ตัดสินใจเขียนกระทู้นี้ เพื่ออยากจะสอบถามคุณผู้ชายที่เป็นมุสลิมค่ะ ว่าทำไมถึงต้องตัดสินใจเช่นนี้ (เพราะเราไม่เคยได้คำตอบจากเขา และเราเชื่อว่าการรับรู้ความจริงมันจะช่วยให้เราเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้น และจะช่วยลดความเจ็บปวดในใจของเราด้วยค่ะ)
เราเป็นคนไทยพุทธจะถือว่าเป็นคนไม่มีศาสนาก็ว่าได้ ส่วนเขาเป็นมุสลิมค่ะ
เรื่องราวของเราย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ตั้งแต่เรียนปริญญาตรี ตลอดระยะ 4 ปีเรารักและดูแลกันเป็นอย่างดี ฉันรักเขาทั้งหมดของหัวใจและทำตามทุกสิ่งที่เขาแนะนำ เพราะเรามั่นใจในตัวเขามาก
เนื่องจากเราคบกันนานและช่วยเหลือกันมาตลอด ทางบ้านของเขาจึงบอกว่าหากจะคบกันต่อไปก็ควรทำให้ถูกต้องตามหลักศาสนา นั่นคือ “ฉันต้องเป็นมุสลิมด้วยหัวใจ ไม่ใช่เพราะเป็นมุสลิมเพียงแค่อยากแต่งงานกับเขา”
ฉันเข้าใจในความหมายของประโยคนี้เป็นอย่างดี ฉันเปิดใจศึกษาศาสนาอิสลาม แต่ก็ยอมรับว่า ณ ช่วงเวลานั้น ฉันไม่ได้ให้ความสำคัญกับศาสนามากเท่าไหร่ เพราะฉันยังคิดว่ามีอะไรหลายอย่างที่ยังต้องทำและต้องรับผิดชอบ
เรื่องราวของเราก็ดำเนินต่อไป แต่เราก็เริ่มห่างกันด้วยหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ฉันเข้าทำงานบริษัท ส่วนเขาเรียนปริญญาโทด้านศาสนาที่ภาคใต้ เราห่างกันทั้งระยะทางและความแข็งแกร่งในศาสนา แต่เราก็ยังพูดคุยกันปกติ และความรู้สึกที่มีต่อเขาก็ยังเป็นเช่นเดิม
ฉันตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่ออยากทบทวนถึงความต้องการในชีวิตของตัวเอง ด้วยระยะเวลาที่เราคบกันมานาน เขาดูแลฉันอย่างดี ฉันก็รักและพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป
และเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ฉันได้มีโอกาสไปช่วยงานของครอบครัวของเขาที่ภาคใต้ ฉันเต็มใจ ฉันละทิ้งทุกอย่างและยินดีไปช่วยงาน แต่กลับกลายเป็นว่า “เหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆตามมาอย่างคาดไม่ถึง”
การไปของฉันทำให้ญาติพี่น้องของเขาไม่พอใจ เพราะการที่ฉันจะอยู่ใกล้กับเขาแบบนั้นมันผิดมหันต์
แต่ฉันก็บริสุทธิ์ใจ เพราะการไปช่วยงานครั้งนี้ ครอบครัวของเขาเป็นผู้ตัดสินใจให้ฉันไปช่วย
ฉันจึงต้องกลับ กทม แต่ก่อนกลับ เราก็ได้คุยกันถึงความรักของเรา เพราะเรายังรักกันมาก และฉันก็ยังละเลยกับการศึกษาศาสนา เขาบอกกับฉันว่า “ผมอยากแต่งงานอย่างถูกต้องตามศาสนา” ฉันเข้าใจอย่างเต็มอกว่าความหมายของประโยคนี้คืออะไร
