จากมติชนออนไลน์
ในปี พ.ศ. 2542 คณะรัฐมนตรีหรือ ครม.มีมติให้ทุกมหาวิทยาลัยเตรียมออกนอกระบบ และยกเลิกการบรรจุข้าราชการโดยว่าจ้างอาจารย์มหาวิทยาลัยด้วยระบบสัญญาจ้างแทน เรียกว่าพนักงานมหาวิทยาลัย และให้มหาวิทยลัยจัดสิทธิประโยชน์ให้ไม่ต่ำกว่าระบบราชการเดิม และมีเงินเดือนสูงขึ้น 1.7 เท่าของฐานเงินเดือนราชการปัจจุบัน
แม้มติครม. ดังกล่าวระบุรายละเอียดที่น่าพอใจแต่ในทางปฏิบัติ มีเสียงสะท้อนว่าหลายมหาวิทยาลัยยังไม่ได้ปฏิบัติตาม เพราะมีช่องว่างในงบประมาณที่รัฐโอนมาให้แต่ละมหาวิทยาลัยเป็นงบประมาณหมวดอุดหนุน ให้อำนาจในการจัดสรรกันเอง และมีอิสระในการบริหารงานบุคคลส่งผลกระทบต่อพนักงานมหาวิทยาลัยในหลายด้าน ทั้งเงินเดือนที่ไม่ได้รับในอัตราที่สัญญาไว้จริง และสิทธิรักษาพยาบาลที่ด้อยกว่า พนักงานรัฐวิสาหกิจ และรับราชการเดิม
รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ เลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา เล่าว่า หลังจากมีมติจาก ครม. ในปี 2542 ที่ให้อำนาจสภาแต่ละมหาวิทยาลัยมีอิสระในการบริหารงานบุคคล ทำให้ให้กลุ่มอาจารย์ที่เข้ามาด้วยระบบพนักงานมหาวิทยาลัยไม่กล้าเรียกร้องหรือวิจารณ์ในแง่การทำงานของข้าราชการระดับสูงได้เพราะอาจไม่ได้รับการต่อสัญญาเนื่องจากพนักงานมหาวิทยาลัยถูกพ.ร.บ. ทุกมหาวิทยาลัยระบุว่าไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายแรงงาน หากมีปัญหาการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจะต่อสู้เรียกร้องลำบาก และปัจจุบัน บุคลากรในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมีทั้งหมดกว่า 130,000 คน เหลือข้าราชการในระบบกว่า 20,000 คน ซึ่งรศ.ดร.วีรชัย มองว่าพนักงานมหาวิทยาลัยกลายเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดในระบบอุดมศึกษาไทย
จากระบบดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มพนักงานมหาวิทยาลัยสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองได้ยากเช่นไม่สามารถย้ายหน่วยงานทำงานได้ การทำธุรกรรมทางการเงินก็ลำบาก การยื่นกู้เพื่อเข้าหาแหล่งเงินในการสร้างบ้านหรือลงทุน การอนุมัติเงินกู้จากแหล่งเงินทุนเป็นไปค่อนข้างยาก เพราะสถานภาพการทำงานไม่มั่นคง เนื่องจากเป็นเพียงแค่สัญญาจ้าง และไม่ใช่ระยะยาว นอกจากไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฏหมายแรงงานแล้ว ยังไม่ได้รับการคุ้มครองจากที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา หรือ กพอ. ของกระทรวงศึกษาธิการ เพราะไม่ใช่ข้าราชการ ทำให้มีความเสี่ยงสูง หากเกิดความไม่เป็นธรรมในการว่าจ้าง เป็นต้น
นอกจากนี้พนักงานมหาลัยยังไม่ได้สิทธิ์รักษาพยาบาลแบบข้าราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ ต้องหันไปใช้ประกันสังคมของกระทรวงแรงงาน ซึ่งเข้าสถานรักษาพยาบาลในท้องถิ่นได้เพียง 1 แห่งในพื้นที่ และบางครั้งยังได้รับยาที่มีคุณภาพต่ำมาแทน ทำให้อาจารย์หลายกลุ่มทยอยลาออกไปสมัครสอบเป็นข้าราชการในกรม-กองอื่น หรือลาออกไปอยู่ในภาคเอกชนแทน
โดย ดร.วีรชัย เชื่อว่า หากพนักงานมหาวิทยาลัยได้รับสวัสดิการรักษาพยาบาลเทียบเท่าหรือไม่น้อยกว่ารัฐวิสาหกิจหรือระบบข้าราชการเดิมจะช่วยให้กลุ่มพนักงานมหาวิทยาลัยมีขวัญกำลังใจในการทำงานที่ดีขึ้นคนดีคนเก่งจะทยอยเข้ามาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมากขึ้นสมองไม่ไหลออกดังเช่นปัจจุบันซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาและศักยภาพระบบอุดมศึกษาในอนาคต
ทีมข่าวอยู่ระหว่างติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสอบถามความคิดเห็นต่อข้อสังเกตนี้และขอความคิดเห็นเรื่องทางออกและแนวทางแก้ปัญหาให้กับพนักงานมหาวิทยาลัย
