เคยมั๊ย? ไปใช้บริการที่คลีนิคชื่อดัง แต่ได้รับความรู้สึกแย่ๆกลับมา !

ยาวหน่อยนะ แต่มันต้องเล่า(แบบละเอียด อยากมีคนรับฟัง T T ) เรื่องมีอยู่ว่าวันนี้วันพฤหัสบดี ที่5 ก.พ.58 เลยไปตัดผม 555 พอตัดเสร็จก็ว่างไง หาเรื่อง 555 เลยกะจะไปหาหมอ คลีนิคย่านประชาสงเคราะห์ เพราะมีสิทธิของบัตรAIA ซึ่งใช้ฟรีกับ รพ.เอกชนทุกแห่ง และด้วยตาที่เคยเป็นกุ้งยิง ซึ่งมันหายแล้วรอบนึง มีอาการบวมเป็นรอบสอง เลยตัดสินใจเข้าไปสอบถามกับพยาบาลว่า คลินิกนี้เขาจะสามารถให้เราใช้สิทธิได้หรือไม่ พอยื่นบัตรตรวจสอบ(ประมาณ5นาที) แล้วพบว่าใช้ได้ พยาบาลวัดความดัน และก็รอพบหมอปกติ (กำลังมันส์ละ .. ) พอถึงคิวเรา หมอก็เรียก ก็เดินเข้าไปนั่งในห้อง ก็เหมือนคลินิกทั่วๆไป..
การสนทนาเริ่มขึ้น (อันนี้คือการสนทนาจริงๆ ไม่มีอคติ และเสริมเติมเเต่งแน่นอน 100% ด้วยเกียรติลูกเสือและยุวกาชาด55)
..........................................................................
คุณหมอ : เป็นอะไรมา?
ผม : ตาผมบวมครับคุณหมอ คือว่า ตาผมเคยบวมมาแล้วรอบนึง(ไม่กล้าพูดว่าเป็นกุ้งยิง เพราะเราก็ไม่รู้จริง แต่ก็อ่านในเน็ตมาบ้างแล้วหละ ว่ามันคือกุ้งยิง) พอกินยาแล้วมันก็หายไปแล้วนะครับ แต่พอสองวันนี้มันก็บวมขึ้นอีก (ในขณะที่เราพูดก็คิดว่าหมอคงฟังเรา คงเก็บข้อมูลอยู่ หมอเลยเงียบ ก็เลยพูดต่อไปพร้อม ดูหมอนั่งเขียนๆไรไม่รู้ เหมือนหมอฟังเราอยู่นะ เราก็พูดต่อไปว่า กลัวจะได้ผ่าตัดเลยมาหาหมอครับ) สักพักหมอเงียบ เราก็เลยเงียบ หยุดนิ่ง และสักพักหมอเขียนเสร็จ ก็ดูตาเรา เหมือนเก็บข้อมูลเรียบร้อยแล้วไรงี๊ แต่จริงๆเขาไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับเราเลย
หมอ : ไหนตาบวม (เอาไฟฉายมาส่อง) ดึงเปลือกตาขึ้น และให้มองลงล่าง ผมก็ทำตาม โดยหมอดึงขึ้นแรงมาก แต่ยังคิดบวก เจ็บแต่คิดว่าอาจเป็นตาเราบวม มั้ง!! แต่ตอนนี้ที่ตาบวม มันไม่เจ็บนะ แม้จะจับก็ไม่เจ็บ มันเป็นก้อนๆ (คือเราให้ความร่วมมือนะ พูดจากะหมอดีนะ สุภาพเป็นมิตร เพราะไม่ได้มีไรกะหมอมาก่อนอยู่แล้ว และตัวเองก็ทำงานบริการ น้ำเสียงท่าทาง ไม่มีวี่แววว่าจะว่าหมอเลย หรืออวดฉลาดอวดรู้อะไร แต่อย่างใดเลย ) ..อืมต่อนะ หมอก็ให้เราดึงเปลือกตาขึ้น (พลิกออกมาด้านนอก ก็ทำตาม) หลังจากนั้น
............................................ เริ่ม แบทเทิล 55 .......................................................................
