หลังจากที่วันก่อน จขกท ได้เขียนกระทู้เกี่ยวกับ Portfolio Management แบบง่ายๆ ไป (ง่ายแบบมีคำนวณนะจ๊ะ)
เพราะตั้งใจที่จะเก็บไว้อ่านเอง และเก็บไว้เป็นตัวอย่างให้เพื่อนๆ มือใหม่ เพื่อตอบคำถามที่มือใหม่ชอบถามกันว่า
Portfolio สมควร Lose ไม่เกินกี่ % - ถือหุ้นกี่ตัวดี - คัทลอสหุ้นที่เท่าไหร่ - สมควรเพิ่มเงินใส่ Portfolio เมื่อไร
ก็มีท่านพี่มือใหม่คนนึงได้ Line มาถามว่า ... แล้วช่วงแรกๆ จะ Lose ได้ไม่เกินกี่ครั้ง ??? ซึ่งเจ้าของกระทู้
ไม่ได้เตรียมคำตอบไว้ แต่ไหนๆก็หาคำตอบมาแล้วก็เลยเอามาเขียนเล่น แปะเก็บไว้อีก 1 กระทู้ก็แล้วกัน
ขออนุญาติ Refer ถึงกระทู้ก่อนหน้านี้นิดส์นึง
ก่อนหน้านี้ จขกท ได้ตั้งเงื่อนไขไว้ว่า ถ้าวันนึงเรารู้สึกไม่ไหวแล้วกับการลงทุนในหุ้น และต้องการให้เงินต้น
กลับมาที่เดิม ด้วยการฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตร ที่มีผลตอบแทน 3 - 5 % โดยที่ไม่นำเงินเดือนหรือ
รายได้อื่นๆมาโปะเลย
เราจะต้องใช้เวลากี่ปี ซึ่งเมื่อคำนวณออกมาแล้วได้ผลออกมาตามตารางต่อไปนี้

และ จขกท ได้ตั้งสมมติฐานไว้ว่า ถ้าเรายอมรับระยะเวลาโดยเฉลี่ยได้ที่ 10 ปี
นั่นแปลว่า
เราจะต้องควบคุมให้ Portfolio ของเราให้ไม่ Lose เกิน 30% โดยประมาณ
โดยวิธีการคำนวณแบบง่ายที่สุดสำหรับมือใหม่คือ แบ่งเงินเป็นก้อนเท่าๆกัน และแบ่งความเสี่ยงของพอร์ทเท่าๆกัน
เพราะเราไม่รู้ว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นเยอะหรือขึ้นน้อย ... หรือถ้าชัวร์แน่ๆ ด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม จะซัดไปเลยอันนี้ก็แล้วแต่
ซึ่งวิธีการ แบ่งเงินเป็นก้อนเท่าๆกัน และแบ่งความเสี่ยงของพอร์ทเท่าๆกัน เป็นรูปแบบที่ 1 ใน 6 รูปแบบที่ จขกท ได้สรุปไว้คือ
1) ตั้ง Position Size เท่ากัน / ตั้ง Risk to Cap % เท่ากัน จะได้ Loss % เท่ากัน
2) ตั้ง Position Size ไม่เท่ากัน / ตั้ง Risk to Cap % เท่ากัน จะได้ Loss % ที่ไม่สมเหตุสมผล
3) ตั้ง Position Size เท่ากัน / ไม่ตั้ง Risk to Cap % / ตั้ง Loss % ไม่เท่ากัน จะได้ Total Risk ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
4) ตั้ง Position Size ไม่เท่ากัน / ไม่ตั้ง Risk to Cap % / ตั้ง Loss % ไม่เท่ากัน จะได้ Total Risk ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
5) ไม่ตั้ง Position Size / ตั้ง Risk to Cap % เท่ากัน / ตั้ง Loss % ไม่เท่ากัน จะได้ Capital ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
6) ไม่ตั้ง Position Size / ตั้ง Risk to Cap % ไม่เท่ากัน / ตั้ง Loss % ไม่เท่ากัน จะได้ Capital ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