ฉันกลับมา กทม พร้อมกับเปิดใจศึกษาศาสนาอย่างจริงจัง เพราะฉันคิดว่า ผู้ชายคนนี้คือคนที่ฉันอยากอยู่เคียงข้างเค้า และตลอดเวลาที่เราใช้เวลาร่วมกันมา ศาสนาอิสลามก็มีแต่เรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้น ฉันอยากเรียนรู้ศาสนาและใช้ชีวิตอย่างถูกต้องไปกับเขา
ฉันตัดสินใจกลับบ้านเกิด เพื่อที่จะบอกถึงการตัดสินใจครั้งนี้กับพ่อแม่ แต่ยังไม่ทันจะได้คุยกับแม่ เขาก็โทรมา
เขาโทรมาบอกว่า “ผมตัดสินใจที่จะแต่งงาน และมีคนที่จะแต่งงานด้วยแล้ว” ตัวฉันชา ฉันพูดไม่ออก ความรู้สึกตอนนี้เหมือนโลกทั้งใบของฉันได้แตกสลาย ความตั้งใจในอนาคตที่อยากใช้ชีวิตร่วมกับเขาต้องพังลง
ฉันได้แต่ถามเขาซ้ำไปซ้ำมาว่า “ทำไมคุณถึงไม่บอกให้ฉันทราบก่อนที่คุณจะตัดสินใจเรื่องนี้”
เขาตอบได้เพียงว่า “ผมขอโทษ ผมตัดสินใจไปแล้ว”
เป็นครั้งแรกที่คำว่า “ขอโทษ” ไม่มีความหมายใดๆกับชีวิตของฉันเลย
ฉันเล่าเหตุการณ์ครั้งนี้ให้แม่ได้รับรู้ ทุกคนในครอบครัวต่างบอกว่า ศาสนาอิสลามโหดร้ายและเห็นแก่ตัว เพื่อนๆและคนรอบข้างต่างบอกให้ถอยออกมาและเริ่มต้นใหม่ซะ
“เพียงแค่เราต้องเลิกกันใจฉันก็สลายมากพอแล้ว แต่ตอนนี้ฉันเหมือนถูกเขาเหยียบย่ำหัวใจจนแตกไม่เป็นชิ้นดี”
อย่างน้อย”คุณควรบอกเลิกกับฉันให้มันถูกต้อง ก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงาน”
เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ฉันรู้ว่าคนที่อยู่ข้างกายเรา คือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ว่าจะเกิดอะไรเขาก็รักเรา ฉันรู้สึกเสียใจมากที่ละเลยพวกเขา ไม่สนใจพวกเขามาเป็นเวลานาน แม่เข้ามากอด ย่าเกาหลังและตบตูดจนเราเผลอหลับไป ไม่มีความสุขใดๆ เทียบเท่ากับคนที่อยู่เคียงข้างเรา (ฉันเชื่อว่ากว่าหลายคนจะตระหนักถึงสิ่งนี้ ก็จนกว่าจะพบความสูญเสียอย่างฉัน แต่ฉันอยากให้ทุกคนให้ความสำคัญกับพวกเขา โดยเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ โดยไม่ต้องรอให้เราต้องเสียใจถึงจะตระหนักถึง เพราะบางทีมันอาจจะสายเกินไป)
หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ฉันทำได้เพียงแค่ยอมรับและจากมาอย่างเจ็บปวด ฉันถามกับตัวเองหลายครั้งว่าทำไมคนเราที่รักกันมานาน จนบางครั้งไม่ต้องพูดอะไรก็เข้าใจ ทำไมถึงได้ทำร้ายจิตใจกันถึงขนาดนี้ และเพราะฉันเชื่อมั่นเหลือเกินว่าทุกสิ่งที่ฉันมี ฉันมอบให้เขาทั้งหมด แต่กับเหตุการณ์ครั้งนี้มันเหมือนกับสิ่งที่เราทำให้เขามาตลอด 9 ปี มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย (ทุกวันนี้ฉันยังบอกกับตัวเองว่า เขาอาจจะหลอกเรา เพื่อพิสูจน์เราหรือเปล่า และสักวันหนึ่งเขาอาจจะเดินมาบอกเราว่า ทั้งหมดนี้ผมทำเพื่อพิสูจน์คุณครับ)
เพราะอะไร คุณถึงตัดสินใจเช่นนี้?
