู เปลี่ยนตำแหน่งและบทบาทจากมุมมืดมาอยู่บนจอใหญ่ จากเคยจับจ้องเป็นถูกจับจ้อง โดยเฉพาะเมื่อผู้วิจารณ์จะถูกวิจารณ์
สารคดีท้าวความถึงวัยเยาว์ของ Roger Ebert เปลือยให้เห็นวัตถุดิบทางครอบครัวและสังคม ที่ผสมปรุงแต่งให้เขาเป็นเขาอย่างที่เรารู้จัก กรรมวิธีเดียวกับการเริ่มต้นสร้างมิติตัวละครในหนังทั่วๆ ไป
ความฝันของเขาชัดเจนตั้งแต่เด็ก คือต้องการมีชื่อเสียงจากการเขียนหนังสือ (มีตราประทับชื่อตัวเองด้วย) หลงใหลการถ่ายทอดความคิดความเห็น ความฝันใหญ่ๆ บางชิ้นถูกตัดหั่นด้วยข้อจำกัดของครอบครัว การที่พ่อเขาให้เหตุผลสั้นๆ ตรงๆ ถึงฐานะการเงินซึ่งไม่สามารถสนับสนุนให้เขาเรียน Harvard ได้ อาจจัดเป็นการวิจารณ์สไตล์ Roger Ebert ได้เหมือนกัน คือมันตรงไปตรงมา ชัดเจน และจริงจัง
ด้วยหัวใจนักสู้ (ที่ดุดันอย่างกะวัวกระทิง) ความฝันของ Roger Ebert ปกป้องตัวเองกระทั่งมันงอกงามสำเร็จในทิศทางที่เป็นไปได้ เขาช่วงชิงพื้นที่ในหนังสือมาใช้บรรจุความคิดความเห็นส่งถึงคนอ่านได้สำเร็จ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเขียนวิจารณ์หนังของเขา
ในระหว่างที่สารคดีมีอ้างอิงหนังเก่าๆ หลายเรื่อง พร้อมคำวิจารณ์สั้นๆ เพื่อประเมินคุณค่าของมันประกอบไว้ ช่วงชีวิตโดยเฉพาะวัยทำงานของ Roger Ebert ก็ถูกรวบรวมความคิดความเห็นรวมถึงข้อวิจารณ์ จากบรรดาเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน คนรู้จัก ประกอบเป็นตัวตนของเขาให้ได้สัมผัส ไม่เพียงแค่พฤติกรรม แต่รวมถึงวิธีคิดและอุดมการณ์
ประทับใจส่วนที่สารคดีแสดงให้เห็นพลังของการวิจารณ์หนัง ที่เป็นเหมือนลมวิเศษส่งคนทำหนังโนเนมให้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแห่งวิชาชีพ กรณีของ Martin Scorsese ถูกใช้เป็น case study ได้อย่างเห็นภาพ
หนังยังลงลึกไปต่อ เมื่อเด็กปั้นเราผลิตผลงานที่น่าผิดหวัง คำวิจารณ์ที่ตรงไปตรงมาของ Roger Ebert ก็มีอนุภาพเพียงพอที่จะปลดและทวงคืนตำแหน่งนั้นได้ในฉับพลัน
ไม่ใช่ด้วยรักด้วยเกลียดในตัวบุคคล หากแต่เป็นการเตือนสติให้ตระหนักอยู่ในทุกฝีก้าว ว่าคนเราจะอยู่หรือไปก็ด้วยผลลัพธ์ของผลงาน
การวิจารณ์ของ Roger Ebert ยังเป็นกระบอกเสียงสำคัญของเสรีภาพใหม่ เปิดโอกาส และให้กำลังใจแก่ความหลากหลายได้เติบโตเบ่งบาน กรณีของมาร์ตี้อาจไม่สื่อถึงยุคอนาคตมากเท่ากับกรณีของ 2 ผู้กำกับไฟแรง ที่โชติช่วงงดงามขึ้นได้เพราะแรงลมจากการวิจารณ์ของ Roger Ebert (เพิ่งทราบหลังจากดูจบว่าคนนึงเป็นผู้กำกับเรื่อง Selma ซึ่งมีชื่อเข้าชิงออสการ์หนังยอดเยี่ยมปีนี้ด้วย)
