สวัสดีค่ะชาวพันทิป เรื่องที่เรากำลังจะเขียนต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเราไม่นาน
เพิ่งดูละครจบก็เลยลองย้อนดูตัวเองสักหน่อย ละครก็เขียนจากชีวิตจริงนี่คะ
ไม่แปลก ที่ในชีวิต คนเราจะพบความรักที่ไม่สมหวัง ไม่ต่างกับในละคร
ตอนแรกไม่ได้คิดเลยว่าจะเล่าเรื่องนี้ในที่สาธารณะ เพราะความเลวของตัวเองคงไม่ใช่สิ่งที่ใครอยากเปิดเผยเท่าไหร่
แต่เพราะถูกทักจากเพื่อนที่เราเขียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง “นึกว่าเธอจะเขียนลงพันทิป”
เราเลยกลับมาคิดดู เราทำอะไรลงไป เรารู้ตัว
ะนั้นแม้จะต้องถูกต่อว่าในความผิดของตัวเองจากทุกคน นั่นก็เป็นสิ่งที่เราควรยอมรับ
บางทีการเล่าเรื่องของเราในนี้ ประสบการณ์ของเราอาจมีประโยชน์กับคนอื่นบ้างก็ได้
เราโสดมาสองปีแล้วค่ะ มีช่วงที่โสดสนิทบ้าง ไม่สนิทบ้าง
คนรอบข้างบอกว่าเราเป็นคนชอบคนง่าย ไม่ใช่ใครเข้ามาแล้วก็ชอบหรอกนะคะ
แต่ถ้ามีใครที่มีอะไรถูกใจ แล้วเรารู้สึกชอบไป เราจะทุ่มเทให้มาก
จากที่เคยเป็นที่ปรึกษาให้ใครๆ จากที่เคยมีสติ พอชอบใครแล้วดูจะเห็นอะไรรอบข้างชัดน้อยลง
เพราะเราเชื่อว่าความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่เหตุผล
และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เราลืมไปว่า แม้ความรักจะเป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้
แต่การคบหา การใช้ชีวิตคู่ ความรู้สึกและเหตุผลจะต้องสมดุลกัน
เรื่องราวครั้งนี้เกิดขึ้นในที่ทำงานค่ะ ในแผนกเดียวกัน ซึ่งมักเป็นที่ต้องห้ามสำหรับความรักในมุมมองของใครหลายคน
เราทำงานที่นี่เข้าปีที่สี่แล้ว เป็นเด็กกิจกรรมทำทั้งงานราษฎร์งานหลวง ก็เลยรู้จักกับเขาไปหมด
เราขอเรียกตัวเองว่า “ซิน” นะคะ ส่วนเขา ขอเรียกเขาว่า “พี่เอส” ค่ะ
พี่เอสแก่กว่าเราห้าปี ถูกจ้างเข้ามาในลักษณะโปรเจค
หลังจากโปรเจคจบ ทีมของพี่เขาก็ถูกรวมเข้ามาในแผนกของเรา
ซึ่งด้วยเนื้องานของพี่เอส ทำให้เขาไม่ได้สนิทสนมกับคนในแผนกเท่าไร ทั้งที่แผนกเราขึ้นชื่อว่ารักและสนิทกันมาก
พี่เอสจะสนิทกับทีมของเขา โดยเฉพาะ “พี่แอล” พี่ผู้หญิงที่ทำงานเป็นพาร์ตเนอร์กัน
เราเองครั้งแรกที่ต้องทำงานกับพี่เอส ไม่ชอบขี้หน้าเขาเลยค่ะ
เพราะเขาเป็นคนกวนๆ กวนมันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ และก็เป็นแบบนี้กันมาเป็นปี
เราเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองสนใจพี่เอสตั้งแต่เมื่อไหร่ ในเมื่อเจอหน้าก็ตีกันเป็นเด็กๆ
แต่ยอมรับว่ามีบางบ้างครั้งที่รู้สึกสนใจเขาขึ้นมา แต่ก็เป็นความรู้สึกเพียงเสี้ยววินาทีเสมอ
จริงๆแล้วถึงเขาจะเป็นคนกวนๆ แต่พี่เอสเป็นคนทำงานเก่ง
และถึงแม้จะชอบว่าเรา แต่เวลาที่ขอให้เขาช่วยงาน เขาจะทำให้ทันที
และเวลาดึงไปช่วยกิจกรรม ทั้งที่ไม่ถนัด แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธ และช่วยเหลืออย่างดี
และเมื่อไม่นานมานี้ เราก็มีโอกาสได้ทำงานใกล้ชิดกับพี่เขา
ตีกันไปตีกันมา ทำไมเรารู้สึกสปาร์คขึ้นมาก็ไม่รู้
ตอนที่สบตากันในวันนั้นรู้สึกเหมือนอะไรในใจกำลังเปลี่ยนไป...