เราเป็นคนไทยพุทธจะถือว่าเป็นคนไม่มีศาสนาก็ว่าได้ ส่วนเขาเป็นมุสลิมค่ะ
เรื่องราวของเราย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ตั้งแต่เรียนปริญญาตรี ตลอดระยะ 4 ปีเรารักและดูแลกันเป็นอย่างดี ฉันรักเขาทั้งหมดของหัวใจและทำตามทุกสิ่งที่เขาแนะนำ เพราะเรามั่นใจในตัวเขามาก
เนื่องจากเราคบกันนานและช่วยเหลือกันมาตลอด ทางบ้านของเขาจึงบอกว่าหากจะคบกันต่อไปก็ควรทำให้ถูกต้องตามหลักศาสนา นั่นคือ “ฉันต้องเป็นมุสลิมด้วยหัวใจ ไม่ใช่เพราะเป็นมุสลิมเพียงแค่อยากแต่งงานกับเขา”
ฉันเข้าใจในความหมายของประโยคนี้เป็นอย่างดี ฉันเปิดใจศึกษาศาสนาอิสลาม แต่ก็ยอมรับว่า ณ ช่วงเวลานั้น ฉันไม่ได้ให้ความสำคัญกับศาสนามากเท่าไหร่ เพราะฉันยังคิดว่ามีอะไรหลายอย่างที่ยังต้องทำและต้องรับผิดชอบ
เรื่องราวของเราก็ดำเนินต่อไป แต่เราก็เริ่มห่างกันด้วยหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ฉันเข้าทำงานบริษัท ส่วนเขาเรียนปริญญาโทด้านศาสนาที่ภาคใต้ เราห่างกันทั้งระยะทางและความแข็งแกร่งในศาสนา แต่เราก็ยังพูดคุยกันปกติ และความรู้สึกที่มีต่อเขาก็ยังเป็นเช่นเดิม
ฉันตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่ออยากทบทวนถึงความต้องการในชีวิตของตัวเอง ด้วยระยะเวลาที่เราคบกันมานาน เขาดูแลฉันอย่างดี ฉันก็รักและพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป
และเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ฉันได้มีโอกาสไปช่วยงานของครอบครัวของเขาที่ภาคใต้ ฉันเต็มใจ ฉันละทิ้งทุกอย่างและยินดีไปช่วยงาน แต่กลับกลายเป็นว่า “เหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆตามมาอย่างคาดไม่ถึง”
การไปของฉันทำให้ญาติพี่น้องของเขาไม่พอใจ เพราะการที่ฉันจะอยู่ใกล้กับเขาแบบนั้นมันผิดมหันต์
แต่ฉันก็บริสุทธิ์ใจ เพราะการไปช่วยงานครั้งนี้ ครอบครัวของเขาเป็นผู้ตัดสินใจให้ฉันไปช่วย
ฉันจึงต้องกลับ กทม แต่ก่อนกลับ เราก็ได้คุยกันถึงความรักของเรา เพราะเรายังรักกันมาก และฉันก็ยังละเลยกับการศึกษาศาสนา เขาบอกกับฉันว่า “ผมอยากแต่งงานอย่างถูกต้องตามศาสนา” ฉันเข้าใจอย่างเต็มอกว่าความหมายของประโยคนี้คืออะไร
ฉันกลับมา กทม พร้อมกับเปิดใจศึกษาศาสนาอย่างจริงจัง เพราะฉันคิดว่า ผู้ชายคนนี้คือคนที่ฉันอยากอยู่เคียงข้างเค้า และตลอดเวลาที่เราใช้เวลาร่วมกันมา ศาสนาอิสลามก็มีแต่เรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้น ฉันอยากเรียนรู้ศาสนาและใช้ชีวิตอย่างถูกต้องไปกับเขา