หนังมองเห็นอย่างชัดเจนถึงอุดมการณ์ลิเบอรัลของ Roger Ebert โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับพิธีกรร่วมรายการ Gene Siskel ที่ออกจะอนุรักษ์เนี๊ยบนิ้ง การถกเถียงที่ออกรสรุนแรงกลายมาเป็นสีสันและวัฒนธรรมในการวิพากษ์วิจารณ์ (ใครจะนึกถึงการถกเถียงในรัฐสภาก็ไม่แปลก เพราะมันก็มีนัยให้คิดเห็นเช่นนั้น)
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือการเลือกหนังมาพูดในรายการ มันไม่ใช่เพื่อเสริมส่งบารมีให้ภาพยนตร์ขึ้นหิ้งอย่างศิลปะชั้นสูง หากแต่คือการหยิบยื่นเผื่อแผ่ให้มหาชนคนธรรมดาได้มีโอกาสย่อยสารหรือสัมผัสรสชาติของหนังได้ด้วย (ประมาณเครื่องบิน low cost 55) และนี่คือวิถีที่น่ายกย่องในการพยายามสร้างวิธีเข้าถึงศิลปะของอเมริกา (และอาจถูกพ่วงมาด้วยข้อหาว่าหนังป๊อบๆ นั้นไร้รสนิยม)
ในรายการของ Roger Ebert และ Gene Siskel ไร้สาระที่จะถามหาคนผิดคนถูก เมื่อพวกเขาฟาดฟันฝีปากกันแบบเอาเป็นเอาตาย เราในฐานะคนดูก็มีโอกาสได้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องมุมมองตัวเอง แม้จะปนไปด้วยอีโก้ระดับวิกฤติ แต่ด้วยกระบวนการยิงมุมมองสุดโต่งใส่กันแบบนี้ คนดูก็จะได้ขยับขยายมุมมองหรือทัศนคติให้กว้างขวางยิ่งขึ้น และไม่มากก็น้อย มุมมองจากฝั่งตรงข้ามของพิธีกรทั้ง 2 ก็ได้ถูกแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันอยู่ในที
ไม่แน่ใจว่าการเห็นครอบครัวแสนสุขของ Gene จะมีผลต่อการแต่งงานของ Roger Ebert หรือไม่ (และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการยอมรับกันโต้งๆ ว่าใครมีอิทธิพลต่อใคร) อย่างไรก็ตาม ความรักขัดเกลาให้ Roger Ebert นุ่มนวลขึ้น มีประสบการณ์ในการได้แบ่งปัน และคงจะมองโลกที่เคร่งเครียดนี้ด้วยสายตาที่ผ่อนคลายลง (โดยเฉพาะจากภาพน่ารักๆ ใน home video)
Roger Ebert ประกาศถึงอาการป่วยไข้ของเขาด้วยไม่ต้องการจบชีวิตในวิธีคิดเดียวกันกับ Gene (ไม่ต้องการให้ครอบครัวเจ็บปวดและนั่งนับเวลาถอยหลังแทนที่จะเสพสุขจากชีวิตตามปกติ) ในองค์สุดท้ายของหนังซึ่งก็เป็นองค์สุดท้ายในชีวิตของ Roger Ebert ด้วย ช่างทรงพลังในระดับที่น้ำตาผมไหลออกมาตลอดเวลาจนถึงเครดิตจบเรื่อง
Roger Ebert แน่วแน่ที่จะเปิดเผยและสื่อให้โลกนี้แข็งแกร่งขึ้นจากการเรียนรู้และอยู่กับความจริง ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์
