คำเตือน
กระทู้นี้ เจ้าของกระทู้ตั้งใจเขียนเพื่อเก็บไว้อ่านเอง และเก็บไว้เป็นตัวอย่างให้มือใหม่ ไม่ว่างไม่แนะนำให้อ่าน
เนื่องจากมันมีการคำนวณ และเล่นกับตัวแปร ซึ่งถ้าจะให้ดีต้องมานั่งสอนกัน พร้อมคอมคนละเครื่องจ้า
แต่ถ้ามือใหม่คนไหน อ่านแล้วเข้าใจก็อ่านไปเถอะจ้า เพราะมันเป็นคำถามที่มือใหม่ชอบถามจ้า
Portfolio สมควร Lose ไม่เกินกี่ % -
ถือหุ้นกี่ตัวดี -
คัทลอสหุ้นที่เท่าไหร่ -
สมควรเพิ่มเงินใส่ Portfolio เมื่อไร


Portfolio สมควร Lose ไม่เกินกี่ %
ถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือนระดับกลางธรรมดา หรือมนุษย์ขายของหาเช้ากินค่ำตามปกติ ไม่ได้มีเงินเดือนหรูหราฟู่ฟ่า
หรือเป็นเจ้าของโรงงาน ที่มีรายได้เกินเดือนละแสน สิ่งที่คุณสมควรคิดคือ ถ้าวันนึงคุณรู้สึกไม่ไหวแล้วกับการลงทุนในหุ้น
และต้องการให้เงินต้น กลับมาที่เดิม ด้วยการฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตร ที่มีผลตอบแทน 3 - 5 % โดยที่ไม่นำเงินเดือน
หรือรายได้อื่นๆมาโปะเลย คุณต้องใช้เวลากี่ปี สมมติว่าคุณมีเงินต้นที่ 1 ล้านบาท จะสามารถคิดออกมาได้ตามตารางข้างล่างนี้

สมมติว่าคุณรับได้ที่ระยะเวลา 10 ปี โดยเฉลี่ย นั่นแปลว่าคุณจะต้องควบคุมให้ Portfolio ของคุณให้ Lose ไม่เกิน 30% โดยประมาณ
ถือหุ้นกี่ตัวดี
จริงๆ เมื่อถึงวันนึง คุณจะสามารถตอบตัวเองได้ว่า "
กี่ตัวก็ได้ " ที่ทำให้ยังคงมีกำไรชนะตลาด และ มีความเสี่ยงรวมไม่เกิน 30%
หรือบางคนที่เดินตามสาย Value Investor อาจจะบอกว่าต้องทนได้ 50% ซึ่งอันนี้ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของตัวคุณเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังมีวิธีการอื่นอีกที่ทำให้คุณไม่จำเป็นต้องทนถือหุ้นในขาลง เช่นการ Short Against Port ซึ่งจะให้คุณได้
จำนวนหุ้นเพิ่ม เมื่อขายออกก่อนแล้วซื้อกลับ อีกทั้งอย่าลืมว่า ถ้าเป็นหุ้นที่มีปันผล ก็จะได้ปันผลเพิ่มเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วการที่คุณถือหุ้นไม่มากตัวและยอมที่จะ Lose ได้เยอะๆ นั้นคุณต้องถามตัวคุณเองด้วยว่า
ความรู้และความแม่นยำในการคาดการณ์อนาคต การเติบโตและการคงอยู่ของธุรกิจของคุณ มีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด
สำหรับมือใหม่ แนะนำให้เริ่มต้นจากวิธี การแบ่งเงินเพื่อซื้อหุ้นในปริมาณที่เท่ากัน หรือ การแบ่งความเสี่ยงที่เท่ากัน
ถามว่าแล้วแบ่งไม่เท่ากันได้ไหม คำตอบคือ "ได้" แล้วเมื่อคุณเทรดไปสักพัก คุณจะเข้าใจถึงหลักการของมันเอง