ฉันตัดสินใจกลับบ้านเกิด เพื่อที่จะบอกถึงการตัดสินใจครั้งนี้กับพ่อแม่ แต่ยังไม่ทันจะได้คุยกับแม่ เขาก็โทรมา
เขาโทรมาบอกว่า “ผมตัดสินใจที่จะแต่งงาน และมีคนที่จะแต่งงานด้วยแล้ว” ตัวฉันชา ฉันพูดไม่ออก ความรู้สึกตอนนี้เหมือนโลกทั้งใบของฉันได้แตกสลาย ความตั้งใจในอนาคตที่อยากใช้ชีวิตร่วมกับเขาต้องพังลง
ฉันได้แต่ถามเขาซ้ำไปซ้ำมาว่า “ทำไมคุณถึงไม่บอกให้ฉันทราบก่อนที่คุณจะตัดสินใจเรื่องนี้”
เขาตอบได้เพียงว่า “ผมขอโทษ ผมตัดสินใจไปแล้ว”
เป็นครั้งแรกที่คำว่า “ขอโทษ” ไม่มีความหมายใดๆกับชีวิตของฉันเลย
ฉันเล่าเหตุการณ์ครั้งนี้ให้แม่ได้รับรู้ ทุกคนในครอบครัวต่างบอกว่า ศาสนาอิสลามโหดร้ายและเห็นแก่ตัว เพื่อนๆและคนรอบข้างต่างบอกให้ถอยออกมาและเริ่มต้นใหม่ซะ
“เพียงแค่เราต้องเลิกกันใจฉันก็สลายมากพอแล้ว แต่ตอนนี้ฉันเหมือนถูกเขาเหยียบย่ำหัวใจจนแตกไม่เป็นชิ้นดี”
อย่างน้อย”คุณควรบอกเลิกกับฉันให้มันถูกต้อง ก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงาน”
เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ฉันรู้ว่าคนที่อยู่ข้างกายเรา คือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ว่าจะเกิดอะไรเขาก็รักเรา ฉันรู้สึกเสียใจมากที่ละเลยพวกเขา ไม่สนใจพวกเขามาเป็นเวลานาน แม่เข้ามากอด ย่าเกาหลังและตบตูดจนเราเผลอหลับไป ไม่มีความสุขใดๆ เทียบเท่ากับคนที่อยู่เคียงข้างเรา (ฉันเชื่อว่ากว่าหลายคนจะตระหนักถึงสิ่งนี้ ก็จนกว่าจะพบความสูญเสียอย่างฉัน แต่ฉันอยากให้ทุกคนให้ความสำคัญกับพวกเขา โดยเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ โดยไม่ต้องรอให้เราต้องเสียใจถึงจะตระหนักถึง เพราะบางทีมันอาจจะสายเกินไป)
หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ฉันทำได้เพียงแค่ยอมรับและจากมาอย่างเจ็บปวด ฉันถามกับตัวเองหลายครั้งว่าทำไมคนเราที่รักกันมานาน จนบางครั้งไม่ต้องพูดอะไรก็เข้าใจ ทำไมถึงได้ทำร้ายจิตใจกันถึงขนาดนี้ และเพราะฉันเชื่อมั่นเหลือเกินว่าทุกสิ่งที่ฉันมี ฉันมอบให้เขาทั้งหมด แต่กับเหตุการณ์ครั้งนี้มันเหมือนกับสิ่งที่เราทำให้เขามาตลอด 9 ปี มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย (ทุกวันนี้ฉันยังบอกกับตัวเองว่า เขาอาจจะหลอกเรา เพื่อพิสูจน์เราหรือเปล่า และสักวันหนึ่งเขาอาจจะเดินมาบอกเราว่า ทั้งหมดนี้ผมทำเพื่อพิสูจน์คุณครับ)