สวัสดีค่ะ
จขกท จะมาแชร์ประสบการณ์การสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา ประเภท B2 หรือวีซ่าท่องเที่ยว แบบเข้าใจง่ายๆ แต่ดันเป็นเคสที่โดนคำถามเยอะพอควร
ต้องบอกก่อนว่าจขกท ดำเนินการเองทุกขั้นตอนไม่ว่าจะเป็นการกรอก DS160จากนั้นก็ book วันเพื่อไปสัมภาษณ์ ซึ่งก็ได้วันนี้นั่นเอง สดๆร้อนๆ ก็เลยอยากจะแชร์ให้คนอื่นบ้าง เผื่อจะเป็นประโยชน์ ไม่มาก ก็น้อย
จขกท แคยไปอเมริกามา 2 ปีด้วยวีซ่า J1 ทีนี้ไอ้เจ้าตัว J1 นี่แหละเป็นตัวปัญหา เพราะก่อให้เกิดคำถามว่าไปมาแล้วทำไมจึงจะอยากไปอีก ไปอยู่มาตั้งนาน ทำไมต้องไปเที่ยวอีก
เพราะคนก่อนหน้าที่ได้สัมภาษณ์ไป จนท ถามแปบเดียวเองไม่กี่ประโยคก็จบ แต่พอถึงตาเราเจ้าหน้าทีไล่ถามเยอะมากว่า ทำงานที่ไหน อย่างไร บวกกับด้วยความว่า จขกท ยังทำงานที่บริษัทนี้ไม่ครบปี พอยื่นใบรับรองทำงานไปก็มีคำถามกลับมาว่าทำงานที่นี่มาแค่แปบเดียวเองนี่นา ทำไมจะไปเที่ยว จขกทก็ตอบไปอย่างมั่นใจว่าตั้งใจจะ take vacation เพราะสงกรานต์จะมีวันหยุดยาว จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ก้มหน้าลงพิมพ์ก๊อกๆแก๊ก ไม่พูดอะไรต่อเลย แบบปล่อยให้ความเงียบครอบงำซะงั้น
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาชีพของเรา ข้อนี้จะเป็นข้อได้เปรียบมากสำหรับคนที่จำงานประจำ -จขกท มองว่าเป็นการเปิดโอกาศให้เราได้อธิบายไปอย่างชัดเจนว่างานที่เราทำอยู่เกี่ยวกับอะไร ด้านไหน อย่างไร ยิ่งบริษัทที่เราทำเป็นบริษัทใหญ่ มีความมั่นคงด้วยแล้ว ก็เหมือนเป็น commitment ว่าเราจะกลับมาทำงานที่ไทยอย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องญาติว่ามีอยู่ที่นู่นมั้ย เราควรจะกรอกข้อมูลทุกอย่างตามความเป็นจริงลงใน DS160 จขกท มีน้องสาวอยู่ที่อเมริกา เป็นน้องสาวแท้ๆ นามสกุลเดียวกันด้วย เจ้าหน้าที่ก็ถามคำถามตาม DS160ที่เรากรอกไปว่าเราเป็นอะไรกับคนนี้ ก็ตอบไปอย่างฉะฉานว่าเป็นน้องค่ะ น้องทำอะไรอยู่ที่ไหน อย่างไร
เรื่องเงิน เจ้าของกระท็พูดทุกอย่างตามความเป็นจริงค่ะว่าออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดสำหรับทริปนี้ ส่วนเรื่องแฟนเจ้าหน้าที่ถามมาว่าตุณแต่งงานหรือยัง มี boyfriend มั้ย ก็ควรจะพูดความจริงนะคะ อย่างจขกท ก็ตอบไปค่ะว่าไม่มีแฟนนะ เพราะเรา just broke up เจ้าหน้าที่ก็เลยแค่ยิ้มๆกลับมา
อีกเรื่องที่อยากจะย้ำคือ เรื่อง passport ข้อนี้สำคัญมาก หากใครที่มีการทำเล่มใหม่ ย้ำว่าควรจะเตรียมเล่มเก่าไปด้วย เพราะเป็นประโยชน์สุดๆ จขกท เคยเข้าออกประเทศอิ่นๆมาพอควร มีรอย stamp มากมาย พอเวลาเจ้าหน้าที่เค้าเปิดดูก็เหมือนเพิ่มความมั้นใจให้เค้าว่าเรามีการเดินทางออกนอกประเทศอยู่ตลอด