ทีนี้เรามาลองดูตัวตัวอย่างกัน ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยตอบคำถามในข้อต่อไปด้วยว่า Cut Loss หุ้นรายตัวที่เท่าไหร่ดี

ในแบบแรก มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- สีแดงเข้ม แบ่ง Capital 1,000,000 บาท เป็น Position Size 100,000 บาท เท่าๆกันได้ Stocks 10
- สีแดงสด แบ่ง Total Risk 30% เท่าๆกันด้วย Stocks 10 เป็น Risk to Cap 3% คิดออกมาเป็น Risk Amount 30,000 บาท
- สีเขียวสด นำ Position Size 100,000 บาท หารด้วย Entry Price 50 ได้จำนวน Shares 2,000 ทำแบบนี้กับ Stocks ตัวอื่นๆ
- หรือทำสลับกันด้วยการแบ่ง Total Risk 30% เป็น Risk to Cap 3% เท่าๆกันได้ Stocks 10 ก่อนก็ได้
ในแบบที่สอง เมื่อคุณถามว่าแบ่งเงินเพื่อซื้อหุ้นในปริมาณที่ไม่เท่ากัน แต่แบ่งความเสี่ยงเท่ากันได้ไหม จะได้ตารางดังต่อไปนี้

ซึ่งการแบ่งในแบบที่สองนี้ จะมีผลกระทบ ทำให้เกิด Loss % ที่ไม่สมเหตุสมผล (Column ขวาสุด) ซึ่งเป็นที่มาของแบบที่สาม
ในแบบที่สาม เมื่อคุณถามว่าแบ่งเงินเพื่อซื้อหุ้นในปริมาณที่ไม่เท่ากัน แล้วกำหนด Loss % เองได้ไหม จะได้ตารางดังต่อไปนี้

ซึ่งการแบ่งในแบบที่สามนี้ จะมีผลกระทบ ทำให้เกิด Risk to Cap % ที่ไม่เท่ากัน หรืออาจจะได้ Total Risk มากหรือต่ำกว่าที่กำหนดไว้
ในแบบที่สาม มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- สีแดงเข้ม แบ่ง Capital 1,000,000 บาท เป็น Position Size ไม่เท่ากันได้ Stocks 16
- สีแดงสด กำหนด Loss % ไม่เท่ากัน โดยขึ้นอยู่กับ Entry Price ที่มากหรือน้อย
- สีเขียวสด นำ Position Size 100,000 บาท หารด้วย Entry Price 50 ได้จำนวน Shares 2,000 ทำแบบนี้กับ Stocks ตัวอื่นๆ
- สีม่วง คิด Cut Loss Price จาก Entry Price x (1-Loss% ) เช่น 50 x (1-20%) = 40 บาท
คัทลอสหุ้นที่เท่าไหร่
บางครั้งการ Cut Loss หรือการ Stop Profit Loss เร็วเกินไป อาจจะทำให้คุณเสียโอกาสดีๆ แต่อย่างไรก็ตามถ้าคุณไม่ได้แน่ใจ
ว่าหุ้นตัวนั้นจะวิ่งขึ้นไปใหม่หรือไม่ สิ่งที่จำเป็นต้องคำนึงสิ่งแรกคือ Total Risk ของ Portfolio ของคุณ ซึ่งถ้าคุณปล่อยให้มันขาดทุน
จนกระทบกับ Portfolio โดยรวม นั่นคงไม่ดีแน่ เพราะคุณจะต้องเหนื่อยในการพยายามทำกำไรเพื่อชดเชยในส่วนที่ขาดทุนไป
จากแบบที่สาม ของคำถามว่าถือหุ้นกี่ตัวดี จะเห็นว่าได้กำหนด Loss % ที่ไม่เท่ากัน โดยขึ้นอยู่กับ Entry Price ที่มากหรือน้อย
แล้วนำมาคิดราคา Cut Loss Price ซึ่งการกำหนดแบบนี้จำเป็นต้องเรียนรู้ถึง Nature ของหุ้นว่ามีความเหวี่ยงมากน้อยแค่ไหน