เสียงสะท้อนมุม "พนักงานมหาวิทยาลัย" กับคำถามต่อ"การจ้างงาน"ในระบบการศึกษา
ในปี พ.ศ. 2542 คณะรัฐมนตรีหรือ ครม.มีมติให้ทุกมหาวิทยาลัยเตรียมออกนอกระบบ และยกเลิกการบรรจุข้าราชการโดยว่าจ้างอาจารย์มหาวิทยาลัยด้วยระบบสัญญาจ้างแทน เรียกว่าพนักงานมหาวิทยาลัย และให้มหาวิทยลัยจัดสิทธิประโยชน์ให้ไม่ต่ำกว่าระบบราชการเดิม และมีเงินเดือนสูงขึ้น 1.7 เท่าของฐานเงินเดือนราชการปัจจุบัน
แม้มติครม. ดังกล่าวระบุรายละเอียดที่น่าพอใจแต่ในทางปฏิบัติ มีเสียงสะท้อนว่าหลายมหาวิทยาลัยยังไม่ได้ปฏิบัติตาม เพราะมีช่องว่างในงบประมาณที่รัฐโอนมาให้แต่ละมหาวิทยาลัยเป็นงบประมาณหมวดอุดหนุน ให้อำนาจในการจัดสรรกันเอง และมีอิสระในการบริหารงานบุคคลส่งผลกระทบต่อพนักงานมหาวิทยาลัยในหลายด้าน ทั้งเงินเดือนที่ไม่ได้รับในอัตราที่สัญญาไว้จริง และสิทธิรักษาพยาบาลที่ด้อยกว่า พนักงานรัฐวิสาหกิจ และรับราชการเดิม
รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ เลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา เล่าว่า หลังจากมีมติจาก ครม. ในปี 2542 ที่ให้อำนาจสภาแต่ละมหาวิทยาลัยมีอิสระในการบริหารงานบุคคล ทำให้ให้กลุ่มอาจารย์ที่เข้ามาด้วยระบบพนักงานมหาวิทยาลัยไม่กล้าเรียกร้องหรือวิจารณ์ในแง่การทำงานของข้าราชการระดับสูงได้เพราะอาจไม่ได้รับการต่อสัญญาเนื่องจากพนักงานมหาวิทยาลัยถูกพ.ร.บ. ทุกมหาวิทยาลัยระบุว่าไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมายแรงงาน หากมีปัญหาการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจะต่อสู้เรียกร้องลำบาก และปัจจุบัน บุคลากรในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมีทั้งหมดกว่า 130,000 คน เหลือข้าราชการในระบบกว่า 20,000 คน ซึ่งรศ.ดร.วีรชัย มองว่าพนักงานมหาวิทยาลัยกลายเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดในระบบอุดมศึกษาไทย
จากระบบดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มพนักงานมหาวิทยาลัยสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองได้ยากเช่นไม่สามารถย้ายหน่วยงานทำงานได้ การทำธุรกรรมทางการเงินก็ลำบาก การยื่นกู้เพื่อเข้าหาแหล่งเงินในการสร้างบ้านหรือลงทุน การอนุมัติเงินกู้จากแหล่งเงินทุนเป็นไปค่อนข้างยาก เพราะสถานภาพการทำงานไม่มั่นคง เนื่องจากเป็นเพียงแค่สัญญาจ้าง และไม่ใช่ระยะยาว นอกจากไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฏหมายแรงงานแล้ว ยังไม่ได้รับการคุ้มครองจากที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา หรือ กพอ. ของกระทรวงศึกษาธิการ เพราะไม่ใช่ข้าราชการ ทำให้มีความเสี่ยงสูง หากเกิดความไม่เป็นธรรมในการว่าจ้าง เป็นต้น
นอกจากนี้พนักงานมหาลัยยังไม่ได้สิทธิ์รักษาพยาบาลแบบข้าราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ ต้องหันไปใช้ประกันสังคมของกระทรวงแรงงาน ซึ่งเข้าสถานรักษาพยาบาลในท้องถิ่นได้เพียง 1 แห่งในพื้นที่ และบางครั้งยังได้รับยาที่มีคุณภาพต่ำมาแทน ทำให้อาจารย์หลายกลุ่มทยอยลาออกไปสมัครสอบเป็นข้าราชการในกรม-กองอื่น หรือลาออกไปอยู่ในภาคเอกชนแทน
โดย ดร.วีรชัย เชื่อว่า หากพนักงานมหาวิทยาลัยได้รับสวัสดิการรักษาพยาบาลเทียบเท่าหรือไม่น้อยกว่ารัฐวิสาหกิจหรือระบบข้าราชการเดิมจะช่วยให้กลุ่มพนักงานมหาวิทยาลัยมีขวัญกำลังใจในการทำงานที่ดีขึ้นคนดีคนเก่งจะทยอยเข้ามาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมากขึ้นสมองไม่ไหลออกดังเช่นปัจจุบันซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาและศักยภาพระบบอุดมศึกษาในอนาคต
ทีมข่าวอยู่ระหว่างติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสอบถามความคิดเห็นต่อข้อสังเกตนี้และขอความคิดเห็นเรื่องทางออกและแนวทางแก้ปัญหาให้กับพนักงานมหาวิทยาลัย