โดยถ้าเราคำนวณในรูปแบบที่ 1 จะได้ผลออกมาตามตารางต่อไปนี้

จากตารางด้านบนจะเห็นได้ว่า จขกท แบ่งเงิน 1,000,000 บาท เป็นจำนวน 15 ก้อน ก้อนละ 66,667 บาท - สีแดงเข้ม
โดย Total Risk เท่ากับ 30% และหุ้นแต่ละตัวมี Risk to Capital ที่ 2% ของพอร์ท หรือ 20,000 บาท - สีแดงสด
ซึ่งแปลว่า Loss % ของเงินแต่ละก้อน จะเท่ากับ 30% คิดมาจาก (20,000/66,667) x 100 - สีฟ้าสด
ทีนี้คำถามมีอยู่ว่าแล้วถ้าเรา แบ่งเงิน (Position Sizing) และ แบ่งความเสี่ยง (Risk to Cap %) เท่าๆกัน
ด้วยตัวเลขอื่นที่ไม่ใช่ 15 ก้อน ก้อนละ 66,667 บาท และ ความเสี่ยงที่ 2% จะได้ Loss % ที่เท่าไหร่บ้าง
และเพื่อความสมเหตุสมผล จขกท ได้ปรับ Risk to Cap % ให้มีค่าต่างๆกันเพื่อให้ Total Risk % ของพอร์ท ไม่เกิน 30%
ตามที่เราได้กำหนดไว้ข้างต้น ... เพราะเราคงไม่อยากใช้เวลาเกิน 10 ปี เพื่อฝากเงินให้ต้นทุนของเรากลับมาที่เท่าเดิม

จากตารางด้านบน หลายๆคนคงคิดว่า ... งั้น Cut Loss เร็วๆดีกว่าไหม พอร์ทจะได้ไม่พัง แต่เดี๋ยวก่อน จขกท อยากเตือนไว้ว่า
นอกจากหุ้นมีความเสี่ยงแล้ว หุ้นยังมีความเหวี่ยงอีกด้วย ซึ่งถ้าเรา Cut Loss เร็วเกินไป อาจจะทำให้เราพลาดโอกาสดีๆไปก็ได้
วนกลับมาที่คำถามที่ได้เกริ่นไว้ ... แล้วช่วงแรกๆ จะ Lose ได้ไม่เกินกี่ครั้ง ??? ซึ่ง จขกท ได้ถามกลับไปว่า ท่านพี่จะ Loss ติดต่อกัน
แบบ Maximum Limit หรืออย่างไร เพราะถ้าถูกบ้างผิดบ้าง คงคิดให้ไม่ได้ ... ท่านพี่ก็บอกว่า ขอแบบ Worst Case เลยแล้วกัน
โดยวิธีการคิดของ จขกท จะเป็นในรูปแบบของ Anti-Martingale System คือ ถ้าในล็อทแรก เราซื้อหุ้น 5 ตัวแล้วขาดทุนทั้งหมด
ในล็อทต่อไปที่จะซื้ออีก 5 ตัว เราจะลด Position Sizing ลงตามเงินต้นที่ยังคงเหลือ จนกว่าเงินจะเหลือที่ 70% ของพอร์ท
ทีนี้เรามาดูกันว่า ถ้าเราจะ Lose แบบ Worst Case ในแต่ละ Risk at Cap % และ จำนวน Stocks ที่ได้แปะตารางไว้ข้างต้น
เราจะ Lose ทั้งหมดได้กี่ครั้ง พอร์ทเราถึงจะลดเหลือจาก 1,000,000 เป็น 700,000 หรือ -30% ตามที่เรากำหนดไว้
อ๊ะ รูปสุดท้ายแล้วสำหรับเช้านี้ ... ไปดูกัน

ขออนุญาติอธิบายเป็นตัวอย่างนิดส์นึง ดูตรงสีชมพูอ่อนน๊ะจ๊ะ
- ถ้าถือหุ้น 5 ตัว แต่ละตัวมี Risk at Cap 1% จะต้อง Cut Loss ที่ 5% ถึงจะสามารถผิดพลาดติดต่อกันได้ 34 ครั้ง
- ถ้าถือหุ้น 10 ตัว แต่ละตัวมี Risk at Cap 1% จะต้อง Cut Loss ที่ 10% ถึงจะสามารถผิดพลาดติดต่อกันได้ 33 ครั้ง
- ถ้าถือหุ้น 15 ตัว แต่ละตัวมี Risk at Cap 1% จะต้อง Cut Loss ที่ 15% ถึงจะสามารถผิดพลาดติดต่อกันได้ 33 ครั้ง