หลังจากนั้นเราก็พูดจาดีกับเขามากขึ้น เขาเองก็ใจดีกับเรามากขึ้น
อยู่ทำงานดึกก็หาขนมให้กิน คุยเรื่องทั่วๆไปกันมากขึ้น
เราแอบถามทั้งพี่แอลและพี่ในทีมว่าพี่เอสมีแฟนหรือเปล่า
แต่คนที่ถูกถามก็ตอบแบบไม่แน่ใจ
จนมาถึงวันที่ความสัมพันธ์ของเราเริ่มต้น
วันที่เราทำงานผิดและพี่เอสบอกว่าจะแปะชื่อเราประจาน
แก้งานได้เรารีบส่งเมล์ไปหาเขาว่าแก้งานได้แล้ว ให้รางวัลมาเลย
เรากะว่าพี่เอสคงตอบอะไรกวนๆมาแน่ๆ แต่เขากลับส่งรูปกุหลาบขาวมา
เราแปลกใจนิดหน่อย แต่ก็ยังส่งเมล์กลับไปขำๆว่า อย่าให้แต่รูปสิ และบอกด้วยว่ากุหลาบขาวเป็นดอกไม้ที่เราชอบพอดี
สาบานได้ว่าตอนนั้นถึงจะยิ้มๆแต่ไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรเกินเลยจริงๆ
แต่แล้วพี่เอสก็ตอบกลับมาว่า “พี่จะจำนะว่าชอบ”
ตอนนั้นนี่ใจเต้นตึกๆเลยค่ะ ตายแล้ว ทำไมตอบมาแบบนี้เนี่ย นึกว่าจะกวนอะไรซะอีก
เราก็เลยทักเขาผ่านโปรแกรมแชทในออฟฟิศไป
และบทสนทนามาราธอนของเราก็เริ่มจากตรงนั้น
โดยที่วันนั้นเขาน่ะกลับบ้านไปแล้ว ส่วนเรายังทำงานกลับดึก
พี่เอสบอกว่าที่เขากลับบ้านไปแล้วยังเปิดคอม ก็เพราะคิดว่าจะได้คุยกับเรานี่ล่ะ ตอนนั้นดีใจมากเลยนะคะ...
