สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และ สมาชิกทุกๆ คน
ก่อนอื่นก็ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อซาน นี่เป็นกระทู้แรกของผมและผมใช้เวลาร่วมเกือบสองปีในการรวมรวมความขี้เกียจที่มีอยู่ของผมออกไป ซึ่งภายในจะมีทั้งหมด 2 รอบการเดินทาง คือ รอบแรกเป็นช่วงแลกเปลี่ยนเมื่อปี 2013 และรอบที่สองจะเป็นช่วงเดือนตุลาคม 2014 ครับ หากมีอะไรผิดพลาดก็ขอโทษด้วยนะครับ ><"
ก่อนอื่นเลยครับ เวลาเราพูดถึงประเทศต่างๆ คนส่วนมากก็จะนึกถึงสิ่งขึ้นชื่อต่างๆ ของประเทศนั้นๆ ไม่ว่าจะด้านดีด้านแย่ ก็จะนึกถึงออกมาได้เสมอ แล้วถ้าผมจะพูดถึงประเทศแอฟรีกาใต้หละครับ คุณจะนึกถึงอะไรเป็นอับดับแรกๆ ???
หลายๆ คนอาจจะนึกถึง คนผิวดำ เมืองไม่พัฒนา เมืองกันดาล โรคเอดส์ ความไม่เจริญ และต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งวันนี้ในฐานะที่ผมเคยไปแลกเปลี่ยนประเทศนี้มา ก็ขอมาแชร์อีกแง่มุมนึงของแอฟริกาใต้ให้เพื่อนๆ ได้เห็นกันนะครับ
ก่อนอื่นมาดูวีดีโอเรียกน้ำย่อยกันก่อนนะครับว่าเมืองนี้จะสวยขนาดไหนกันเชียว

เมื่อ เมษายน 2556 ผมได้มีโอกาสไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เมือง เคปทาวน์ ประเทศ แอฟริกาใต้มาครับ แต่วันนี้ผมจะไม่ขอเน้นไปยังเรื่องประสบการณ์มากมายสักเท่าไหร่นะครับ แต่ผมจะขอมาแนะนำ เพื่อนๆ น้องๆ หรือคนที่สนใจจะไปแลกเปลี่ยน หรือ เที่ยวเมืองนี้แบบตนเดียวแบบประหยัดๆ แบบไม่ง้อไกด์ ไม่ง้อทัวร์ให้เปลืองตังค์ แต่ต้องเป็นพวกขาลุยเบาๆนะครับ
ซึ่งเพราะว่าผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ที่มาจากต่างจังหวัด ไม่ค่อยได้เที่ยวสักเท่าไหร่ มาแลกเปลี่ยนทั้งที อย่ามาแต่เรียน ก็ขอเที่ยวซะให้คุ้มด้วย 5555555
มาเข้าเรื่อง กันเลยดีกว่านะครับ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเมืองนี้แบบคร่าวๆ กันก่อนครับ
Cape Town เป็นเมืองหลวงในทางนิติบัญญัติของประเทศแอฟริกาใต้ครับ (ประเทศนี้มี 3 เมืองหลวง) ซึ่งเมืองนี้ตั้งอยู่ในอำเภอ Western Cape ครับ เป็นเมืองที่ความเจริญเติบโตด้านการท่องเที่ยวพอสมควรครับ มีภูเขารูปโต๊ะ (Table Mountain) เป็นสัญลักษณ์ของเมือง และเป็นเมืองที่อยู่ทางใต้สุดของประเทศแอฟริกาใต้ครับ เมืองนี้ใช้สกุลเงินคือ ZAR(South African Rand แรนด์ครับ) R1 = 2.8x (4/2/15 via oanida.com) ถือว่าค่าเงินไม่สูงมาก จับจ่ายกำลังโอเคเลยครับ (แต่ตอนผมไปแลกเปลี่ยนค่าเงินอยู่ที่ 3.2x นี่คืออะไร

)

อันนี้เป็นภาพช่วงใบไม้ร่วงนะครับ
Cape Town มีทั้งหมด 4 ฤดูครับ ได้แก่