กล้องถ่ายทำสารคดีจับจ้องที่ใบหน้าพิกลพิการของเค้าแบบไม่เกรงใจ (คือ beyond ไปแล้วจากคำว่า "มารยาท") ไม่ใกล้เคียงเลยซักนิดกับคำว่าน่าสงสารหรือสมเพช หากแต่สิ่งที่เราเห็นกลับเป็นพลังชีวิตอันดุดันในดวงตาของ Roger Ebert ที่สู้กล้องมองตรงมาที่หัวใจเรา ไฟชีวิตที่โชติช่วงและสว่างไสวยิ่งกว่าที่เราจะเห็นได้จากการมองตัวเองในกระจก
อะไรทำให้เขาแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนั้น คำตอบที่มีให้ตัวเองคงเพราะความเป็นมหาเศรษฐีแห่งมุมมองของ Roger Ebert การได้เรียนรู้แบบจำลองชีวิตโดยเฉพาะจากภาพยนตร์ที่หลากหลาย ผ่านเลนส์กล้องนับหมื่นๆ ตัวทั่วโลก ไม่มากก็น้อย มันเสริมความแข็งแกร่งให้กับทัศนคติ ประสบการณ์ทางอารมณ์ที่ถูกฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ ช่วยให้เขามีคำตอบเสมอ ว่าในหนังยอดเยี่ยมซักเรื่อง การคลี่คลายแบบไหนจึงจะคู่ควรกับคำชม Two Thumbs Up!
สารคดีตัดส่วนหนึ่งของหนัง The Tree of Life (หนังโปรดผมด้วย) พร้อมคำวิจารณ์สั้นๆ ของ Roger Ebert ใครจะอินกับหนังได้เท่ากับคนที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าสู่ความตาย ไม่ใช่เพราะรักชีวิตจึงเหนี่ยวรั้งชีวิต แต่เพราะรักชีวิตเหลือเกิน Roger Ebert จึงตัดสินใจปล่อยมือจากมัน ตื่นเต้นที่จะได้ชมมหรสพในอีกรูปแบบซึ่งแปลกตาท้าทายยิ่งกว่า นั่นคือ "ความตาย"
มรดกที่เขาเร่งสร้างเมื่อรู้ว่าเวลาฉายของชีวิตกำลังจะจบ คือผลงานวิจารณ์ที่ถูกจัดระบบฐานข้อมูลไว้อย่างดี พร้อมเปิดกว้างให้เราเข้าถึงได้จากทุกมุมทั่วโลก
ทุกคำที่เขาเขียนมีค่า มันโน้มนำให้เราเรียนรู้ที่จะสะท้อนความคิดเห็นต่อสิ่งต่างๆ (ไม่เฉพาะแค่หนัง) อย่างกล้าหาญและตรงไปตรงมา และนี่คือสิ่งที่สังคมไทยเรากำลังขาดแคลนมันอย่างหนัก
ในเปลือกนอกของอัตตาที่อาจดูน่ารังเกียจ วาระสุดท้ายในชีวิตของ Roger Ebert ยืนยันว่าอัตตานั้นถูกใช้อย่างดุดันเพื่อที่จะเปลี่ยนโลก การวิจารณ์หนังซักเรื่องอย่างสร้างสรรค์มันกินความไปถึงการส่งเสริมหรือทำลายแนวคิดอะไรบางอย่างที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้น
น่าเชื่อว่าโลกกลมๆ ใบนี้จะดีขึ้นได้ถ้าเราได้ช่วยกันมองและประคับประคองมันจากหลายๆ มุม
Life Itself : A+