เราคุยเรื่องทั่วไป สลับหยอดกันไปกันมา บทสนทนารอบแรกจบลงตอนที่เขาไปหาอะไรกิน
ส่วนเราจะกลับบ้าน แต่หลังจากนั้น เราก็ทักไลน์เขาไปค่ะ
เพราะพี่เอสบอกเราว่าเขามีไลน์เราอยู่แล้ว แต่เขาไม่เคยทัก ไม่กล้า
เราเองจำไม่ได้เลยค่ะว่าเคยเมมเบอร์โทรเขาไว้ตอนไหน
มานึกได้ว่าตอนที่ลากเขามาทำกิจกรรมนั่นล่ะ
การแชทไลน์รอบนี้น่ะแหละค่ะเราถึงได้รู้ว่า พี่เอสแอบชอบเรามาตั้งนานแล้ว
เขามองว่าเราน่ารัก สนิทกับทุกๆคน แอบมองมาตั้งแต่เห็นเราแรกๆ
โอย ไม่รู้ตัวเลยจริงๆค่ะ ตั้งแต่ก่อนกลางปีที่แล้วนะนั่น แล้วทำไมต้องหวั่นไหวไม่รู้
(พี่เอสนี่ไม่ใช่สเปคเลยนะคะ ขาว ผอม ปากจัด ดูบอบบาง หลายคนคิดว่าพี่เอสเป็นเกย์ด้วยซ้ำ)
แต่เราก็สารภาพกับเขาไปเหมือนกัน ว่าเราเคยสนใจเขาแบบไม่มีสาเหตุ
อย่างตอนชวนเขามาทำกิจกรรม ที่นึกว่าเขาจะเบี้ยว แต่สุดท้ายเขาก็มา
เราก็แอบดีใจนิดหน่อยที่ได้เจอเขา เหมือนมันวูบเข้ามา แล้วก็หายไป เ
ขาเองก็บอกว่าเขาดีใจอยู่เหมือนกันที่ได้ทำกิจกรรมที่เราเป็นคนดูแล
เขาบอกว่าที่เขาคอยแกล้งคอยแซวเราก็ทำกลบเกลื่อนความรู้สึก
เราก็สารภาพไปเหมือนกันว่า เราเองก็มีครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงบริษัทที่เราแอบดีใจแปลกๆที่ได้นั่งกับเขาในวันนั้น
เป็นอีกวูบนึงเหมือนกันที่รู้สึกดี
อย่างที่บอกค่ะ เราก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆสนใจเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่มาแน่ใจเมื่อไม่นานมานี้ที่ทำงานด้วยกัน (หรือเรียกว่าตีกันมากกว่า)
มีครั้งหนึ่งที่มือเราไปโดนมือเขา แล้วเราเขินจนต้องเก็บอาการ
ที่เล่าไปก่อนหน้านี้ว่ารู้สึกสปาร์คแหละค่ะ
เขาเองก็บอกว่าเขารู้สึกดีเหมือนกันในวันนั้น
หลังจากนั้นที่เราตั้งใจพูดจากับเขาดีขึ้น เขาก็ดีใจ รู้สึกดี
อย่างวันที่เราทำงานดึกที่พยายามหาอะไรให้กิน ก็เพราะเป็นห่วง
ไม่รู้คิดไปเองไหม แต่ดูเป็นเรื่องราวที่ทำให้ยิ้มได้ในที่ทำงานนะคะ
แต่มันไม่ได้หอมหวานขนาดนั้นหรอกค่ะ
อย่างที่บอกไปตอนต้นค่ะ เราชอบใครแล้วความรู้สึกจะไปเร็วมาก
ตอนนั้นนี่พอรู้ว่าใจตรงกันแล้วความรู้สึกไหลไปเลย
แต่ว่าเราก็ต้องลองถามเขาเรื่องแฟนเขาดูค่ะ
จากคำตอบกำกวมก็ชัดเจนว่าพี่เอสมีแฟนแล้ว
เขาบอกว่าที่เขาไม่เคยกล้าแสดงออกว่าชอบเราก็เพราะว่าเราคงมองเขาไม่ดี
เราบอกเขาว่า คุยกับเราได้นะ แต่ต้องมีกรอบ
เขาต้องไม่บกพร่องในหน้าที่แฟน เราไม่อยากรู้สึกผิด
เขาก็บอกนะคะว่าบางทีอาจจะเป็นเขาเองที่แหกกรอบ
ยังไงเขาก็ชอบเราไปแล้ว และเราเป็นคนแรกที่ทำให้เขานอกใจแฟน
ฮือ แย่นะคะ
แต่เราดีใจที่ได้ยินแบบนั้น
และดูเหมือนกรอบของเรามันจะไม่แข็งแรงเท่าไหร่...