- ถ้าถือหุ้น 20 ตัว แต่ละตัวมี Risk at Cap 1% จะต้อง Cut Loss ที่ 20% ถึงจะสามารถผิดพลาดติดต่อกันได้ 32 ครั้ง
- ถ้าถือหุ้น 25 ตัว แต่ละตัวมี Risk at Cap 1% จะต้อง Cut Loss ที่ 25% ถึงจะสามารถผิดพลาดติดต่อกันได้ 31 ครั้ง
- ถ้าถือหุ้น 30 ตัว แต่ละตัวมี Risk at Cap 1% จะต้อง Cut Loss ที่ 30% ถึงจะสามารถผิดพลาดติดต่อกันได้ 30 ครั้ง
ลองสังเกตุดูดีๆว่า ยิ่งถ้าเรากระจายการถือหุ้นเยอะตัวเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งผิดพลาดติดต่อกันได้มากขึ้นเท่านั้น
แต่ถ้ายิ่งเรา Cut Loss ด้วย % ที่มากเท่าไหร่ เราก็จะผิดพลาดติดต่อกันได้น้อยลงเท่านั้น เพราะฉะนั้นเอาแต่พอดีนะจ๊ะ
หวังว่ากระทู้นี้คงมีประโยชน์ให้มือใหม่ รู้จักการ Cut Loss บ้างไม่มากก็น้อย ... หากมีข้อผิดพลาดประการใด
ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้า ณ ที่นี้ ด้วยจ้า อันนี้ Link กระทู้ก่อนหน้า
http://pantip.com/topic/33193689/comment2
ป.ล. เนื่องจากกระทู้ไหลไว จขกท เลยมีนโยบายอยากเก็บกระทู้ที่เขียนไปรวมกันในที่ๆเดียว ที่ไม่ใช่ Pantip และไม่ใช่ FB
รบกวนใครช่วยแนะนำ เว็ปเพจที่ดีๆที่ไม่ใช่ Word Press ให้หน่อย จะขอบคุณมากจ๊ะ

เมื่อไหร่ Pantip จะมีให้ Tag - Quantitative Analysis นี่ เอิ๊ก
Portfolio Management - เราจะ Lose ติดต่อกันได้กี่ครั้ง !!!
เพราะตั้งใจที่จะเก็บไว้อ่านเอง และเก็บไว้เป็นตัวอย่างให้เพื่อนๆ มือใหม่ เพื่อตอบคำถามที่มือใหม่ชอบถามกันว่า
Portfolio สมควร Lose ไม่เกินกี่ % - ถือหุ้นกี่ตัวดี - คัทลอสหุ้นที่เท่าไหร่ - สมควรเพิ่มเงินใส่ Portfolio เมื่อไร
ก็มีท่านพี่มือใหม่คนนึงได้ Line มาถามว่า ... แล้วช่วงแรกๆ จะ Lose ได้ไม่เกินกี่ครั้ง ??? ซึ่งเจ้าของกระทู้
ไม่ได้เตรียมคำตอบไว้ แต่ไหนๆก็หาคำตอบมาแล้วก็เลยเอามาเขียนเล่น แปะเก็บไว้อีก 1 กระทู้ก็แล้วกัน
ขออนุญาติ Refer ถึงกระทู้ก่อนหน้านี้นิดส์นึง
ก่อนหน้านี้ จขกท ได้ตั้งเงื่อนไขไว้ว่า ถ้าวันนึงเรารู้สึกไม่ไหวแล้วกับการลงทุนในหุ้น และต้องการให้เงินต้น
กลับมาที่เดิม ด้วยการฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตร ที่มีผลตอบแทน 3 - 5 % โดยที่ไม่นำเงินเดือนหรือ
รายได้อื่นๆมาโปะเลย เราจะต้องใช้เวลากี่ปี ซึ่งเมื่อคำนวณออกมาแล้วได้ผลออกมาตามตารางต่อไปนี้
และ จขกท ได้ตั้งสมมติฐานไว้ว่า ถ้าเรายอมรับระยะเวลาโดยเฉลี่ยได้ที่ 10 ปี
นั่นแปลว่า เราจะต้องควบคุมให้ Portfolio ของเราให้ไม่ Lose เกิน 30% โดยประมาณ
