สวัสดีค่ะ (ขอแท็กปัญหาครอบครัวด้วยนะคะ เผื่อจะมีทางแก้ค่ะ)
ก่อนอื่นต้องขอเริ่มเรื่องก่อนเลยนะคะ
แถวบ้านเรามีแมวจรจัดมานานมาก มาจากหลายๆเหตุผลเพราะสมัยก่อนคนเลี้ยงสัตว์ยังไม่ยอมรับการทำหมัน
ผู้ใหญ่บางคนแถวบ้านเรายังคิดว่าการทำหมันจะทำให้ไม่มีลูกอยู่เลย (ซึ่งไม่เกี่ยว T T)
ตรงหลังซอยบ้านเราจะมีโรงเรียนค่ะ เป็นโรงเรียนที่เช่าพื้นที่จากเจ้าของซึ่งเป็นเอกชน
โดยจะแบ่งพื้นที่ 80% เป็นพื้นที่ทางโรงเรียนเช่า อีก 20% เป็นพื้นที่ซึ่งปลูกบ้านกั้นเป็นบริเวณพักอาศัย
ของเจ้าของที่และลูกสาว
เจ้าของที่เป็นคนรักแมวมากค่ะ แกเลี้ยงของแกอยู่หลายตัวมาตั้งแต่หลายสิบปีที่แล้ว
โดยไม่ได้เอาแมวไปทำหมันแต่แรก ที่นี้แมวก็ออกลูกออกหลานเต็มไปหมด และพอพื้นที่บริเวณเต็ม
แมวก็ค่อยๆ ขยับขยาย ย้ายที่ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นสร้างความรำคาญให้ชาวบ้านข้างเคียง
เมื่อก่อนยังไม่เท่าไหร่ค่ะ บ้านใกล้เรือนเคียงสมัยก่อนไม่ค่อยมีเรื่องกัน
รั้วบ้านติดกันยังทะเลาะกันยาก ค่อยๆพูดค่อยๆจากัน และแมวก็คือแมว ไม่ต้องการก็ไล่ไป
แต่จากแมวบ้านที่เชื่องติดคน ออกลูกมาลูกไม่ค่อยได้เข้าหาคนก็กลายเป็นกลัว
จากแมวบ้านก็กลายเป็นแมวจรจัดในที่สุด
ปัญหามันเริ่มเกิดตอนแกเสียชีวิตไปแล้วค่ะ
เพราะแมวกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถออกมาแสดงความรับผิดชอบได้
ทางเจ้าของบ้านแกมีลูกสาวอยู่คนนึงแต่ลูกสาวเจ้าของบ้านจะไปต่างประเทศอยู่บ่อยๆ
บางทีไปเป็นเดือนๆ ด้วยหน้าที่การงาน คุณป้าเขาก็เป็นคนรักแมวเหมือนกันนะคะ
เพียงแต่แกไม่มีเวลาอยู่ดูแลเท่าไหร่ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป
คนเก่าๆแก่ๆ ก็เสียชีวิตไปหรือไม่ก็ย้ายไปอยู่กับลูกหลานที่อื่น
ส่วนคนที่มาใหม่ซื้อบ้านได้ ก็กลายเป็นเพื่อนบ้านใหม่ของเราไปโดยปริยาย
ในช่วงที่เราพอจะโตประมาณนึง น่าจะสัก 10-11 ขวบ ประชากรแมวที่เพิ่มขึ้นจนเกือบถึงจุดพีค
มีคนดักแมวไปปล่อยบ่อยมาก ตัวละ 100 มั่ง 150 มั่ง ละคนดูแลบ้านของแกก็มาเม้าส์
ว่าแมวคุณป้าเขาก็โดนไปด้วยค่ะ ตัวที่แกรักแล้วฝากคนดูแลบ้านดูให้
แล้วคนดูแลปล่อยให้ไปเดินเล่นตามประสาหลังจากนั้นก็หาไม่เจออีกเลย
แกปักใจว่าต้องมาคนอุ้มไป เพราะแมวมีปลอกคอ คนแถวนี้น่าจะรู้ดี(เป็นตัวที่คุณป้าแกรักเป็นพิเศษ)
แต่พอกลับมาก็จับมือใครดมไม่ได้
หลังๆเริ่มมีการพูดคุยกันเกี่ยวกับรุนแรงถึงขนาดทำให้ถึงแก่ชีวิต ซึ่งตอนนั้นเรายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ
เพราะหลายครั้งผู้ใหญ่ก็ไม่ได้พูดตรงๆ แต่พอโตแล้วตีความออกมาถึงเข้าใจว่า
เขาได้จัดการในวิธีของเขาไปแล้ว
จนหลังๆคุณป้าแกก็พยายามพาไปทำหมันนะคะ แต่มันไม่ใช่ทุกตัวแกทำให้ส่วนที่แกคิดว่าเป็นแมวของแก
แล้วป้าก็ไม่ได้อยู่ตลอดเวลา ยังต้องเดินทางอีกเรื่อยๆ ตอนนี้แมวที่คุณป้าเขาเอ็นดูจริงๆก็เอาไปอยู่ที่อื่นแล้ว
แต่แมวพี่น้องต้นตระกูลจากแม่ของคุณป้าเขา
...... มันยังอยู่เนี่ยสิ!
เราไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้อีกเลย ใช้ชีวิตปกติเหมือนเด็กทั่วไป กินๆเล่นๆ จนกระทั่งช่วงจะสอบเข้ามหาลัย
ก็มีแมวจรจัดเอาลูกมาทิ้งเอาไว้ที่บ้านเรา ภายในบ้านมีการทะเลาะกันแรงๆหลายหน
เพราะเราจะเลี้ยงให้ได้จนกระทั่งเขายอม ตอนนี้เราก็มีแมวที่อยู่ในบ้านของเราอยู่หนึ่งตัว
ตัวแม่แมวเราจับทำหมัน ตัวลูกก็ทำหมันหมด
จนตอนนี้เรารับเลี้ยงแมวจรจัดอักสองตัว เราก็จับทำหมันเรียบร้อย อยู่กันปกติสุขดีค่ะ
เพียงแต่เราไม่สามารถนำเขาเข้ามาเลี้ยงในบ้านได้เหมือนลูกแมวตัวที่เราเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก
ส่วนนึงเพราะบ้านเราเป็นบ้านที่สร้างมาแบบโครงสร้างเก่า สำหรับรับลม
ส่วนระเบียงจะเปิดกว้างแบบไม่กลัวโจรขโมยเลยค่ะ แมวเข้าออกได้ตามใจ
แต่ก็มีบางครั้งที่เขาเข้ามานอนในบ้านบ้างก็จะดีใจมาก
แต่ปัญหามันไม่หมดค่าาาาาาาาาาา คู๊ณณณณณณณณณณณณณณณณ!
หน้าปากซอยเรามีผู้สูงอายุอยู่คนนึงค่ะ สักสาม-สี่ทุ่มเวลาเรากลับจากทำงาน เราจะเห็นคุณยายคนนี้
เดินขากระเผกๆให้อาหารแมวประจำ แต่ก้ไม่เคยคุยกันเพราะไม่รู้จักกัน
อาจจะเพราะไม่มีโอกาสได้คุยด้วย เราทำงาน 6 วัน/สัปดาห์ บางครั้งก็รับสอนพิเศษเด็กๆก็กลับดึก
บางคืนถ้าไม่เจอเห็นแต่กล่องโฟมซีกนึงที่วางทิ้งเอาไว้ตามที่ต่างๆ จากตอนแรกๆเห็นแค่ 2 ตัว มุ้งมิ้งๆ
พักหลังมานี่ชักจะเริ่มเยอะแหะ จาก 2 เป็น 5 จากห้า เป็น 7 เอ๊ะ! นี่มันชักจะไม่ดี
แล้วมันก็จริงตรงที่ว่าคุณยายท่านให้อาหารอย่างเดียวแต่ไม่ได้นำแมวไปทำหมันค่ะ
จนกระทั่งเมื่อจำนวนแมวเพิ่มขึ้น ก็เข้าสเต็ปเดิมคือการขยับขยายพื้นที่ไปยังแหล่งอาหารอื่นๆ
และหลีกเลี่ยงการทะเลาะกับแมวตัวอื่น เพราะเป็นแมวอ่อนแอ
และสุดท้ายแมวก็ขยายพื้นที่มากลางซอยซึ่งเป็นพื้นที่บ้านเราค่ะ
พอมาแล้วจะไม่ให้ก็สงสารค่ะ แต่ถ้าให้เราก็จะโดนทางบ้านและข้างบ้านทั้งซ้ายและขวาตำหนิเอาเช่นกัน
รวมถึงครอบครัวของเราเองก็ด้วย เพราะคิดว่าแมวเป็นสัตว์สร้างความเดือดร้อนรำคาญ
และเรากลัวว่าถ้ามันเยอะมาฝั่งเรามากๆ ภัยอาจจะมาถึง
แมวจรจัดที่เรารับอุปการะอยู่แต่นำเข้าบ้านไม่ได้ เนื่องจากข้อจำกัดทางครอบครัว
ที่แค่เขาให้เลี้ยงแมวสองตัวหน้าบ้านเพิ่ม ก็ถือว่าเป็นเส้นตายที่ขีดเอาไว้แล้วว่า ต้องได้แค่นี้จริงๆ
ด้วยสภาพครอบครัวที่ไม่ได้เหลือกินเหลือใช้ค่ะ ทางบ้านมีความกังวลกับเรามาก
ว่าจะหมดเปลืองทั้งเวลา และทรัพย์สินไปกับแมว(ซึ่งพูดตรงๆเลยว่าจริงค่ะ)
เพราะทางบ้านเรารักเรามากค่ะ เขาไม่อยากให้เราไปยุ่งมากนัก เพราะรู้ว่าตัวเราเป็นคนขี้สงสาร
เขากลัวเราจะประมาณตัวไม่ได้ ว่าเท่าไหร่เราถึงจะไม่เดือดร้อน กลัวว่าถ้าปล่อยเราให้มีเรื่อยๆ
มันจะกลายเป็นบ่วงรัดคอเราไป เพราะเราเพิ่งทำงานได้ไม่กี่ปี ภาระที่บ้านยังรับผิดชอบได้แค่นิดหน่อยเท่านั้น