"คิดจะไปเป็นมือที่สาม มันก็ควรต้องโดนสักที"...เมื่อความรักไม่ใช่แค่สามเส้า...เมื่อคนบาปอย่างฉันตาสว่าง...
เพิ่งดูละครจบก็เลยลองย้อนดูตัวเองสักหน่อย ละครก็เขียนจากชีวิตจริงนี่คะ
ไม่แปลก ที่ในชีวิต คนเราจะพบความรักที่ไม่สมหวัง ไม่ต่างกับในละคร
ตอนแรกไม่ได้คิดเลยว่าจะเล่าเรื่องนี้ในที่สาธารณะ เพราะความเลวของตัวเองคงไม่ใช่สิ่งที่ใครอยากเปิดเผยเท่าไหร่
แต่เพราะถูกทักจากเพื่อนที่เราเขียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง “นึกว่าเธอจะเขียนลงพันทิป”
เราเลยกลับมาคิดดู เราทำอะไรลงไป เรารู้ตัว
ะนั้นแม้จะต้องถูกต่อว่าในความผิดของตัวเองจากทุกคน นั่นก็เป็นสิ่งที่เราควรยอมรับ
บางทีการเล่าเรื่องของเราในนี้ ประสบการณ์ของเราอาจมีประโยชน์กับคนอื่นบ้างก็ได้
เราโสดมาสองปีแล้วค่ะ มีช่วงที่โสดสนิทบ้าง ไม่สนิทบ้าง
คนรอบข้างบอกว่าเราเป็นคนชอบคนง่าย ไม่ใช่ใครเข้ามาแล้วก็ชอบหรอกนะคะ
แต่ถ้ามีใครที่มีอะไรถูกใจ แล้วเรารู้สึกชอบไป เราจะทุ่มเทให้มาก
จากที่เคยเป็นที่ปรึกษาให้ใครๆ จากที่เคยมีสติ พอชอบใครแล้วดูจะเห็นอะไรรอบข้างชัดน้อยลง
เพราะเราเชื่อว่าความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่เหตุผล
และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เราลืมไปว่า แม้ความรักจะเป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้
แต่การคบหา การใช้ชีวิตคู่ ความรู้สึกและเหตุผลจะต้องสมดุลกัน
เรื่องราวครั้งนี้เกิดขึ้นในที่ทำงานค่ะ ในแผนกเดียวกัน ซึ่งมักเป็นที่ต้องห้ามสำหรับความรักในมุมมองของใครหลายคน
เราทำงานที่นี่เข้าปีที่สี่แล้ว เป็นเด็กกิจกรรมทำทั้งงานราษฎร์งานหลวง ก็เลยรู้จักกับเขาไปหมด
เราขอเรียกตัวเองว่า “ซิน” นะคะ ส่วนเขา ขอเรียกเขาว่า “พี่เอส” ค่ะ
พี่เอสแก่กว่าเราห้าปี ถูกจ้างเข้ามาในลักษณะโปรเจค
หลังจากโปรเจคจบ ทีมของพี่เขาก็ถูกรวมเข้ามาในแผนกของเรา
ซึ่งด้วยเนื้องานของพี่เอส ทำให้เขาไม่ได้สนิทสนมกับคนในแผนกเท่าไร ทั้งที่แผนกเราขึ้นชื่อว่ารักและสนิทกันมาก
พี่เอสจะสนิทกับทีมของเขา โดยเฉพาะ “พี่แอล” พี่ผู้หญิงที่ทำงานเป็นพาร์ตเนอร์กัน
เราเองครั้งแรกที่ต้องทำงานกับพี่เอส ไม่ชอบขี้หน้าเขาเลยค่ะ
เพราะเขาเป็นคนกวนๆ กวนมันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ และก็เป็นแบบนี้กันมาเป็นปี
เราเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองสนใจพี่เอสตั้งแต่เมื่อไหร่ ในเมื่อเจอหน้าก็ตีกันเป็นเด็กๆ
แต่ยอมรับว่ามีบางบ้างครั้งที่รู้สึกสนใจเขาขึ้นมา แต่ก็เป็นความรู้สึกเพียงเสี้ยววินาทีเสมอ
จริงๆแล้วถึงเขาจะเป็นคนกวนๆ แต่พี่เอสเป็นคนทำงานเก่ง
และถึงแม้จะชอบว่าเรา แต่เวลาที่ขอให้เขาช่วยงาน เขาจะทำให้ทันที
และเวลาดึงไปช่วยกิจกรรม ทั้งที่ไม่ถนัด แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธ และช่วยเหลืออย่างดี
และเมื่อไม่นานมานี้ เราก็มีโอกาสได้ทำงานใกล้ชิดกับพี่เขา
ตีกันไปตีกันมา ทำไมเรารู้สึกสปาร์คขึ้นมาก็ไม่รู้
ตอนที่สบตากันในวันนั้นรู้สึกเหมือนอะไรในใจกำลังเปลี่ยนไป...