หรือถ้าใครดูกราฟ ก็อาจจะกำหนด Cut Loss Price จากหลักการทาง Technical เช่น Lowest Low หรือ Previous Peak
หรือ ATR ก็ได้ อย่างไรก็ตามสำหรับมือใหม่ การกำหนด Cut Loss Price จาก Reserved Capital ซึ่งถูกคิดมาจาก
Position Size - Risk Amount ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ อาจจะสามารถช่วยคุณได้ มาดูขั้นตอนและตัวอย่างกัน

ในแบบที่สี่ จะเป็นตัวอย่างที่ตรงข้ามกับแบบแรก
- สีแดงเข้ม แบ่ง Total Risk 30% เป็น Risk to Cap 3% เท่าๆกันได้ Stocks 10
- สีแดงสด แบ่ง Capital 1,000,000 บาทเท่าๆกันด้วย Stocks 10 เป็น Position Size 100,000 บาท
- สีเขียวสด นำ Position Size 100,000 บาท หารด้วย Entry Price 50 ได้จำนวน Shares 2,000 ทำแบบนี้กับ Stocks ตัวอื่นๆ
- คิด Risk to Cap 3% ออกมาเป็น Risk Amount 30,000 บาท (Capital 1,000,000 x 3%)
- นำ Position Size 100,000 บาท ลบด้วย Risk Amount 30,000 บาท ได้ Reserved Cap 70,000 บาท
- สีฟ้า นำ Reserved Cap 70,000 บาท หารด้วย จำนวน Shares 2,000 จะได้ 35 บาท ทำแบบนี้กับ Stocks ตัวอื่นๆ *0*
ก่อนที่จะไปที่คำถามสุดท้าย มาดูกันว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรากำหนดแบ่ง Position Size ไม่เท่ากัน แล้วกำหนด Loss % ที่เท่ากัน

ซึ่งการแบ่งในแบบนี้ จะมีผลกระทบ ทำให้เกิด Risk to Cap % ที่ไม่เท่ากัน แต่จะได้ Total Risk ตามที่กำหนดไว้
สมควรเพิ่มเงินใส่ Portfolio เมื่อไหร่
เจ้าของกระทู้เห็นมือใหม่หลายคนเพิ่มเงินใส่ Portfolio เมื่อเกิดอาการขาดทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง
เพื่อนำเงินมาถัวซื้อหุ้นเพิ่ม ซึ่งถ้าหากคิดกันจริงๆแล้ว มันเป็นอะไรที่ทำให้ต้นทุนจมได้อีก ยิ่งถ้าหุ้นตัวนั้นไม่โงหัวขึ้นมาอีกเลย
แล้วหละก็ มันช่างเป็นอะไรที่ชี้ช้ำไปอีกหลายปี และถ้าหากทนไม่ไหวขายทิ้งก่อนแล้วมันดันขึ้น มันก็เจ็บใจยิ่งกว่าแฟนหนีไปมีกิ๊กซะอีก
เข้าเรื่องกันดีกว่า การที่จะเพิ่มเงินใส่ Portfolio ตามความเห็นของเจ้าของกระทู้นั้น สมควรทำเมื่อ เงินไม่พอซื้อหุ้นเพิ่มทุน ... เย้ยไม่ใช่
ถ้าไม่นับกรณีที่เรื่องจำเป็นอื่นๆแล้ว เวลาที่เหมาะสมที่สุดอาจจะเป็น เมื่อคุณสามารถผ่านช่วงตลาดขาลง(ลิฟท์) ไปได้โดยที่คุณขาดทุน
ไม่เกินจากที่กำหนดไว้ในตอนแรก บวกลบได้นิดหน่อย และก่อนหน้านั้นจะต้องมีหุ้นอยู่ใน Portfolio ตามปกตินะ ไม่ใช่ว่า Portfolio ว่าง
แล้วบอกว่าผ่านมาได้ หรือในอีกกรณีนึง คือในเวลาที่คุณเริ่มเห็นว่า Portfolio ของคุณมีการเติบโตแบบเสถียรแล้ว ซึ่งต้องใช้เวลาวัดกัน