หมอ : “ต่อไปนี้หมอจะพูดนะ และระหว่างนี้ห้ามพูดแทรก ให้หมอพูดจบก่อน หากมีข้อสงสัย หมอจะบอกให้พูดได้หลังจากนี้”
ผม : ครับ (ยิ้มด้วยนะ โลกสวย55 แต่ก็แอบคิดว่าด่ากุยุป่ะวะ แต่เราไม่ได้พูดมากเลยนะ ก็คิดว่า มันเป็นสไตล์ของหมอคนนี้)
หมอ : อ่า.. จากที่หมอเห็นนะ โรคนี้ถ้าเรียกเป็นภาษาชาวบ้าน คือโรคตาแดง และถ้าภาษาหมอ เรียกว่าเยื่อบุตาอักเสบ (*แอบคิดในใจ ชาวบ้านน่าจะเรียกตากุ้งยิงนะ ตาแดงมันก็แดงซิ นี่ก็ยังเชื่อและฟังต่อไป ไม่กล้าถาม เราก็ไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้มาก่อน และเพราะว่าเขาเป็นหมอผู้มีความรู้ เขารู้จริงรู้ลึก และหากสงสัยก็ห้ามพูดแทรก รอถามก็ได้วะ 55)
จบประเด็นนี้ไป ผมก็ยังพอรับได้ หมอเริ่มพูดต่อ >>

หมอ : ที่ตามันบวมเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดนึง และในโลกใบนี้ไม่มียาตัวไหนรักษาและฆ่าเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ นอกจากตัวเราเอง ในฤดูหนาว จะพบไวรัสตัวนี้อยู่เป็นจำนวนมาก คนจึงเป็นตาแดงมากในช่วงนี้ (แปลกใจ เหมือนเล่านิทาน เขาก้มเหมือนอ่านอะไร แต่ไม่มีอะไรบนโต๊ะ ไม่มองหน้าเรานะ หมอกล่าวสุนทรพจน์อยู่ หรือป่าววะ นี่ก็ คิดตามเนื้อเรื่องที่หมอพูด ... แอบสงสัย นึกว่าหมอขี้อาย) ร่างกายของคนเราเท่านั้นที่จะรักษาโรคนี้ให้หายได้ไม่ใช่ยา การกินยาไม่ใช่วิธีการรักษาโรคนี้ ..
ผม : ยิ้ม ^^ ( อย่างตั้งใจฟัง พยายามจับประเด็น กลัวหมอดุ)
หมอ : โดยร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดขาว มาทำการฆ่าเชื้อไวรัสตัวนี้ (เออๆเหมือนเคยเรียน คิดในใจนะ) และสาเหตุที่โรคนี้กลับมาเป็นอีกเนื่องจากว่า มีสาเหตุมาจาก 3 สิ่งนี้แน่นอน และผมมั่นใจว่า ที่ผ่านมา คุณไม่ได้ทำมัน (นางมั่นใจมาก โดยยังไม่ได้ฟังข้อมูลจากเราเลยนะ เราก็ลุ้นว่าอะไรว่ะ >> โห หมอคนนี้เก่งน่าดูวะ 3อย่างเอง ตาที่บวมหายเลยอะ มันคงเป็นเคล็ดลับจริงๆ คิดไม่ผิดที่มาหาหมอ ตอนนั้นผมคิดแบบนี้ ซึ่ง Over มากๆ อยากหายไง )
** ในวงเล็บคือคิดแบบนี้จริงๆนะ ในขณะที่เรานั่งฟังหมอ และในเหตุการณ์จริง มันก็คิดตามไปด้วยตลอด รู้สึกได้ตลอด **
สามอย่างคือ
-ข้อที่หนึ่ง คุณไม่ได้นอนก่อน สามทุ่ม ร่างกายคนเราต้องนอนอย่างน้อยวันละ แปดชั่วโมง ผมมั่นใจว่าคุณไม่ได้นอนก่อนสามทุ่ม และนอนไม่ครบแปดชั่วโมง แน่นอน ( ถ้าเรานอนครบแปดชั่วโมงหละ หมอจะไม่เงิบหรอวะ คือก็รับฟังไปแบบงงๆ อาจจะใช่ ? เอ๊ะ เหรอวะ? ตรรกกะ คงจะแบบว่า คนที่ป่วยทุกคน คงนอนไม่ครบแปดชั่วโมง เลยมาหาหมอ555 งั้นลุ้นข้อต่อไป)
-ข้อสอง ต้องล้างมือทุกครั้ง ก่อนจะจับหรือขยี้ตา (ก็ยังไม่แปลกนะ ปกติ ก็คนทั่วไปก็รู้ได้ เคล็ดลับตรงไหน)
-ข้อสาม ห้ามใส่คอนแทคเลนส์ ให้ใส่แว่นตาแทน เพราะในดวงตาของคนเราเม็ดเลือดขาวจะไปฆ่าเชื้อไวรัสได้ หากใส่คอนแทคเชื้อไวรัสจะไปเกาะแล้วเม็ดเลือดขาวไม่สามารถไปทำลายมันได้ เพราะมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต และหากนำกลับมาใส่ใหม่มันก็จะทำให้เป็นโรคอีก (คือเราไม่เคยใส่คอนแทคเลย ก็ไม่ถามเรานะ ก็คิดว่า เออให้หมอพูดเลย แทรกก็ไม่ได้อยู่ดี .. หมอเน้นมาก เหมือนว่าเราบอกว่าเราใส่อย่างงั้นแหละ) ... จบสามข้อแล้ว แต่ก็ยังงงอยู่ดีว่า มันเกี่ยวกับโรคตรงไหน วินัจฉัยโรคเหมือนว่า คนที่มาส่วนมาก เป็นแบบนี้ ก็พูดเลยพูดแบบนี้ เหมือนพูดไปงั้นๆ ไม่ได้เจาะลึกอะไรเลย..