โดยวิธีการคำนวณแบบง่ายที่สุดสำหรับมือใหม่คือ แบ่งเงินเป็นก้อนเท่าๆกัน และแบ่งความเสี่ยงของพอร์ทเท่าๆกัน
เพราะเราไม่รู้ว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นเยอะหรือขึ้นน้อย ... หรือถ้าชัวร์แน่ๆ ด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม จะซัดไปเลยอันนี้ก็แล้วแต่
ซึ่งวิธีการ แบ่งเงินเป็นก้อนเท่าๆกัน และแบ่งความเสี่ยงของพอร์ทเท่าๆกัน เป็นรูปแบบที่ 1 ใน 6 รูปแบบที่ จขกท ได้สรุปไว้คือ
1) ตั้ง Position Size เท่ากัน / ตั้ง Risk to Cap % เท่ากัน จะได้ Loss % เท่ากัน
2) ตั้ง Position Size ไม่เท่ากัน / ตั้ง Risk to Cap % เท่ากัน จะได้ Loss % ที่ไม่สมเหตุสมผล
3) ตั้ง Position Size เท่ากัน / ไม่ตั้ง Risk to Cap % / ตั้ง Loss % ไม่เท่ากัน จะได้ Total Risk ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
4) ตั้ง Position Size ไม่เท่ากัน / ไม่ตั้ง Risk to Cap % / ตั้ง Loss % ไม่เท่ากัน จะได้ Total Risk ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
5) ไม่ตั้ง Position Size / ตั้ง Risk to Cap % เท่ากัน / ตั้ง Loss % ไม่เท่ากัน จะได้ Capital ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
6) ไม่ตั้ง Position Size / ตั้ง Risk to Cap % ไม่เท่ากัน / ตั้ง Loss % ไม่เท่ากัน จะได้ Capital ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
โดยถ้าเราคำนวณในรูปแบบที่ 1 จะได้ผลออกมาตามตารางต่อไปนี้
จากตารางด้านบนจะเห็นได้ว่า จขกท แบ่งเงิน 1,000,000 บาท เป็นจำนวน 15 ก้อน ก้อนละ 66,667 บาท - สีแดงเข้ม
โดย Total Risk เท่ากับ 30% และหุ้นแต่ละตัวมี Risk to Capital ที่ 2% ของพอร์ท หรือ 20,000 บาท - สีแดงสด
ซึ่งแปลว่า Loss % ของเงินแต่ละก้อน จะเท่ากับ 30% คิดมาจาก (20,000/66,667) x 100 - สีฟ้าสด
ทีนี้คำถามมีอยู่ว่าแล้วถ้าเรา แบ่งเงิน (Position Sizing) และ แบ่งความเสี่ยง (Risk to Cap %) เท่าๆกัน
ด้วยตัวเลขอื่นที่ไม่ใช่ 15 ก้อน ก้อนละ 66,667 บาท และ ความเสี่ยงที่ 2% จะได้ Loss % ที่เท่าไหร่บ้าง
และเพื่อความสมเหตุสมผล จขกท ได้ปรับ Risk to Cap % ให้มีค่าต่างๆกันเพื่อให้ Total Risk % ของพอร์ท ไม่เกิน 30%
ตามที่เราได้กำหนดไว้ข้างต้น ... เพราะเราคงไม่อยากใช้เวลาเกิน 10 ปี เพื่อฝากเงินให้ต้นทุนของเรากลับมาที่เท่าเดิม
จากตารางด้านบน หลายๆคนคงคิดว่า ... งั้น Cut Loss เร็วๆดีกว่าไหม พอร์ทจะได้ไม่พัง แต่เดี๋ยวก่อน จขกท อยากเตือนไว้ว่า
นอกจากหุ้นมีความเสี่ยงแล้ว หุ้นยังมีความเหวี่ยงอีกด้วย ซึ่งถ้าเรา Cut Loss เร็วเกินไป อาจจะทำให้เราพลาดโอกาสดีๆไปก็ได้
