ขอคำแนะนำการใช้ยา สำหรับอาการจิตเภท

สองสามสัปดาห์มานี้  ทุกข์ใจเป็นที่สุด เนื่องจากเพิ่งทราบว่าลูกชายวัย 18 ปี เป็นโรคจิตเภท มีคำถามมากมายในหัว  ขออนุญาตนำข้อสงสัยเกี่ยวกับยา  มาสอบถามผู้มีประสบการณ์ หรือผู้รู้ในเวปบอร์ดนี้ด้วยค่ะ

ขอเล่าประวัติของคนป่วยก่อนนะคะ  ดิฉันมีลูกชายคนโต  เกิดในปี พ.ศ.2540  แรกเกิดมางองแงมาก  ร้องไห้ได้ติดต่อกัน 12 ชั่วโมง ส่วนใหญ่เป็นเวลากลางคืน  (จนชาวบ้านแถบนั้นเอื้อมระอา ไม่ต้องนอนเลย) และร้องทุกวัน  แรงเบาสลับกันไป  ไปปรึกษากุมารแพทย์  แพทย์บอกเด็กไม่เป็นไร  ลูกคนแรก เราอาจเลี้ยงไม่เป็น  เด็กจึงงองแง  ลูกชายร้องไห้หนักเช่นนั้นอยู่นานจนอายุ 2 ปี  และมีพัฒนาการผิดปกติ คืออย่างอย่างก้าวกระโดด บางอย่างกลับทำไม่ได้ในวัยที่ควรจะทำได้ เช่นไม่ยอมเดินเลย จนขวบครึ่ง  เคยพูดได้ตอน 8-9 เดือน เรียกแม่ได้  แล้วเงียบไป  กว่าจะพูดได้เป็นคำอีกที ก็ปาไปสองขวบกว่า

พออายุได้ 3 ขวบ  มีน้องเกิดมา  เขาอาละวาดอีกครั้ง  รุนแรงมาก  ในฐานะแม่ทั้งโอ๋ ทั้งปลอบ ทั้งดุ ยังไงก็เอาไม่อยู่  แต่หลังจากนั้นได้ซัก 1 ปี  เขาก็เริ่มรักน้อง และงองแงน้อยลง

พออายุได้ 5 ปี  ดิฉันต้องทำงาน จึงเอาเค้าไปฝากยายเลี้ยงให้  เขารักยายนะคะ  แต่ก็เริ่มอาละวาดหนักอีก  ดิฉันพิจารณาเปรียบเทียบกับคนน้อง  ซึ่งไม่มีปัญหาใด ๆ เหมือนอย่างพี่  คิดว่าลูกไม่น่าปกติแน่  จึงพาลูกไปปรึกษาที่สถาบันจิตเวชแห่งหนึ่ง ตรงข้ามโรงพยาบาลรามาธิบดี

นักสังคมสงเคราะห์ที่นั่นบอกว่า ลูกผิดปกติจากการเลี้ยงดู  ดิฉันแย้งว่า คนเล็ก ไม่เป็นไรเลย เลี้ยงง่าย  เขาว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน  ดิฉันเลี้ยงลูกไม่เป็นเอง  แต่พอพบนักจิตวิทยา  แจ้งว่าเด็กเป็น LD  พอพบแพทย์ แพทย์แจ้งว่าเด็กมีอาการสมาธิสั้น และไฮเปอร์  แต่ยังไม่ได้ให้ยามารับประทาน  (เลยสรุปไม่ได้ว่าลูกเป็นอะไรค่ะ)

อายุ 7 ขวบ ดิฉันนำกลับมาเลี้ยงเอง  ลูกเริ่มสงบลง  และเลี้ยงง่ายขึ้น  แต่ยังมีพัฒนาการผิดปกติ ไม่เหมือนน้องหรือเด็กทั่วไป คือเหม่อลอยมาก  ไม่รับรู้สิ่งแวดล้อม  ทักษะทางสังคมแย่มาก  ถูกเพื่อนรุมแกล้งประจำ  เรียนหนังสือ ไม่ได้เขียนตามชั้นเรียนตามที่ครูสอนเลยซักตัว  เรียนอนุบาลมา 3 ปี ไม่สามารถอ่านเขียนได้เลยซักตัว ซึ่งครูโกรธมาก ดุว่าเป็นการใหญ่  ลูกเกลียดโรงเรียนมาก

ดิฉันจึงย้ายลูกมาเรียนที่โรงเรียนราชวินิตประถมบางแค ในชั้นเรียนปกติ  ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เชี่ยวชาญเด็กพิเศษ  ความเข้าใจที่โรงเรียนมีต่อเด็ก  ทำให้ลูกเริ่มรักการไปโรงเรียนและอ่านเขียนได้