1. Summer - พฤศจิกายน ถึง มกราคม (อากาศร้อน ร้อนมาก ร้อนสุดๆ แต่ไม่เผาเท่าไทย)
2. Autumn - กุมภาพันธ์ ถึง เมษายน (อากาศสบายๆ เริ่มมีลมเย็น มีฝนตกนิดหน่อยช่วงแรกๆ แต่ปลายเมษาเริ่มมีฝนตกมากขึ้น)
3. Winter - พฤษภาคม ถึง กรกฎาคม (อากาศเย็น ถึงหนาว ประมาณเลขตัวเดียวครับ ฝนตกสนุกสนาน บางวันโชคดีฟ้าสว่าง)
4. Spring - สิงหาคม ถึง ตุลาคม (ช่วงนี้อากาศน่าพักผ่อนมาก ไม่ร้อน ไม่หนาว ฝนน้อย อากาศสบายมากกกกก)
สำหรับคนที่มีแผนเที่ยวช่วง winter ก็เช็คสภาพอากาศดีๆ นะครับ เพราะฝนตกกันเปียกแน่นอน
มาต่อกันเรื่องสังคมคนไทยใน เคปทาวน์ กันบ้าง ต้องบอกเลยครับว่ามาเมืองนี้ไม่เจอคนไทยสักคนนี่แปลกมาก ครับ เพราะว่าร้านอาหารไทย เยอะมาก เยอะไปกว่านั้นก็จะเป็นร้านนวดแผนโบราณฉบับไทยๆ เรา คือมาเมืองนี้ถ้าอยากทานอาหารไทยรับรองว่า ไม่อดตาย มีให้เลือกตั้งแต่ราคาเบาๆ จนไปถึงขั้นใส่ชุดสูทนั่งทานเลยก็มีนะ นักเรียนแลกเปลี่ยนที่มาจากไทยในเมืองนี้ก็มีมากพอสมควรครับ และที่สำคัญเมืองนี้ยังมีวัดไทยอีกด้วยนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.capetownmeditation.com/ ส่วนรายชื่อร้านอาหารไทยและพิกัดรวมไปถึงวิธีการเดินทางผมจะเขียนไว้ให้ด้านล่างนะครับ
นักเรียนส่วนมากก็จะถูกส่งไปอยู่ส่วน Suburb สะส่วนใหญ่ จะเป็นทางตอนเหนือ ตอนใต้ และฝั่งตะวันตก เช่น Wynberg, Strandfontein, Brackenfell, Bellville, Ottery, Steenberg, Grassy Park และ Heathfield เป็นต้น
การเดินทาง มีอยู่หลักๆ ก็ประมาณ 6 แบบด้วยกัน ซึ่งได้แก่
1. รถตู้โดยสาร (Black Taxi หรือ Taxi) คนเคปทาวน์จะเรียกรถจําพวกนี้ว่า Taxi ครับผม ซึ่งจริงๆ Taxi แบบนี้จะมีทั่วเคปทาวน์เลยครับผม ตั้งแต่ใต้ จนเหนือ รับรองว่ามีแน่นอน!! แต่อาจจะไม่ปลอดภัยสักเท่าไหร่ เพราะส่วมมากคนผิวดำจะขับและใช้บริการกันครับ เลยเป็นเหตุที่เรียกกันว่า Black Taxi ครับผม
2. รถบัส (Golden Arrow Bus) ช่องทางที่สองคือ รถบัส รถบัสมีทุกที่เช่นเดียวกับ taxi ครับ แต่รถบัสจะสะดวกกว่า Taxi ตรงที่เราสามารถตรวจสอบเส้นทางการเดินทางและเส้นทางที่รถบัสตัดได้ทาง Website ของรถบัส และแถมยังปลอดภัยกว่า Black Taxi อีกด้วยครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.gabs.co.za/timetables-routes/
3. รถไฟ (Metrorail) รถไฟถือเป็นสิ่งไม่มีชีวิตอีกอย่างนึงที่คนเคปทาวน์ใช้ในการเดินทาง มีครบทุกสายมีครบทุกระดับเลยน่ะ (แน่ใจหรอ?) เปล่าหรอกครับ รถไฟที่นี้มีทั้งหมด 6 สายหลักภายในตัวเมือง และมีสายออกไปยังจังหวัดอื่นๆ อีกด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.capemetrorail.co.za/Timetables.html