เป็นอะไรที่วิเศษนะ ได้เขียนถึงหนังเกี่ยวกับประวัติชีวิตของนักวิจารณ์หนัง Roger Ebert (แม้เราจะเล็กจ้อยแค่ฝุ่นใต้ตีนเขา) เก๋ไก๋พอๆ กับการถ่ายทอดชีวิตคนดูหนังออกมาเป็นหนังให้คนอื่นดู เปลี่ยนตำแหน่งและบทบาทจากมุมมืดมาอยู่บนจอใหญ่ จากเคยจับจ้องเป็นถูกจับจ้อง โดยเฉพาะเมื่อผู้วิจารณ์จะถูกวิจารณ์
สารคดีท้าวความถึงวัยเยาว์ของ Roger Ebert เปลือยให้เห็นวัตถุดิบทางครอบครัวและสังคม ที่ผสมปรุงแต่งให้เขาเป็นเขาอย่างที่เรารู้จัก กรรมวิธีเดียวกับการเริ่มต้นสร้างมิติตัวละครในหนังทั่วๆ ไป
ความฝันของเขาชัดเจนตั้งแต่เด็ก คือต้องการมีชื่อเสียงจากการเขียนหนังสือ (มีตราประทับชื่อตัวเองด้วย) หลงใหลการถ่ายทอดความคิดความเห็น ความฝันใหญ่ๆ บางชิ้นถูกตัดหั่นด้วยข้อจำกัดของครอบครัว การที่พ่อเขาให้เหตุผลสั้นๆ ตรงๆ ถึงฐานะการเงินซึ่งไม่สามารถสนับสนุนให้เขาเรียน Harvard ได้ อาจจัดเป็นการวิจารณ์สไตล์ Roger Ebert ได้เหมือนกัน คือมันตรงไปตรงมา ชัดเจน และจริงจัง
ด้วยหัวใจนักสู้ (ที่ดุดันอย่างกะวัวกระทิง) ความฝันของ Roger Ebert ปกป้องตัวเองกระทั่งมันงอกงามสำเร็จในทิศทางที่เป็นไปได้ เขาช่วงชิงพื้นที่ในหนังสือมาใช้บรรจุความคิดความเห็นส่งถึงคนอ่านได้สำเร็จ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเขียนวิจารณ์หนังของเขา
ในระหว่างที่สารคดีมีอ้างอิงหนังเก่าๆ หลายเรื่อง พร้อมคำวิจารณ์สั้นๆ เพื่อประเมินคุณค่าของมันประกอบไว้ ช่วงชีวิตโดยเฉพาะวัยทำงานของ Roger Ebert ก็ถูกรวบรวมความคิดความเห็นรวมถึงข้อวิจารณ์ จากบรรดาเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน คนรู้จัก ประกอบเป็นตัวตนของเขาให้ได้สัมผัส ไม่เพียงแค่พฤติกรรม แต่รวมถึงวิธีคิดและอุดมการณ์
ประทับใจส่วนที่สารคดีแสดงให้เห็นพลังของการวิจารณ์หนัง ที่เป็นเหมือนลมวิเศษส่งคนทำหนังโนเนมให้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแห่งวิชาชีพ กรณีของ Martin Scorsese ถูกใช้เป็น case study ได้อย่างเห็นภาพ
หนังยังลงลึกไปต่อ เมื่อเด็กปั้นเราผลิตผลงานที่น่าผิดหวัง คำวิจารณ์ที่ตรงไปตรงมาของ Roger Ebert ก็มีอนุภาพเพียงพอที่จะปลดและทวงคืนตำแหน่งนั้นได้ในฉับพลัน
ไม่ใช่ด้วยรักด้วยเกลียดในตัวบุคคล หากแต่เป็นการเตือนสติให้ตระหนักอยู่ในทุกฝีก้าว ว่าคนเราจะอยู่หรือไปก็ด้วยผลลัพธ์ของผลงาน