วนกลับมาที่คำถามที่ได้เกริ่นไว้ ... แล้วช่วงแรกๆ จะ Lose ได้ไม่เกินกี่ครั้ง ??? ซึ่ง จขกท ได้ถามกลับไปว่า ท่านพี่จะ Loss ติดต่อกัน
แบบ Maximum Limit หรืออย่างไร เพราะถ้าถูกบ้างผิดบ้าง คงคิดให้ไม่ได้ ... ท่านพี่ก็บอกว่า ขอแบบ Worst Case เลยแล้วกัน
โดยวิธีการคิดของ จขกท จะเป็นในรูปแบบของ Anti-Martingale System คือ ถ้าในล็อทแรก เราซื้อหุ้น 5 ตัวแล้วขาดทุนทั้งหมด
ในล็อทต่อไปที่จะซื้ออีก 5 ตัว เราจะลด Position Sizing ลงตามเงินต้นที่ยังคงเหลือ จนกว่าเงินจะเหลือที่ 70% ของพอร์ท
ทีนี้เรามาดูกันว่า ถ้าเราจะ Lose แบบ Worst Case ในแต่ละ Risk at Cap % และ จำนวน Stocks ที่ได้แปะตารางไว้ข้างต้น
เราจะ Lose ทั้งหมดได้กี่ครั้ง พอร์ทเราถึงจะลดเหลือจาก 1,000,000 เป็น 700,000 หรือ -30% ตามที่เรากำหนดไว้
อ๊ะ รูปสุดท้ายแล้วสำหรับเช้านี้ ... ไปดูกัน
ขออนุญาติอธิบายเป็นตัวอย่างนิดส์นึง ดูตรงสีชมพูอ่อนน๊ะจ๊ะ
- ถ้าถือหุ้น 5 ตัว แต่ละตัวมี Risk at Cap 1% จะต้อง Cut Loss ที่ 5% ถึงจะสามารถผิดพลาดติดต่อกันได้ 34 ครั้ง
- ถ้าถือหุ้น 10 ตัว แต่ละตัวมี Risk at Cap 1% จะต้อง Cut Loss ที่ 10% ถึงจะสามารถผิดพลาดติดต่อกันได้ 33 ครั้ง
- ถ้าถือหุ้น 15 ตัว แต่ละตัวมี Risk at Cap 1% จะต้อง Cut Loss ที่ 15% ถึงจะสามารถผิดพลาดติดต่อกันได้ 33 ครั้ง
- ถ้าถือหุ้น 20 ตัว แต่ละตัวมี Risk at Cap 1% จะต้อง Cut Loss ที่ 20% ถึงจะสามารถผิดพลาดติดต่อกันได้ 32 ครั้ง
- ถ้าถือหุ้น 25 ตัว แต่ละตัวมี Risk at Cap 1% จะต้อง Cut Loss ที่ 25% ถึงจะสามารถผิดพลาดติดต่อกันได้ 31 ครั้ง
- ถ้าถือหุ้น 30 ตัว แต่ละตัวมี Risk at Cap 1% จะต้อง Cut Loss ที่ 30% ถึงจะสามารถผิดพลาดติดต่อกันได้ 30 ครั้ง
ลองสังเกตุดูดีๆว่า ยิ่งถ้าเรากระจายการถือหุ้นเยอะตัวเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งผิดพลาดติดต่อกันได้มากขึ้นเท่านั้น
แต่ถ้ายิ่งเรา Cut Loss ด้วย % ที่มากเท่าไหร่ เราก็จะผิดพลาดติดต่อกันได้น้อยลงเท่านั้น เพราะฉะนั้นเอาแต่พอดีนะจ๊ะ
หวังว่ากระทู้นี้คงมีประโยชน์ให้มือใหม่ รู้จักการ Cut Loss บ้างไม่มากก็น้อย ... หากมีข้อผิดพลาดประการใด
ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้า ณ ที่นี้ ด้วยจ้า อันนี้ Link กระทู้ก่อนหน้า http://pantip.com/topic/33193689/comment2
ป.ล. เนื่องจากกระทู้ไหลไว จขกท เลยมีนโยบายอยากเก็บกระทู้ที่เขียนไปรวมกันในที่ๆเดียว ที่ไม่ใช่ Pantip และไม่ใช่ FB
รบกวนใครช่วยแนะนำ เว็ปเพจที่ดีๆที่ไม่ใช่ Word Press ให้หน่อย จะขอบคุณมากจ๊ะ