พอสมควรไม่ใช่เล่น 2 เดือน เย้ๆ กำไรทั้ง 2 เดือน ทั้งนี้การบริหารเงินทุนยังมีอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปแบบสุดท้ายที่จะยกตัวอย่าง
โดยแบบที่ห้านี้ เกิดขึ้นเมื่อคุณถามว่าแบ่งความเสี่ยง Risk to Cap % เท่ากัน แล้วกำหนด Loss % เองได้ไหม จะได้ตารางดังต่อไปนี้

ซึ่งการแบ่งในแบบนี้ จะมีผลกระทบ ทำให้เกิด Position Size ที่ไม่เท่ากัน หรืออาจจะได้ Capital มากหรือต่ำกว่าที่กำหนดได้
จบแว้วเหนื่อย ...
สรุปสำหรับคนที่อ่านแล้วงง 555+ หลักๆ มี 6 รูปแบบดังต่อไปนี้จ้า
1) ตั้ง Position Size
เท่ากัน / ตั้ง Risk to Cap %
เท่ากัน จะได้ Loss % เท่ากัน
2) ตั้ง Position Size
ไม่เท่ากัน / ตั้ง Risk to Cap %
เท่ากัน จะได้ Loss % ที่ไม่สมเหตุสมผล
3) ตั้ง Position Size
เท่ากัน / ไม่ตั้ง Risk to Cap % / ตั้ง Loss %
ไม่เท่ากัน จะได้ Total Risk ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
4) ตั้ง Position Size
ไม่เท่ากัน / ไม่ตั้ง Risk to Cap % / ตั้ง Loss %
ไม่เท่ากัน จะได้ Total Risk ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
5) ไม่ตั้ง Position Size / ตั้ง Risk to Cap %
เท่ากัน / ตั้ง Loss %
ไม่เท่ากัน จะได้ Capital ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
6) ไม่ตั้ง Position Size / ตั้ง Risk to Cap %
ไม่เท่ากัน / ตั้ง Loss %
ไม่เท่ากัน จะได้ Capital ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
แบบที่ 3-4) เริ่มจากการตั้ง Loss % > หา Cut Loss Price จาก Entry Price > ได้ Loss จาก Entry Price - Cut Loss Price พักไว้
เอา Position Size หาร Entry Price ได้จำนวน Shares > เอา Shares คูณ Loss ที่พักไว้ ได้ Risk Amount คิดกลับเป็น
Risk to Cap % รวมเป็น Total Risk
แบบที่ 5-6) เริ่มจากการตั้ง Loss % > หา Cut Loss Price จาก Entry Price > ได้ Loss จาก Entry Price - Cut Loss Price พักไว้
เอา Risk to Cap % คิดกลับเป็น Risk Amount > เอา Risk Amount หาร Loss ที่พักไว้ ได้ Shares >
เอา Shares ที่ได้ คูณ Entry Price ได้ Position Sizing รวมเป็น Capital
ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าหาก Loss % เท่ากันกับ Total Risk ทุกตัว จะมีผลทำให้ Sum ของ Total Risk และ Capital
มีค่าเท่ากับแบบที่ 1) แทนที่จะมีค่า มากกว่าหรือน้อยกว่าที่กำหนดไว้ ดูได้จากรูปที่ 6 เทียบกับรูปที่ 4 จ้า