การวิจารณ์ของ Roger Ebert ยังเป็นกระบอกเสียงสำคัญของเสรีภาพใหม่ เปิดโอกาส และให้กำลังใจแก่ความหลากหลายได้เติบโตเบ่งบาน กรณีของมาร์ตี้อาจไม่สื่อถึงยุคอนาคตมากเท่ากับกรณีของ 2 ผู้กำกับไฟแรง ที่โชติช่วงงดงามขึ้นได้เพราะแรงลมจากการวิจารณ์ของ Roger Ebert (เพิ่งทราบหลังจากดูจบว่าคนนึงเป็นผู้กำกับเรื่อง Selma ซึ่งมีชื่อเข้าชิงออสการ์หนังยอดเยี่ยมปีนี้ด้วย)
หนังมองเห็นอย่างชัดเจนถึงอุดมการณ์ลิเบอรัลของ Roger Ebert โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับพิธีกรร่วมรายการ Gene Siskel ที่ออกจะอนุรักษ์เนี๊ยบนิ้ง การถกเถียงที่ออกรสรุนแรงกลายมาเป็นสีสันและวัฒนธรรมในการวิพากษ์วิจารณ์ (ใครจะนึกถึงการถกเถียงในรัฐสภาก็ไม่แปลก เพราะมันก็มีนัยให้คิดเห็นเช่นนั้น)
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือการเลือกหนังมาพูดในรายการ มันไม่ใช่เพื่อเสริมส่งบารมีให้ภาพยนตร์ขึ้นหิ้งอย่างศิลปะชั้นสูง หากแต่คือการหยิบยื่นเผื่อแผ่ให้มหาชนคนธรรมดาได้มีโอกาสย่อยสารหรือสัมผัสรสชาติของหนังได้ด้วย (ประมาณเครื่องบิน low cost 55) และนี่คือวิถีที่น่ายกย่องในการพยายามสร้างวิธีเข้าถึงศิลปะของอเมริกา (และอาจถูกพ่วงมาด้วยข้อหาว่าหนังป๊อบๆ นั้นไร้รสนิยม)
ในรายการของ Roger Ebert และ Gene Siskel ไร้สาระที่จะถามหาคนผิดคนถูก เมื่อพวกเขาฟาดฟันฝีปากกันแบบเอาเป็นเอาตาย เราในฐานะคนดูก็มีโอกาสได้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องมุมมองตัวเอง แม้จะปนไปด้วยอีโก้ระดับวิกฤติ แต่ด้วยกระบวนการยิงมุมมองสุดโต่งใส่กันแบบนี้ คนดูก็จะได้ขยับขยายมุมมองหรือทัศนคติให้กว้างขวางยิ่งขึ้น และไม่มากก็น้อย มุมมองจากฝั่งตรงข้ามของพิธีกรทั้ง 2 ก็ได้ถูกแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันอยู่ในที
ไม่แน่ใจว่าการเห็นครอบครัวแสนสุขของ Gene จะมีผลต่อการแต่งงานของ Roger Ebert หรือไม่ (และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการยอมรับกันโต้งๆ ว่าใครมีอิทธิพลต่อใคร) อย่างไรก็ตาม ความรักขัดเกลาให้ Roger Ebert นุ่มนวลขึ้น มีประสบการณ์ในการได้แบ่งปัน และคงจะมองโลกที่เคร่งเครียดนี้ด้วยสายตาที่ผ่อนคลายลง (โดยเฉพาะจากภาพน่ารักๆ ใน home video)
Roger Ebert ประกาศถึงอาการป่วยไข้ของเขาด้วยไม่ต้องการจบชีวิตในวิธีคิดเดียวกันกับ Gene (ไม่ต้องการให้ครอบครัวเจ็บปวดและนั่งนับเวลาถอยหลังแทนที่จะเสพสุขจากชีวิตตามปกติ) ในองค์สุดท้ายของหนังซึ่งก็เป็นองค์สุดท้ายในชีวิตของ Roger Ebert ด้วย ช่างทรงพลังในระดับที่น้ำตาผมไหลออกมาตลอดเวลาจนถึงเครดิตจบเรื่อง