พอจบหมดคำถาม เจ้าหน้าที่ก็คืน passport เล่มเก่ามา แล้วก็พูดว่า OK, your visa is approved. You will get your passport back within three days. โอย บอกเลยค่ะ ว่าวินาทีนั้นเหมือนโลกหยุดหมุน เพราะว่าลุ้นมากว่าจะผ่านมั้ยน้า
จขกท รีบไหว้ แล้วก็ speak English ไปเลยว่า Thank you so much รีบๆเดินออกมาจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด เพราะกลัวมากว่าเค้าจะเปลี่ยนใจ
คิดว่าน่าจะสรุปให้คนอ่านครบหมดแล้ว ส่วนตัวแล้วก็อยากจะฝากเอาไว้นะคะว่าการขอวีซ่าเพื่อเข้าอเมริกานั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด ไม่ต้องมีเงินถุงเงินถัง เตรียม statement หรือโชว์ยอดเงินใน book bank สูงๆ เพียงแต่เราแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจเวลาที่ตอบคำถาม ไม่ประหม่า มองตาเจ้าหน้าที่ มี eye contact และไม่แสดงอาการอยากไปประเทศเค้าจนเกินไป และที่สำคัญการตอบคำถามควรให้เจ้าหน้าที่เห็นว่าเรามีความผูกพันกับประเทศไทย แค่นี้ก็ได้แล้ว
จขกทขอเอาใจช่วยทุกคนนะคะ หากใครอยู่ในระหว่างดำเนินการจะยื่นขอวีซ่า หรือไปสัมภาษณ์มาแล้วดันไม่ผ่าน หรือแม้แต่มีคำถามใดๆ ก็ทิ้งข้อความไว้นะคะ จขกทจะพยายามตอบให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ณ ตอนนี้ก็ได้แต่นั่งรอลุ้นว่า จะไดวีซ่ากี่ปีกันไปค่ะ
สดๆร้อนๆ แชร์ประสบการณ์สัมภาษณ์วีซ่าอเมริกาวันนี้ จาก J1 มาลองยื่นขอ B2
จขกท จะมาแชร์ประสบการณ์การสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา ประเภท B2 หรือวีซ่าท่องเที่ยว แบบเข้าใจง่ายๆ แต่ดันเป็นเคสที่โดนคำถามเยอะพอควร
ต้องบอกก่อนว่าจขกท ดำเนินการเองทุกขั้นตอนไม่ว่าจะเป็นการกรอก DS160จากนั้นก็ book วันเพื่อไปสัมภาษณ์ ซึ่งก็ได้วันนี้นั่นเอง สดๆร้อนๆ ก็เลยอยากจะแชร์ให้คนอื่นบ้าง เผื่อจะเป็นประโยชน์ ไม่มาก ก็น้อย
จขกท แคยไปอเมริกามา 2 ปีด้วยวีซ่า J1 ทีนี้ไอ้เจ้าตัว J1 นี่แหละเป็นตัวปัญหา เพราะก่อให้เกิดคำถามว่าไปมาแล้วทำไมจึงจะอยากไปอีก ไปอยู่มาตั้งนาน ทำไมต้องไปเที่ยวอีก
เพราะคนก่อนหน้าที่ได้สัมภาษณ์ไป จนท ถามแปบเดียวเองไม่กี่ประโยคก็จบ แต่พอถึงตาเราเจ้าหน้าทีไล่ถามเยอะมากว่า ทำงานที่ไหน อย่างไร บวกกับด้วยความว่า จขกท ยังทำงานที่บริษัทนี้ไม่ครบปี พอยื่นใบรับรองทำงานไปก็มีคำถามกลับมาว่าทำงานที่นี่มาแค่แปบเดียวเองนี่นา ทำไมจะไปเที่ยว จขกทก็ตอบไปอย่างมั่นใจว่าตั้งใจจะ take vacation เพราะสงกรานต์จะมีวันหยุดยาว จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ก้มหน้าลงพิมพ์ก๊อกๆแก๊ก ไม่พูดอะไรต่อเลย แบบปล่อยให้ความเงียบครอบงำซะงั้น