>>> เด็ดสุดตรงนี้ !!!!!!!!!!!

หมอ : มีอะไรสงสัย ที่หมอพูดไหม?
ผม : ครับ คุณหมอ คือตาผมที่มันบวมอีกครั้งเนี่ย ทำไมมันถึงบวมอีกอะครับ
หมอ : คุณฟังภาษาไทยไม่เข้าใจหรอ?! ก็บอกแล้วไง ว่านอนไม่ครบแปดชั่วโมง!
ผม : อ๋อ ไม่ใช่ครับ คือก่อนหน้านี้ตอนที่เป็นครั้งแรก ตาผมมันจะบวม และอักเสบด้วยอะครับ แต่ครั้งนี้มันไม่ได้อักเสบ มันเหมือนจะเป็นก้อนครับ ผมกลัวว่าจะต้องผ่า ผมเลยมาหาหมออะครับ ( อธิบายด้วยน้ำสียงปกตินะ ถ้ามีการ Monitor ด้วยคงดีเนาะ QA กรณีนี้ ผมไม่มีทางผิดแน่นอน )
หมอ : คุณรู้ได้ไงว่ามันไม่ได้อักเสบ ?
ผม : อ๋อ.. คือก่อนหน้านี้ที่มันบวม มันบวมๆแดงและมันเจ็บ แต่ครั้งนี้มันไม่เจ็บ อะครับ
หมอ : “ผมจะไปรู้ได้ไง ผมไม่ได้นั่งอยู่กับคุณ” สตั้นแป๊บ แบบนี้หมอก็พูดออกมาได้
หมอ : “และไอ้ที่มันบวมเนี่ยเพราะต่อมน้ำเหลืองคุณมันบวม แล้วเม็ดเลือดขาวมันไม่ทำงาน คุณนอนน้อย ร่างกายไม่แข็งแรง มันเลยไม่สร้างเม็ดเลือดขาวมาฆ่าเชื้อ (แล้วคือ ใช้นิ้วชี้หน้าเราแบบจะจิ้มตาอยู่ละ ..เห้ย.. นี่เรื่องจริง ไม่ได้โอเวอร์นะ.. เราแต่งกายซอมซ่อหรอ? ก็เสื้อขาวที่ใส่ไปทำงาน กาง เกงกีฬาแบดฯ เสื้อผ้าก็มีราคานะ ก็ไม่ได้ดูโง่ หรือไม่มีการศึกษานะ พูดจารู้เรื่อง มีสติ )
ผม : “ก็รู้ครับ.... แต่มันไม่เหมือนกัน ก็เลยสงสัยครับ : ) ” (เออ ไม่ถามละก็ได้ กะจะจบการสนทนาแบบสวยๆ )
หมอ : แล้วผมจะเห็นด้วยมั้ย ว่าก่อนหน้านี้ ตาคุณเป็นยังไง ผมไม่ได้ไปนั่งอยู่ข้างๆคุณหนิ
ผม : “ก็ใช่ไงครับ ผมเลยอธิบายให้หมอฟังงาย ” (น้ำเสียง สีหน้า ท่าทางผมก็ยังปกตินะ พยายามจะจบให้สวยๆ ไม่อยากต่อความยาวกะหมอละ)
หมอ : คุณลุงหมอก็บ่น ต่อ “นี่ผมก็พูดให้เข้าใจง่ายๆแล้วนะครับ หรือจะให้ผมพูดอีกรอบนึง คุณทำสามอย่างนี้ให้ได้ก่อนเถอะ ผมพูดไม่เข้าใจตรงไหน ไม่เข้าใจที่ผมพูดตรงไหนหรอ มันง่ายๆเองนะ”
ผม : “อ๋อๆๆ เข้าใจละครับ” ยิ้มแบบแหยะๆ
หมอ : “มีอะไรจะถามอีกมั้ย”
ผม : ไม่มีแล้วครับ ( อยากจะเบะปากมากๆ ) แต่เราไม่จำเป็นต้องทำตัวแย่เหมือนเขา)
หมอ : งั้นก็รอรับยาด้านหน้าเลยครับll
................................. จบ การสนทนา ........................................