Portfolio Management ... ไม่ว่างไม่แนะนำให้อ่านจ้า
กระทู้นี้ เจ้าของกระทู้ตั้งใจเขียนเพื่อเก็บไว้อ่านเอง และเก็บไว้เป็นตัวอย่างให้มือใหม่ ไม่ว่างไม่แนะนำให้อ่าน
เนื่องจากมันมีการคำนวณ และเล่นกับตัวแปร ซึ่งถ้าจะให้ดีต้องมานั่งสอนกัน พร้อมคอมคนละเครื่องจ้า
แต่ถ้ามือใหม่คนไหน อ่านแล้วเข้าใจก็อ่านไปเถอะจ้า เพราะมันเป็นคำถามที่มือใหม่ชอบถามจ้า
Portfolio สมควร Lose ไม่เกินกี่ % - ถือหุ้นกี่ตัวดี - คัทลอสหุ้นที่เท่าไหร่ - สมควรเพิ่มเงินใส่ Portfolio เมื่อไร
Portfolio สมควร Lose ไม่เกินกี่ %
ถ้าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือนระดับกลางธรรมดา หรือมนุษย์ขายของหาเช้ากินค่ำตามปกติ ไม่ได้มีเงินเดือนหรูหราฟู่ฟ่า
หรือเป็นเจ้าของโรงงาน ที่มีรายได้เกินเดือนละแสน สิ่งที่คุณสมควรคิดคือ ถ้าวันนึงคุณรู้สึกไม่ไหวแล้วกับการลงทุนในหุ้น
และต้องการให้เงินต้น กลับมาที่เดิม ด้วยการฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตร ที่มีผลตอบแทน 3 - 5 % โดยที่ไม่นำเงินเดือน
หรือรายได้อื่นๆมาโปะเลย คุณต้องใช้เวลากี่ปี สมมติว่าคุณมีเงินต้นที่ 1 ล้านบาท จะสามารถคิดออกมาได้ตามตารางข้างล่างนี้
สมมติว่าคุณรับได้ที่ระยะเวลา 10 ปี โดยเฉลี่ย นั่นแปลว่าคุณจะต้องควบคุมให้ Portfolio ของคุณให้ Lose ไม่เกิน 30% โดยประมาณ
ถือหุ้นกี่ตัวดี
จริงๆ เมื่อถึงวันนึง คุณจะสามารถตอบตัวเองได้ว่า "กี่ตัวก็ได้ " ที่ทำให้ยังคงมีกำไรชนะตลาด และ มีความเสี่ยงรวมไม่เกิน 30%
หรือบางคนที่เดินตามสาย Value Investor อาจจะบอกว่าต้องทนได้ 50% ซึ่งอันนี้ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของตัวคุณเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังมีวิธีการอื่นอีกที่ทำให้คุณไม่จำเป็นต้องทนถือหุ้นในขาลง เช่นการ Short Against Port ซึ่งจะให้คุณได้
จำนวนหุ้นเพิ่ม เมื่อขายออกก่อนแล้วซื้อกลับ อีกทั้งอย่าลืมว่า ถ้าเป็นหุ้นที่มีปันผล ก็จะได้ปันผลเพิ่มเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วการที่คุณถือหุ้นไม่มากตัวและยอมที่จะ Lose ได้เยอะๆ นั้นคุณต้องถามตัวคุณเองด้วยว่า
ความรู้และความแม่นยำในการคาดการณ์อนาคต การเติบโตและการคงอยู่ของธุรกิจของคุณ มีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด
สำหรับมือใหม่ แนะนำให้เริ่มต้นจากวิธี การแบ่งเงินเพื่อซื้อหุ้นในปริมาณที่เท่ากัน หรือ การแบ่งความเสี่ยงที่เท่ากัน
ถามว่าแล้วแบ่งไม่เท่ากันได้ไหม คำตอบคือ "ได้" แล้วเมื่อคุณเทรดไปสักพัก คุณจะเข้าใจถึงหลักการของมันเอง