หลังจากนั้นเราก็พูดจาดีกับเขามากขึ้น เขาเองก็ใจดีกับเรามากขึ้น
อยู่ทำงานดึกก็หาขนมให้กิน คุยเรื่องทั่วๆไปกันมากขึ้น
เราแอบถามทั้งพี่แอลและพี่ในทีมว่าพี่เอสมีแฟนหรือเปล่า
แต่คนที่ถูกถามก็ตอบแบบไม่แน่ใจ
จนมาถึงวันที่ความสัมพันธ์ของเราเริ่มต้น
วันที่เราทำงานผิดและพี่เอสบอกว่าจะแปะชื่อเราประจาน
แก้งานได้เรารีบส่งเมล์ไปหาเขาว่าแก้งานได้แล้ว ให้รางวัลมาเลย
เรากะว่าพี่เอสคงตอบอะไรกวนๆมาแน่ๆ แต่เขากลับส่งรูปกุหลาบขาวมา
เราแปลกใจนิดหน่อย แต่ก็ยังส่งเมล์กลับไปขำๆว่า อย่าให้แต่รูปสิ และบอกด้วยว่ากุหลาบขาวเป็นดอกไม้ที่เราชอบพอดี
สาบานได้ว่าตอนนั้นถึงจะยิ้มๆแต่ไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรเกินเลยจริงๆ
แต่แล้วพี่เอสก็ตอบกลับมาว่า “พี่จะจำนะว่าชอบ”
ตอนนั้นนี่ใจเต้นตึกๆเลยค่ะ ตายแล้ว ทำไมตอบมาแบบนี้เนี่ย นึกว่าจะกวนอะไรซะอีก
เราก็เลยทักเขาผ่านโปรแกรมแชทในออฟฟิศไป
และบทสนทนามาราธอนของเราก็เริ่มจากตรงนั้น
โดยที่วันนั้นเขาน่ะกลับบ้านไปแล้ว ส่วนเรายังทำงานกลับดึก
พี่เอสบอกว่าที่เขากลับบ้านไปแล้วยังเปิดคอม ก็เพราะคิดว่าจะได้คุยกับเรานี่ล่ะ ตอนนั้นดีใจมากเลยนะคะ...