เห้อ..... วินิจฉัยโรค เหมือนเล่านิทาน พูดกว้างมาก เหมือนกับว่าแพทเทิลเดียวกันทุกราย ในโลกใบนี้/ ในฤดูหนาว อื่นๆ (คือตลก) และเวลาสอบถาม หมอก็พยายามหลีกเลี่ยงข้อซักถาม โดยการโยนความผิดให้กับคนไข้ ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวกับโรค (เช่น ตาบวม) ก็บอกว่าก่อนหน้านี้ ไม่ได้นอนก่อน3ทุ่ม และทานข้าวไม่ตรงเวลา ) ซึ่งเรายังไม่เคยพูดเลย เหมือนเดาๆเอา 55
พอพยายามอธิบายในข้อสงสัย ก็จะย้อนถามว่า "อันนี้ผมก็ไม่รู้ ผมไม่ได้ไปนั่งอยู่กับคุณ" 55 เอิ่มม.. พอถามว่าอาการแบบนี้มันเกิดจากอะไร ก็พูดคำเดิมว่า"ผมไม่ได้นั่งอยู่กับคุณ.. ผมจะรู้หรอ? และก่อนหน้านี้ผมก็ไม่ได้เห็น.. กับคุณ.." และทุกประโยคที่หมอพูด มันสัมผัสได้ถึงวุฒิภาวะและความไม่เป็นมืออาชีพ # นี่พูดจาด้วยดีๆ ไม่เคยพูดแทรกด้วยนะ แต่หมอแต่หมอดักไว้ก่อนเลยแย่มากๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
นิสัยเหมือนน้องเราเลยค่ะ 5555
นี่ถ้าไม่พูดถึงคลีนิคนี่ นึกว่าน้องเราเลยนะ แต่นางอยู่รพ. เวลาพูดชอบบอกเราห้ามเถียง ให้ฟังก่อน
ขนาดพิมพ์ไลน์ นางยังบอกห้ามพิมพ์แทรก แถมพอพิมพ์เสร็จต้องเซฟเก็บไว้อีกต่างหาก

เท่าที่เข้าใจนะ เหมือนเค้าจะรู้สึกว่าแบบคนไข้ส่วนมากอ่ะชอบทำเหมือนเก่งกว่าหมอ ชอบเถียงอะไรทำนองนี้
คล้ายๆว่ามีอคติในใจว่าเราจะไปเถียงเค้าอ่ะค่ะ
จริงๆเราก็ไม่ได้เถียงนะ แต่เราแค่สงสัยแล้วเราก็ถามเฉยๆ แล้วเค้าก็จะรู้สึกว่าเรากวน แล้วก็โมโห บ่นๆๆน่ะค่ะ
บางทีคุยกัน เราก็ตลกดี พูดเอง โกรธเอง งอนเอง ตุ๊บป่องๆไปละ เดี๋ยวซักพักก็หาย
เราก็เคยสงสัยเหมือนกันว่ากับคนไข้เค้าเป็นอย่างงี้หรือเปล่า
แต่ก็เห็นปีใหม่ คนไข้เอาของไปให้เยอะมาก ของแพงๆหลักพันหลักหมื่นก็มี บอกหมอดุ แต่รักษาหายไวดี
(ใจเรานี่คิดว่าคนไข้แอบเอายาพิษใส่ให้หรือเปล่าเนี่ย 555)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่