ทีนี้เรามาลองดูตัวตัวอย่างกัน ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยตอบคำถามในข้อต่อไปด้วยว่า Cut Loss หุ้นรายตัวที่เท่าไหร่ดี
ในแบบแรก มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- สีแดงเข้ม แบ่ง Capital 1,000,000 บาท เป็น Position Size 100,000 บาท เท่าๆกันได้ Stocks 10
- สีแดงสด แบ่ง Total Risk 30% เท่าๆกันด้วย Stocks 10 เป็น Risk to Cap 3% คิดออกมาเป็น Risk Amount 30,000 บาท
- สีเขียวสด นำ Position Size 100,000 บาท หารด้วย Entry Price 50 ได้จำนวน Shares 2,000 ทำแบบนี้กับ Stocks ตัวอื่นๆ
- หรือทำสลับกันด้วยการแบ่ง Total Risk 30% เป็น Risk to Cap 3% เท่าๆกันได้ Stocks 10 ก่อนก็ได้
ในแบบที่สอง เมื่อคุณถามว่าแบ่งเงินเพื่อซื้อหุ้นในปริมาณที่ไม่เท่ากัน แต่แบ่งความเสี่ยงเท่ากันได้ไหม จะได้ตารางดังต่อไปนี้
ซึ่งการแบ่งในแบบที่สองนี้ จะมีผลกระทบ ทำให้เกิด Loss % ที่ไม่สมเหตุสมผล (Column ขวาสุด) ซึ่งเป็นที่มาของแบบที่สาม
ในแบบที่สาม เมื่อคุณถามว่าแบ่งเงินเพื่อซื้อหุ้นในปริมาณที่ไม่เท่ากัน แล้วกำหนด Loss % เองได้ไหม จะได้ตารางดังต่อไปนี้
ซึ่งการแบ่งในแบบที่สามนี้ จะมีผลกระทบ ทำให้เกิด Risk to Cap % ที่ไม่เท่ากัน หรืออาจจะได้ Total Risk มากหรือต่ำกว่าที่กำหนดไว้
ในแบบที่สาม มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- สีแดงเข้ม แบ่ง Capital 1,000,000 บาท เป็น Position Size ไม่เท่ากันได้ Stocks 16
- สีแดงสด กำหนด Loss % ไม่เท่ากัน โดยขึ้นอยู่กับ Entry Price ที่มากหรือน้อย
- สีเขียวสด นำ Position Size 100,000 บาท หารด้วย Entry Price 50 ได้จำนวน Shares 2,000 ทำแบบนี้กับ Stocks ตัวอื่นๆ
- สีม่วง คิด Cut Loss Price จาก Entry Price x (1-Loss% ) เช่น 50 x (1-20%) = 40 บาท
คัทลอสหุ้นที่เท่าไหร่
บางครั้งการ Cut Loss หรือการ Stop Profit Loss เร็วเกินไป อาจจะทำให้คุณเสียโอกาสดีๆ แต่อย่างไรก็ตามถ้าคุณไม่ได้แน่ใจ
ว่าหุ้นตัวนั้นจะวิ่งขึ้นไปใหม่หรือไม่ สิ่งที่จำเป็นต้องคำนึงสิ่งแรกคือ Total Risk ของ Portfolio ของคุณ ซึ่งถ้าคุณปล่อยให้มันขาดทุน
จนกระทบกับ Portfolio โดยรวม นั่นคงไม่ดีแน่ เพราะคุณจะต้องเหนื่อยในการพยายามทำกำไรเพื่อชดเชยในส่วนที่ขาดทุนไป
จากแบบที่สาม ของคำถามว่าถือหุ้นกี่ตัวดี จะเห็นว่าได้กำหนด Loss % ที่ไม่เท่ากัน โดยขึ้นอยู่กับ Entry Price ที่มากหรือน้อย