4. รถบัสพิเศษ (My Citi Bus) พูดง่ายๆเลยครับว่า My Citi Bus ไม่ต่างอะไรไปจาก BRT บ้านเราเลย MCB นี้ราคาแพงอลังเลย แต่ตอนนี้ปรับราคาลงมามาก และถูกกกกกก ด้วย (บ้านเรา5บาทตลอดสายเองน่ะ) ซึ่งกว่าเราจะนั่ง MCB ได้นั้นเราต้องสมัคร MCB Card กันก่อน ซึ่งค่าสมัครจะอยู่ที่ R23 และสามารถเติมตังค์ได้ที่สถานีใหญ่ๆ เช่น Civic Centre, Airport, Century City และ Queens Beach เป็นต้น MCB ถือเป็น รถโดยสารสาธารณะที่ปลอดภัยที่สุดแล้วก็ว่าได้ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://myciti.org.za/en/home/

5. บัสนําเที่ยว (Red Bus / Sigh Seeing Bus) หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า Topless อันนี้คือของที่โหดที่สุด เพราะราคาน่ารักสุดละ บัสนําเที่ยว เป็นลักษณะ บัสเปิดหลังคา สองชั้น มีไกด์บรรยายหลายภาษา(เป็นเสียงอัด) ซึ่งไทยไม่มีน่ะ 5555 บัสนําเที่ยวนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองสายหลักๆ + 1 ล่องเรือง + 1 ไกด์เดินทัวร์ซึ่งสายแรกก็คือ
Red Route หรือบัสสายสีแดง สายนี้จะเป็นสายหลักครับ จะทัวร์ภายในตัวเมือง City of Cape Town ครับไม่ออกนอกเมืองไปไกลมาก ต่อมาสายที่สองคือ
Blue Route สายนี้จะเน้นนอกเมืองฝั่งตะวันออกและตอนใต้ไปสายนี้รับรองได้ชิมไวน์ด้วยแหละ(นั่งรถอีกต่อนึง) ต่อมาด้วยเส้นทางที่สามเส้นทางนี้ไม่ใช่ถนนเเต่เป็น
การล่องเรือในตัวเมือง ไม่ออกไปไกลมาก และส้นทางสุดท้ายคือ
ไกด์นําเที่ยว ซึ่งนี้เป้นบริการใหม่ที่เพิ่งออกมาเลยครับ คือจะมีไกด์นําเที่ยวในบริเวรต่างๆ ที่ทางบริษัทได้จัดไว้ อธิบายเเละนําเที่ยวเป็นรอบๆ ซึ่งเราสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ทาง Website (ซึ่งตั๋วออนไลน์จะได้ส่วนลด 23.5%)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้www.citysightseeing.co.za/
6. รถ Taxi แบบมิเตอร์ ( Private Cab ) นี้ก็ถือว่าโห๊ด โหด แต่ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ซึ่ง Private Taxi ผมขอแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ Taxi Metre กับ Uber นะครับ ซึ่ง Taxi Metre จะแพงกว่า Uber ครับ เพราะว่า Taxi Metre จะคิด 1 กิโลต่อ R10 ครับ ซึ่งก็ถือว่าแพ๊งแพง แต่ Uber จะเริ่มต้นที่ R7.5 ครับผม
สำหรับข้อมูลเรื่องการเดินทางผมได้ทำไฟล์ไว้ให้แล้วหาดใครสนใจสามารถโหลดได้ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://docs.google.com/file/d/0Byykz4ATnTe2U1BCQ2NrNXJfRjg/edit