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาชีพของเรา ข้อนี้จะเป็นข้อได้เปรียบมากสำหรับคนที่จำงานประจำ -จขกท มองว่าเป็นการเปิดโอกาศให้เราได้อธิบายไปอย่างชัดเจนว่างานที่เราทำอยู่เกี่ยวกับอะไร ด้านไหน อย่างไร ยิ่งบริษัทที่เราทำเป็นบริษัทใหญ่ มีความมั่นคงด้วยแล้ว ก็เหมือนเป็น commitment ว่าเราจะกลับมาทำงานที่ไทยอย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องญาติว่ามีอยู่ที่นู่นมั้ย เราควรจะกรอกข้อมูลทุกอย่างตามความเป็นจริงลงใน DS160 จขกท มีน้องสาวอยู่ที่อเมริกา เป็นน้องสาวแท้ๆ นามสกุลเดียวกันด้วย เจ้าหน้าที่ก็ถามคำถามตาม DS160ที่เรากรอกไปว่าเราเป็นอะไรกับคนนี้ ก็ตอบไปอย่างฉะฉานว่าเป็นน้องค่ะ น้องทำอะไรอยู่ที่ไหน อย่างไร
เรื่องเงิน เจ้าของกระท็พูดทุกอย่างตามความเป็นจริงค่ะว่าออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดสำหรับทริปนี้ ส่วนเรื่องแฟนเจ้าหน้าที่ถามมาว่าตุณแต่งงานหรือยัง มี boyfriend มั้ย ก็ควรจะพูดความจริงนะคะ อย่างจขกท ก็ตอบไปค่ะว่าไม่มีแฟนนะ เพราะเรา just broke up เจ้าหน้าที่ก็เลยแค่ยิ้มๆกลับมา
อีกเรื่องที่อยากจะย้ำคือ เรื่อง passport ข้อนี้สำคัญมาก หากใครที่มีการทำเล่มใหม่ ย้ำว่าควรจะเตรียมเล่มเก่าไปด้วย เพราะเป็นประโยชน์สุดๆ จขกท เคยเข้าออกประเทศอิ่นๆมาพอควร มีรอย stamp มากมาย พอเวลาเจ้าหน้าที่เค้าเปิดดูก็เหมือนเพิ่มความมั้นใจให้เค้าว่าเรามีการเดินทางออกนอกประเทศอยู่ตลอด
พอจบหมดคำถาม เจ้าหน้าที่ก็คืน passport เล่มเก่ามา แล้วก็พูดว่า OK, your visa is approved. You will get your passport back within three days. โอย บอกเลยค่ะ ว่าวินาทีนั้นเหมือนโลกหยุดหมุน เพราะว่าลุ้นมากว่าจะผ่านมั้ยน้า
จขกท รีบไหว้ แล้วก็ speak English ไปเลยว่า Thank you so much รีบๆเดินออกมาจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด เพราะกลัวมากว่าเค้าจะเปลี่ยนใจ
คิดว่าน่าจะสรุปให้คนอ่านครบหมดแล้ว ส่วนตัวแล้วก็อยากจะฝากเอาไว้นะคะว่าการขอวีซ่าเพื่อเข้าอเมริกานั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด ไม่ต้องมีเงินถุงเงินถัง เตรียม statement หรือโชว์ยอดเงินใน book bank สูงๆ เพียงแต่เราแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจเวลาที่ตอบคำถาม ไม่ประหม่า มองตาเจ้าหน้าที่ มี eye contact และไม่แสดงอาการอยากไปประเทศเค้าจนเกินไป และที่สำคัญการตอบคำถามควรให้เจ้าหน้าที่เห็นว่าเรามีความผูกพันกับประเทศไทย แค่นี้ก็ได้แล้ว
จขกทขอเอาใจช่วยทุกคนนะคะ หากใครอยู่ในระหว่างดำเนินการจะยื่นขอวีซ่า หรือไปสัมภาษณ์มาแล้วดันไม่ผ่าน หรือแม้แต่มีคำถามใดๆ ก็ทิ้งข้อความไว้นะคะ จขกทจะพยายามตอบให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ณ ตอนนี้ก็ได้แต่นั่งรอลุ้นว่า จะไดวีซ่ากี่ปีกันไปค่ะ