แล้วนำมาคิดราคา Cut Loss Price ซึ่งการกำหนดแบบนี้จำเป็นต้องเรียนรู้ถึง Nature ของหุ้นว่ามีความเหวี่ยงมากน้อยแค่ไหน
หรือถ้าใครดูกราฟ ก็อาจจะกำหนด Cut Loss Price จากหลักการทาง Technical เช่น Lowest Low หรือ Previous Peak
หรือ ATR ก็ได้ อย่างไรก็ตามสำหรับมือใหม่ การกำหนด Cut Loss Price จาก Reserved Capital ซึ่งถูกคิดมาจาก
Position Size - Risk Amount ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ อาจจะสามารถช่วยคุณได้ มาดูขั้นตอนและตัวอย่างกัน
ในแบบที่สี่ จะเป็นตัวอย่างที่ตรงข้ามกับแบบแรก
- สีแดงเข้ม แบ่ง Total Risk 30% เป็น Risk to Cap 3% เท่าๆกันได้ Stocks 10
- สีแดงสด แบ่ง Capital 1,000,000 บาทเท่าๆกันด้วย Stocks 10 เป็น Position Size 100,000 บาท
- สีเขียวสด นำ Position Size 100,000 บาท หารด้วย Entry Price 50 ได้จำนวน Shares 2,000 ทำแบบนี้กับ Stocks ตัวอื่นๆ
- คิด Risk to Cap 3% ออกมาเป็น Risk Amount 30,000 บาท (Capital 1,000,000 x 3%)
- นำ Position Size 100,000 บาท ลบด้วย Risk Amount 30,000 บาท ได้ Reserved Cap 70,000 บาท
- สีฟ้า นำ Reserved Cap 70,000 บาท หารด้วย จำนวน Shares 2,000 จะได้ 35 บาท ทำแบบนี้กับ Stocks ตัวอื่นๆ *0*
ก่อนที่จะไปที่คำถามสุดท้าย มาดูกันว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรากำหนดแบ่ง Position Size ไม่เท่ากัน แล้วกำหนด Loss % ที่เท่ากัน
ซึ่งการแบ่งในแบบนี้ จะมีผลกระทบ ทำให้เกิด Risk to Cap % ที่ไม่เท่ากัน แต่จะได้ Total Risk ตามที่กำหนดไว้
สมควรเพิ่มเงินใส่ Portfolio เมื่อไหร่
เจ้าของกระทู้เห็นมือใหม่หลายคนเพิ่มเงินใส่ Portfolio เมื่อเกิดอาการขาดทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง
เพื่อนำเงินมาถัวซื้อหุ้นเพิ่ม ซึ่งถ้าหากคิดกันจริงๆแล้ว มันเป็นอะไรที่ทำให้ต้นทุนจมได้อีก ยิ่งถ้าหุ้นตัวนั้นไม่โงหัวขึ้นมาอีกเลย
แล้วหละก็ มันช่างเป็นอะไรที่ชี้ช้ำไปอีกหลายปี และถ้าหากทนไม่ไหวขายทิ้งก่อนแล้วมันดันขึ้น มันก็เจ็บใจยิ่งกว่าแฟนหนีไปมีกิ๊กซะอีก
เข้าเรื่องกันดีกว่า การที่จะเพิ่มเงินใส่ Portfolio ตามความเห็นของเจ้าของกระทู้นั้น สมควรทำเมื่อ เงินไม่พอซื้อหุ้นเพิ่มทุน ... เย้ยไม่ใช่
ถ้าไม่นับกรณีที่เรื่องจำเป็นอื่นๆแล้ว เวลาที่เหมาะสมที่สุดอาจจะเป็น เมื่อคุณสามารถผ่านช่วงตลาดขาลง(ลิฟท์) ไปได้โดยที่คุณขาดทุน
ไม่เกินจากที่กำหนดไว้ในตอนแรก บวกลบได้นิดหน่อย และก่อนหน้านั้นจะต้องมีหุ้นอยู่ใน Portfolio ตามปกตินะ ไม่ใช่ว่า Portfolio ว่าง