เมื่อลูกโตขึ้นอยู่ชั้น ป.3  ครูประจำชั้นแจ้งว่า เด็กเหม่อลอยผิดปกติ รับรู้สิ่งแวดล้อมน้อยมาก เดินไปไหนไม่รู้ตัว ตกรถโรงเรียนประจำ  ไม่น่าเป็นแค่สมาธิสั้น ให้พาลูกไปปรึกษาแพทย์อีกครั้ง  ดิฉันจึงพาลูกไปปรึกษาแพทย์ที่สถาบันจิตเวชแห่งเดิม  แพทย์ให้ยาคุมสมาธิมากิน  พอกิน ลูกเริ่มดีขึ้น ทำงานตามสั่งได้บ้าง  แต่ยังเหม่อลอยผิดธรรมดา  ทักษะทางสังคมยังแย่เหมือนเดิม

เมื่อลูกขึ้นชั้น ป.5 (อายุ 11 ปี)  ดิฉันพาไปสมัครเรียนพิเศษคณิตศาสตร์ที่คุมอง  ครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งนั้นแจ้งว่า ไม่สามารถรับเด็กเข้าเรียนได้ เด็กไม่น่ามีอาการแค่สมาธิสั้น  ให้ดิฉันพาลูกไปเช็คที่สถาบันพัฒนาเด็กพิเศษ ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งบนถนนสุขุมวิท  ผลจากการทำแบบทดสอบของสถาบันแห่งนั้น  แจ้งผลว่า ลูกเป็นเด็กออทิสติก  แปลกมากที่จิตแพทย์ที่คุณไปปรึกษาประจำนั้นไม่ทราบ  เด็กมีลักษณะออทิสติกชัดเจน  แต่อยู่ในอาการดีมาก เรียนในชั้นเรียนปกติได้  การแก้ไขให้พัฒนาดีขึ้นนั้นทำได้ยาก  เนื่องจากเด็กโตมากแล้ว  เรามาช้าเกินไป

ช่วงนั้นพอดีย้ายบ้านมาอยู่ในเขตจังหวัดสมุทรปราการ  จึงขอย้ายชื่อลูกมาสังกัดโรงพยาบาลจิตเวชเด็กแห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรปราการ  ซึ่งจิตแพทย์ของโรงพยาบาลแห่งนั้นยืนยันแน่นอนว่า  ลูกดิฉันเป็นออทิสติก  และแปลกมากที่สถาบันแห่งเดิมไม่ยอมให้ประวัติไอคิว หรือผลการตรวจใด ๆ มาเลย   ยาที่กินอยู่ในช่วงเวลานั้น ยังเป็นยาคุมสมาธิ

ตอนนั้นดิฉันก็เขาอ่อน  เมื่อรู้ว่าลูกต้องอยู่กับอาการออทิสติกตลอดชีวิต  แต่ยังไม่ยอมแพ้ค่ะ คิดว่าโตขึ้นลูกน่าจะหายจากอาการออทิสติก  เพราะวัยนั้นเค้าช่วยเหลือตัวเองได้ดีมาก ๆ  เมื่อโรงเรียนคุมองไม่ยอมรับ  ดิฉันจึงพาลูกไปเรียนกวดวิชาแบบตัวต่อต่อ  ในช่วงเวลานั้น  ลูกเรียนได้ดีมาก เกรด 3 กว่า ๆ  และดูมีความสุขดี  สอบเข้าโรงเรียนมัธยมด้วยคะแนนที่อยู่ในเกณฑ์ดีมาก  แต่ทักษะทางสังคมยังแย่อยู่

พอลูกขึ้น ม.2 เริ่มมีอาการปวดศีรษะ  ดิฉันพาไปตรวจทั้งโรงพยาบาลของรัฐ และเอกชน  ผลออกมากลับไม่มีสิ่งผิดปกติใด ๆ  จิตแพทย์จึงให้หยุดยาคุมสมาธิ  เพราะอาจมีผลให้ปวดศีรษะได้

พอลูกขึ้น ม.3 อาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้น  กินพาราฯ ไม่หาย และไม่ได้กินยาคุมสมาธิอีกเลย  ลูกเริ่มหูแว่ว  มีเสียงคนมาพูด  เถียงกัน ลูกเริ่มพูดคนเดียว  ขี้หลงขี้ลืม  กระเป๋านักเรียนหายไป 7 ใบ ในปีการศึกษานั้น  พอปรึกษาจิตแพทย์โรงพยาบาลในสังกัดของรัฐฯ แห่งเดิม ให้ความเห็นว่า เด็กคิดไปเอง  เป็นแค่จินตนาการของเด็ก

ลูกขึ้น ม.4 อายุ 16 ปี  อาการปวดศีรษะยังคงเดิม  ผลการเรียนตกต่ำ ขี้ลืมมากกว่าเดิม  และมีอาการเกร็ง ชักกระตุก  ทำหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว  หายใจเสียงดังในที่สาธารณะ  กลางคืนนอนแค่ 3-4 ชั่วโมง  แล้วลุกขึ้นมาเดินทั้งคืน  ดิฉันจึงเปลี่ยนจิตแพทย์ค่ะ  พาลูกไปสถาบันราชานุกูล  ดินแดง  จิตแพทย์ที่นั่นแจ้งว่า  ลูกน่าจะเป็นจิตเภท  ให้ไปทำแบบทดสอบ  และน่าจะรับยาไปรับประทานเลย  เพราะดูแล้วอาการหนัก