Roger Ebert แน่วแน่ที่จะเปิดเผยและสื่อให้โลกนี้แข็งแกร่งขึ้นจากการเรียนรู้และอยู่กับความจริง ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์
กล้องถ่ายทำสารคดีจับจ้องที่ใบหน้าพิกลพิการของเค้าแบบไม่เกรงใจ (คือ beyond ไปแล้วจากคำว่า "มารยาท") ไม่ใกล้เคียงเลยซักนิดกับคำว่าน่าสงสารหรือสมเพช หากแต่สิ่งที่เราเห็นกลับเป็นพลังชีวิตอันดุดันในดวงตาของ Roger Ebert ที่สู้กล้องมองตรงมาที่หัวใจเรา ไฟชีวิตที่โชติช่วงและสว่างไสวยิ่งกว่าที่เราจะเห็นได้จากการมองตัวเองในกระจก
อะไรทำให้เขาแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนั้น คำตอบที่มีให้ตัวเองคงเพราะความเป็นมหาเศรษฐีแห่งมุมมองของ Roger Ebert การได้เรียนรู้แบบจำลองชีวิตโดยเฉพาะจากภาพยนตร์ที่หลากหลาย ผ่านเลนส์กล้องนับหมื่นๆ ตัวทั่วโลก ไม่มากก็น้อย มันเสริมความแข็งแกร่งให้กับทัศนคติ ประสบการณ์ทางอารมณ์ที่ถูกฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ ช่วยให้เขามีคำตอบเสมอ ว่าในหนังยอดเยี่ยมซักเรื่อง การคลี่คลายแบบไหนจึงจะคู่ควรกับคำชม Two Thumbs Up!
สารคดีตัดส่วนหนึ่งของหนัง The Tree of Life (หนังโปรดผมด้วย) พร้อมคำวิจารณ์สั้นๆ ของ Roger Ebert ใครจะอินกับหนังได้เท่ากับคนที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าสู่ความตาย ไม่ใช่เพราะรักชีวิตจึงเหนี่ยวรั้งชีวิต แต่เพราะรักชีวิตเหลือเกิน Roger Ebert จึงตัดสินใจปล่อยมือจากมัน ตื่นเต้นที่จะได้ชมมหรสพในอีกรูปแบบซึ่งแปลกตาท้าทายยิ่งกว่า นั่นคือ "ความตาย"
มรดกที่เขาเร่งสร้างเมื่อรู้ว่าเวลาฉายของชีวิตกำลังจะจบ คือผลงานวิจารณ์ที่ถูกจัดระบบฐานข้อมูลไว้อย่างดี พร้อมเปิดกว้างให้เราเข้าถึงได้จากทุกมุมทั่วโลก
ทุกคำที่เขาเขียนมีค่า มันโน้มนำให้เราเรียนรู้ที่จะสะท้อนความคิดเห็นต่อสิ่งต่างๆ (ไม่เฉพาะแค่หนัง) อย่างกล้าหาญและตรงไปตรงมา และนี่คือสิ่งที่สังคมไทยเรากำลังขาดแคลนมันอย่างหนัก
ในเปลือกนอกของอัตตาที่อาจดูน่ารังเกียจ วาระสุดท้ายในชีวิตของ Roger Ebert ยืนยันว่าอัตตานั้นถูกใช้อย่างดุดันเพื่อที่จะเปลี่ยนโลก การวิจารณ์หนังซักเรื่องอย่างสร้างสรรค์มันกินความไปถึงการส่งเสริมหรือทำลายแนวคิดอะไรบางอย่างที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้น
น่าเชื่อว่าโลกกลมๆ ใบนี้จะดีขึ้นได้ถ้าเราได้ช่วยกันมองและประคับประคองมันจากหลายๆ มุม