เราคุยเรื่องทั่วไป สลับหยอดกันไปกันมา บทสนทนารอบแรกจบลงตอนที่เขาไปหาอะไรกิน
ส่วนเราจะกลับบ้าน แต่หลังจากนั้น เราก็ทักไลน์เขาไปค่ะ
เพราะพี่เอสบอกเราว่าเขามีไลน์เราอยู่แล้ว แต่เขาไม่เคยทัก ไม่กล้า
เราเองจำไม่ได้เลยค่ะว่าเคยเมมเบอร์โทรเขาไว้ตอนไหน
มานึกได้ว่าตอนที่ลากเขามาทำกิจกรรมนั่นล่ะ
การแชทไลน์รอบนี้น่ะแหละค่ะเราถึงได้รู้ว่า พี่เอสแอบชอบเรามาตั้งนานแล้ว
เขามองว่าเราน่ารัก สนิทกับทุกๆคน แอบมองมาตั้งแต่เห็นเราแรกๆ
โอย ไม่รู้ตัวเลยจริงๆค่ะ ตั้งแต่ก่อนกลางปีที่แล้วนะนั่น แล้วทำไมต้องหวั่นไหวไม่รู้
(พี่เอสนี่ไม่ใช่สเปคเลยนะคะ ขาว ผอม ปากจัด ดูบอบบาง หลายคนคิดว่าพี่เอสเป็นเกย์ด้วยซ้ำ)
แต่เราก็สารภาพกับเขาไปเหมือนกัน ว่าเราเคยสนใจเขาแบบไม่มีสาเหตุ
อย่างตอนชวนเขามาทำกิจกรรม ที่นึกว่าเขาจะเบี้ยว แต่สุดท้ายเขาก็มา
เราก็แอบดีใจนิดหน่อยที่ได้เจอเขา เหมือนมันวูบเข้ามา แล้วก็หายไป เ
ขาเองก็บอกว่าเขาดีใจอยู่เหมือนกันที่ได้ทำกิจกรรมที่เราเป็นคนดูแล
เขาบอกว่าที่เขาคอยแกล้งคอยแซวเราก็ทำกลบเกลื่อนความรู้สึก
เราก็สารภาพไปเหมือนกันว่า เราเองก็มีครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงบริษัทที่เราแอบดีใจแปลกๆที่ได้นั่งกับเขาในวันนั้น
เป็นอีกวูบนึงเหมือนกันที่รู้สึกดี
อย่างที่บอกค่ะ เราก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆสนใจเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่มาแน่ใจเมื่อไม่นานมานี้ที่ทำงานด้วยกัน (หรือเรียกว่าตีกันมากกว่า)
มีครั้งหนึ่งที่มือเราไปโดนมือเขา แล้วเราเขินจนต้องเก็บอาการ
ที่เล่าไปก่อนหน้านี้ว่ารู้สึกสปาร์คแหละค่ะ
เขาเองก็บอกว่าเขารู้สึกดีเหมือนกันในวันนั้น
หลังจากนั้นที่เราตั้งใจพูดจากับเขาดีขึ้น เขาก็ดีใจ รู้สึกดี
อย่างวันที่เราทำงานดึกที่พยายามหาอะไรให้กิน ก็เพราะเป็นห่วง
ไม่รู้คิดไปเองไหม แต่ดูเป็นเรื่องราวที่ทำให้ยิ้มได้ในที่ทำงานนะคะ
แต่มันไม่ได้หอมหวานขนาดนั้นหรอกค่ะ
อย่างที่บอกไปตอนต้นค่ะ เราชอบใครแล้วความรู้สึกจะไปเร็วมาก
ตอนนั้นนี่พอรู้ว่าใจตรงกันแล้วความรู้สึกไหลไปเลย
แต่ว่าเราก็ต้องลองถามเขาเรื่องแฟนเขาดูค่ะ
จากคำตอบกำกวมก็ชัดเจนว่าพี่เอสมีแฟนแล้ว
เขาบอกว่าที่เขาไม่เคยกล้าแสดงออกว่าชอบเราก็เพราะว่าเราคงมองเขาไม่ดี
เราบอกเขาว่า คุยกับเราได้นะ แต่ต้องมีกรอบ
เขาต้องไม่บกพร่องในหน้าที่แฟน เราไม่อยากรู้สึกผิด
เขาก็บอกนะคะว่าบางทีอาจจะเป็นเขาเองที่แหกกรอบ
ยังไงเขาก็ชอบเราไปแล้ว และเราเป็นคนแรกที่ทำให้เขานอกใจแฟน
ฮือ แย่นะคะ
แต่เราดีใจที่ได้ยินแบบนั้น
และดูเหมือนกรอบของเรามันจะไม่แข็งแรงเท่าไหร่...