คนเป็นพ่อแม่ ใครจะรับได้ว่าลูกเป็นบ้า  ดิฉันแย้งไปว่า  ลูกยังเด็ก จะบ้าได้อย่างไร  จิตแพทย์ชี้แจงว่า  เขาเป็นมาตั้งแต่เกิดแล้วค่ะ  ซึ่งตอนนั้นดิฉันยังไม่เข้าใจ  และยอมรับไม่ได้  จึงไม่ยอมรับยา  เปลี่ยนไปปรึกษาจิตแพทย์โรงพยาบาลมนารมย์ (เอกชน)  จิตแพทย์แจ้งว่าลูกมีอาการซึมเศร้า  จนมารู้ภายหลังว่า  เขาเพี้ยนไปเพราะอกหักจากเพื่อนหญิงคนหนึ่ง  

หลังจากเหตุการณ์นั้น  ดิฉันพาลูกลับมาดูแลเอง เอาใจใส่อย่างดี  ลูกเริ่มมีอาการดีขึ้น  ไม่ชักกระตุกอีก  ปี 2557 อาการทรงตัว กลางคืนยังนอนน้อย ตื่นแต่มืด คือ ตี 3-4 อาการรวมยังดูแปลก ๆ ไปบ้าง  แต่สติสัมปชัญญะครบ

ธันวาคม 2557 ลูกเริ่มมีอาการหวาดกลัว  เครียดจัด  มาปรึกษาอะไรที่ดิฉันไม่เข้าใจ  บอกว่าตัวเองกำลังจะตายบ้าง  และจะไปเกิดใหม่เป็นตัวอะไรบ้าง  บอกเกี่ยวกับมิติของเวลา โลก จักรวาล พระอรหันต์  จากเสียงในหัวบอกเขา  ซึ่งดิฉันก็ยังไม่เอะใจ  ไม่ค้านความคิดเขา  อธิบายไปว่า อะไรจะจริงหรือไม่จริงช่างมัน  ให้มีสติอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น

พอหลังจากปีใหม่ พ.ศ.2558 ผ่านไปได้ไม่กี่วัน  คราวนี้อาการชัดเจนมาก  ลูกเริ่มมีอาการคลุ้มคลั่ง  บอกว่าอย่าให้แม่เข้ามาใกล้เขา  เขาฝันว่าเขาทำร้ายพ่อแม่  พอสังเกตเนื้อตัวมีแต่แผล  จนจับได้ว่าเขาเอามีดกรีดเนื้อตัวเอง  จากเล็กกลายเป็นแผลใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ  คราวนี้ ดิฉันกับสามีตื่น รีบพาลูกไปพบจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งเดิม  ซึ่งกว่าจะรอถึงวันนัด 3 วันผ่านไป  อาการทรุดลงเร็วมาก  ลูกเริ่มหัวเราะคนเดียว  วิ่งหายออกไปจากบ้านตอนเช้า กลับมาเย็นแบบมอมแมม รองเท้าหายไป

จิตแพทย์บอกว่า ลูกอาจเพี้ยนไปจากอาการออทิสติก  แต่พอฟังประวัติจากดิฉันแล้ว  แพทย์แจ้งว่าลูกน่าจะเป็นจิตเภทแน่นอน  ต้องรอทำแบบทดสอบ  ดิฉันจึงหาข้อมูลอาการจิตเภทในอินเทอร์เน็ต  ซึ่งออกจะชัดเจนว่า  ลูกเป็นจิตเภทแน่นอน


คุณหมอให้รับประทานยาชุดแรก Risperdal Quicklet 0.5 mg  หนึ่งสัปดาห์ อาการลูกสงบลงมาก  แต่อาการหลงผิดยังนำอยู่ ความจำยังเลอะเลือน คุณหมอเพิ่มขนาดของยาขึ้นเรื่อย ๆ  เป็น 1 mg. ในสองสัปดาห์ต่อมา  และ 1.5 mg. ในสัปดาห์ที่ 4

ตอนนี้ลูกมีสติขึ้นมาก  ส่วนอาการหลงผิดยังนำ  ซึ่งดิฉันหวั่นใจมากว่าเขาจะทำอะไรผิด ๆ ไปอีก  การที่คุณหมอเพิ่มขนาดของยาขึ้นเรื่อย ๆ  ทำให้ดิฉันต้องทะเลาะกับสามี  ซึ่งเขาไม่ต้องการให้ลูกกินยา  เพราะเกรงผลข้างเคียงรุนแรง  

ขอคำแนะนำจากผู้รู้หน่อยค่ะ  ไม่ทราบว่าขนาดของยาที่ต้องกินจะต้องมากขึ้นกว่านี้ไหม  และต้องกินไปอีกนานเท่าไร  ผลข้างเคียงต่อสุขภาพจะเป็นอย่างไรบ้าง

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่