ผมขอพักช่วงไว้แค่นี้ก่อนนะครับ เดี่ยวมาต่อ ให้เรื่อยๆ ครับผม
[CR] หลงรัก แลกเปลี่ยน โดดเดี่ยว ณ Cape Town 2013-2014
สวัสดีครับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และ สมาชิกทุกๆ คน
ก่อนอื่นก็ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อซาน นี่เป็นกระทู้แรกของผมและผมใช้เวลาร่วมเกือบสองปีในการรวมรวมความขี้เกียจที่มีอยู่ของผมออกไป ซึ่งภายในจะมีทั้งหมด 2 รอบการเดินทาง คือ รอบแรกเป็นช่วงแลกเปลี่ยนเมื่อปี 2013 และรอบที่สองจะเป็นช่วงเดือนตุลาคม 2014 ครับ หากมีอะไรผิดพลาดก็ขอโทษด้วยนะครับ ><"
ก่อนอื่นเลยครับ เวลาเราพูดถึงประเทศต่างๆ คนส่วนมากก็จะนึกถึงสิ่งขึ้นชื่อต่างๆ ของประเทศนั้นๆ ไม่ว่าจะด้านดีด้านแย่ ก็จะนึกถึงออกมาได้เสมอ แล้วถ้าผมจะพูดถึงประเทศแอฟรีกาใต้หละครับ คุณจะนึกถึงอะไรเป็นอับดับแรกๆ ???
หลายๆ คนอาจจะนึกถึง คนผิวดำ เมืองไม่พัฒนา เมืองกันดาล โรคเอดส์ ความไม่เจริญ และต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งวันนี้ในฐานะที่ผมเคยไปแลกเปลี่ยนประเทศนี้มา ก็ขอมาแชร์อีกแง่มุมนึงของแอฟริกาใต้ให้เพื่อนๆ ได้เห็นกันนะครับ
เมื่อ เมษายน 2556 ผมได้มีโอกาสไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เมือง เคปทาวน์ ประเทศ แอฟริกาใต้มาครับ แต่วันนี้ผมจะไม่ขอเน้นไปยังเรื่องประสบการณ์มากมายสักเท่าไหร่นะครับ แต่ผมจะขอมาแนะนำ เพื่อนๆ น้องๆ หรือคนที่สนใจจะไปแลกเปลี่ยน หรือ เที่ยวเมืองนี้แบบตนเดียวแบบประหยัดๆ แบบไม่ง้อไกด์ ไม่ง้อทัวร์ให้เปลืองตังค์ แต่ต้องเป็นพวกขาลุยเบาๆนะครับ
ซึ่งเพราะว่าผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ที่มาจากต่างจังหวัด ไม่ค่อยได้เที่ยวสักเท่าไหร่ มาแลกเปลี่ยนทั้งที อย่ามาแต่เรียน ก็ขอเที่ยวซะให้คุ้มด้วย 5555555
มาเข้าเรื่อง กันเลยดีกว่านะครับ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเมืองนี้แบบคร่าวๆ กันก่อนครับ
Cape Town เป็นเมืองหลวงในทางนิติบัญญัติของประเทศแอฟริกาใต้ครับ (ประเทศนี้มี 3 เมืองหลวง) ซึ่งเมืองนี้ตั้งอยู่ในอำเภอ Western Cape ครับ เป็นเมืองที่ความเจริญเติบโตด้านการท่องเที่ยวพอสมควรครับ มีภูเขารูปโต๊ะ (Table Mountain) เป็นสัญลักษณ์ของเมือง และเป็นเมืองที่อยู่ทางใต้สุดของประเทศแอฟริกาใต้ครับ เมืองนี้ใช้สกุลเงินคือ ZAR(South African Rand แรนด์ครับ) R1 = 2.8x (4/2/15 via oanida.com) ถือว่าค่าเงินไม่สูงมาก จับจ่ายกำลังโอเคเลยครับ (แต่ตอนผมไปแลกเปลี่ยนค่าเงินอยู่ที่ 3.2x นี่คืออะไร