แล้วบอกว่าผ่านมาได้ หรือในอีกกรณีนึง คือในเวลาที่คุณเริ่มเห็นว่า Portfolio ของคุณมีการเติบโตแบบเสถียรแล้ว ซึ่งต้องใช้เวลาวัดกัน
พอสมควรไม่ใช่เล่น 2 เดือน เย้ๆ กำไรทั้ง 2 เดือน ทั้งนี้การบริหารเงินทุนยังมีอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปแบบสุดท้ายที่จะยกตัวอย่าง
โดยแบบที่ห้านี้ เกิดขึ้นเมื่อคุณถามว่าแบ่งความเสี่ยง Risk to Cap % เท่ากัน แล้วกำหนด Loss % เองได้ไหม จะได้ตารางดังต่อไปนี้
ซึ่งการแบ่งในแบบนี้ จะมีผลกระทบ ทำให้เกิด Position Size ที่ไม่เท่ากัน หรืออาจจะได้ Capital มากหรือต่ำกว่าที่กำหนดได้
จบแว้วเหนื่อย ...
สรุปสำหรับคนที่อ่านแล้วงง 555+ หลักๆ มี 6 รูปแบบดังต่อไปนี้จ้า
1) ตั้ง Position Size เท่ากัน / ตั้ง Risk to Cap % เท่ากัน จะได้ Loss % เท่ากัน
2) ตั้ง Position Size ไม่เท่ากัน / ตั้ง Risk to Cap % เท่ากัน จะได้ Loss % ที่ไม่สมเหตุสมผล
3) ตั้ง Position Size เท่ากัน / ไม่ตั้ง Risk to Cap % / ตั้ง Loss % ไม่เท่ากัน จะได้ Total Risk ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
4) ตั้ง Position Size ไม่เท่ากัน / ไม่ตั้ง Risk to Cap % / ตั้ง Loss % ไม่เท่ากัน จะได้ Total Risk ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
5) ไม่ตั้ง Position Size / ตั้ง Risk to Cap % เท่ากัน / ตั้ง Loss % ไม่เท่ากัน จะได้ Capital ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
6) ไม่ตั้ง Position Size / ตั้ง Risk to Cap % ไม่เท่ากัน / ตั้ง Loss % ไม่เท่ากัน จะได้ Capital ที่ต่ำกว่าหรือมากกว่าที่กำหนด
แบบที่ 3-4) เริ่มจากการตั้ง Loss % > หา Cut Loss Price จาก Entry Price > ได้ Loss จาก Entry Price - Cut Loss Price พักไว้
เอา Position Size หาร Entry Price ได้จำนวน Shares > เอา Shares คูณ Loss ที่พักไว้ ได้ Risk Amount คิดกลับเป็น
Risk to Cap % รวมเป็น Total Risk
แบบที่ 5-6) เริ่มจากการตั้ง Loss % > หา Cut Loss Price จาก Entry Price > ได้ Loss จาก Entry Price - Cut Loss Price พักไว้
เอา Risk to Cap % คิดกลับเป็น Risk Amount > เอา Risk Amount หาร Loss ที่พักไว้ ได้ Shares >
เอา Shares ที่ได้ คูณ Entry Price ได้ Position Sizing รวมเป็น Capital
ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าหาก Loss % เท่ากันกับ Total Risk ทุกตัว จะมีผลทำให้ Sum ของ Total Risk และ Capital
มีค่าเท่ากับแบบที่ 1) แทนที่จะมีค่า มากกว่าหรือน้อยกว่าที่กำหนดไว้ ดูได้จากรูปที่ 6 เทียบกับรูปที่ 4 จ้า