อันนี้เป็นภาพช่วงใบไม้ร่วงนะครับ
Cape Town มีทั้งหมด 4 ฤดูครับ ได้แก่
1. Summer - พฤศจิกายน ถึง มกราคม (อากาศร้อน ร้อนมาก ร้อนสุดๆ แต่ไม่เผาเท่าไทย)
2. Autumn - กุมภาพันธ์ ถึง เมษายน (อากาศสบายๆ เริ่มมีลมเย็น มีฝนตกนิดหน่อยช่วงแรกๆ แต่ปลายเมษาเริ่มมีฝนตกมากขึ้น)
3. Winter - พฤษภาคม ถึง กรกฎาคม (อากาศเย็น ถึงหนาว ประมาณเลขตัวเดียวครับ ฝนตกสนุกสนาน บางวันโชคดีฟ้าสว่าง)
4. Spring - สิงหาคม ถึง ตุลาคม (ช่วงนี้อากาศน่าพักผ่อนมาก ไม่ร้อน ไม่หนาว ฝนน้อย อากาศสบายมากกกกก)
สำหรับคนที่มีแผนเที่ยวช่วง winter ก็เช็คสภาพอากาศดีๆ นะครับ เพราะฝนตกกันเปียกแน่นอน
มาต่อกันเรื่องสังคมคนไทยใน เคปทาวน์ กันบ้าง ต้องบอกเลยครับว่ามาเมืองนี้ไม่เจอคนไทยสักคนนี่แปลกมาก ครับ เพราะว่าร้านอาหารไทย เยอะมาก เยอะไปกว่านั้นก็จะเป็นร้านนวดแผนโบราณฉบับไทยๆ เรา คือมาเมืองนี้ถ้าอยากทานอาหารไทยรับรองว่า ไม่อดตาย มีให้เลือกตั้งแต่ราคาเบาๆ จนไปถึงขั้นใส่ชุดสูทนั่งทานเลยก็มีนะ นักเรียนแลกเปลี่ยนที่มาจากไทยในเมืองนี้ก็มีมากพอสมควรครับ และที่สำคัญเมืองนี้ยังมีวัดไทยอีกด้วยนะครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ส่วนรายชื่อร้านอาหารไทยและพิกัดรวมไปถึงวิธีการเดินทางผมจะเขียนไว้ให้ด้านล่างนะครับ
นักเรียนส่วนมากก็จะถูกส่งไปอยู่ส่วน Suburb สะส่วนใหญ่ จะเป็นทางตอนเหนือ ตอนใต้ และฝั่งตะวันตก เช่น Wynberg, Strandfontein, Brackenfell, Bellville, Ottery, Steenberg, Grassy Park และ Heathfield เป็นต้น
การเดินทาง มีอยู่หลักๆ ก็ประมาณ 6 แบบด้วยกัน ซึ่งได้แก่
1. รถตู้โดยสาร (Black Taxi หรือ Taxi) คนเคปทาวน์จะเรียกรถจําพวกนี้ว่า Taxi ครับผม ซึ่งจริงๆ Taxi แบบนี้จะมีทั่วเคปทาวน์เลยครับผม ตั้งแต่ใต้ จนเหนือ รับรองว่ามีแน่นอน!! แต่อาจจะไม่ปลอดภัยสักเท่าไหร่ เพราะส่วมมากคนผิวดำจะขับและใช้บริการกันครับ เลยเป็นเหตุที่เรียกกันว่า Black Taxi ครับผม
2. รถบัส (Golden Arrow Bus) ช่องทางที่สองคือ รถบัส รถบัสมีทุกที่เช่นเดียวกับ taxi ครับ แต่รถบัสจะสะดวกกว่า Taxi ตรงที่เราสามารถตรวจสอบเส้นทางการเดินทางและเส้นทางที่รถบัสตัดได้ทาง Website ของรถบัส และแถมยังปลอดภัยกว่า Black Taxi อีกด้วยครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
3. รถไฟ (Metrorail) รถไฟถือเป็นสิ่งไม่มีชีวิตอีกอย่างนึงที่คนเคปทาวน์ใช้ในการเดินทาง มีครบทุกสายมีครบทุกระดับเลยน่ะ (แน่ใจหรอ?) เปล่าหรอกครับ รถไฟที่นี้มีทั้งหมด 6 สายหลักภายในตัวเมือง และมีสายออกไปยังจังหวัดอื่นๆ อีกด้วย [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
4. รถบัสพิเศษ (My Citi Bus) พูดง่ายๆเลยครับว่า My Citi Bus ไม่ต่างอะไรไปจาก BRT บ้านเราเลย MCB นี้ราคาแพงอลังเลย แต่ตอนนี้ปรับราคาลงมามาก และถูกกกกกก ด้วย (บ้านเรา5บาทตลอดสายเองน่ะ) ซึ่งกว่าเราจะนั่ง MCB ได้นั้นเราต้องสมัคร MCB Card กันก่อน ซึ่งค่าสมัครจะอยู่ที่ R23 และสามารถเติมตังค์ได้ที่สถานีใหญ่ๆ เช่น Civic Centre, Airport, Century City และ Queens Beach เป็นต้น MCB ถือเป็น รถโดยสารสาธารณะที่ปลอดภัยที่สุดแล้วก็ว่าได้ครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
5. บัสนําเที่ยว (Red Bus / Sigh Seeing Bus) หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า Topless อันนี้คือของที่โหดที่สุด เพราะราคาน่ารักสุดละ บัสนําเที่ยว เป็นลักษณะ บัสเปิดหลังคา สองชั้น มีไกด์บรรยายหลายภาษา(เป็นเสียงอัด) ซึ่งไทยไม่มีน่ะ 5555 บัสนําเที่ยวนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองสายหลักๆ + 1 ล่องเรือง + 1 ไกด์เดินทัวร์ซึ่งสายแรกก็คือ Red Route หรือบัสสายสีแดง สายนี้จะเป็นสายหลักครับ จะทัวร์ภายในตัวเมือง City of Cape Town ครับไม่ออกนอกเมืองไปไกลมาก ต่อมาสายที่สองคือ Blue Route สายนี้จะเน้นนอกเมืองฝั่งตะวันออกและตอนใต้ไปสายนี้รับรองได้ชิมไวน์ด้วยแหละ(นั่งรถอีกต่อนึง) ต่อมาด้วยเส้นทางที่สามเส้นทางนี้ไม่ใช่ถนนเเต่เป็นการล่องเรือในตัวเมือง ไม่ออกไปไกลมาก และส้นทางสุดท้ายคือ ไกด์นําเที่ยว ซึ่งนี้เป้นบริการใหม่ที่เพิ่งออกมาเลยครับ คือจะมีไกด์นําเที่ยวในบริเวรต่างๆ ที่ทางบริษัทได้จัดไว้ อธิบายเเละนําเที่ยวเป็นรอบๆ ซึ่งเราสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ทาง Website (ซึ่งตั๋วออนไลน์จะได้ส่วนลด 23.5%) [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
6. รถ Taxi แบบมิเตอร์ ( Private Cab ) นี้ก็ถือว่าโห๊ด โหด แต่ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น ซึ่ง Private Taxi ผมขอแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ Taxi Metre กับ Uber นะครับ ซึ่ง Taxi Metre จะแพงกว่า Uber ครับ เพราะว่า Taxi Metre จะคิด 1 กิโลต่อ R10 ครับ ซึ่งก็ถือว่าแพ๊งแพง แต่ Uber จะเริ่มต้นที่ R7.5 ครับผม
สำหรับข้อมูลเรื่องการเดินทางผมได้ทำไฟล์ไว้ให้แล้วหาดใครสนใจสามารถโหลดได้ครับ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมขอพักช่วงไว้แค่นี้ก่อนนะครับ เดี่ยวมาต่อ ให้เรื่อยๆ ครับผม