เราอยากเอาแมวไปทำหมัน ทางบ้านก็ไม่ยินยอมกับเรื่องนี้เลยค่ะ สำหรับเราๆไม่ได้เดือดร้อน
เพราะมีที่มีทำหมันฟรีซึ่งแมวหน้าบ้านเราเองก็ผ่านการทำหมันฟรีมาทั้งนั้น
แต่สำหรับที่บ้านเราเขาจะคิดว่ามันเป็นการหาเหาใส่หัว จู่ๆทำไมถึงไปรับภาระคนอื่นมาวุ่นวาย
ที่ผ่านมาเราพยายามอธิบายด้วยเหตุผล ว่าถ้าไม่มีคนทำแมวก็จะยังเยอะแยะอยู่ต่อไป
และอีกหลายๆอย่างเกี่ยวกับข้อดีของการลงมือทำ ไม่ต้องรอคนอื่น หรือไม่ใช่แค่คิดว่าถ้าไม่ให้อาหารคือจบ
แมวก็ไปที่อื่น แต่เขาก็ไม่ฟังเรื่องนี้ จนเราเหนื่อยที่จะทะเลาะกัน ไม่อยากให้มีปัญหาในบ้านอีก
ทุกครั้งเวลาเหนื่อยๆกลับบ้าน หรือเวลาเรื่องนี้เป็นหัวข้อสนทนาตอนกินข้าวเราเฟลมากค่ะ
สุดท้ายแล้ว เราคิดว่าแมวที่ขยับขยายจากปากซอยและท้ายซอย(โรงเรียน)มาขออาหารเรากิน
ก็คงจะท้องอีกตามระเบียบ(และคิดว่าตอนนี้คงท้องอยู่) และเราเองก็ไม่สามารถจะไปก้าวก่ายตรงนี้ได้มากแล้ว
เพราะทางบ้านก็จับจ้องคอยปรามอยู่ตลอดเวลา และไม่คิดว่าแมวตัวนี้จะเป็นตัวสุดท้าย
มีตัวแรก ก็คงต้องมีตัวต่อๆมา ..
ตอนนี้ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วค่ะ ไปซ้าย ไปขวาก็เหมือนงงๆไปหมด
น้องใหม่ผู้หญิงก็ไม่เชื่องจับไม่ได้ด้วย ถ้าปล่อยให้มีลูกก็กลับไปสู่วังวนเดิมๆอีก
และที่เรากลัวอีกอย่างคือเมื่อคุณยายจากไป สมบัติมีชีวิตพวกนี้จะเป็นยังไง ...?
รบกวนพื้นที่ขอระบายหน่อยนะคะ อาจจะรกและยาวไปหน่อย
เรียบเรียงอะไรไม่เก่งค่ะ ขอบคุณที่ผ่านมาอ่านค่ะ T________T
***แก้ไขคำผิดค่ะ***
[ระบาย] คนเลี้ยงแมวจรจัดแถวบ้าน ไม่ยอมนำแมวไปทำหมันค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอเริ่มเรื่องก่อนเลยนะคะ
แถวบ้านเรามีแมวจรจัดมานานมาก มาจากหลายๆเหตุผลเพราะสมัยก่อนคนเลี้ยงสัตว์ยังไม่ยอมรับการทำหมัน
ผู้ใหญ่บางคนแถวบ้านเรายังคิดว่าการทำหมันจะทำให้ไม่มีลูกอยู่เลย (ซึ่งไม่เกี่ยว T T)
ตรงหลังซอยบ้านเราจะมีโรงเรียนค่ะ เป็นโรงเรียนที่เช่าพื้นที่จากเจ้าของซึ่งเป็นเอกชน
โดยจะแบ่งพื้นที่ 80% เป็นพื้นที่ทางโรงเรียนเช่า อีก 20% เป็นพื้นที่ซึ่งปลูกบ้านกั้นเป็นบริเวณพักอาศัย
ของเจ้าของที่และลูกสาว
เจ้าของที่เป็นคนรักแมวมากค่ะ แกเลี้ยงของแกอยู่หลายตัวมาตั้งแต่หลายสิบปีที่แล้ว
โดยไม่ได้เอาแมวไปทำหมันแต่แรก ที่นี้แมวก็ออกลูกออกหลานเต็มไปหมด และพอพื้นที่บริเวณเต็ม
แมวก็ค่อยๆ ขยับขยาย ย้ายที่ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นสร้างความรำคาญให้ชาวบ้านข้างเคียง
เมื่อก่อนยังไม่เท่าไหร่ค่ะ บ้านใกล้เรือนเคียงสมัยก่อนไม่ค่อยมีเรื่องกัน
รั้วบ้านติดกันยังทะเลาะกันยาก ค่อยๆพูดค่อยๆจากัน และแมวก็คือแมว ไม่ต้องการก็ไล่ไป
แต่จากแมวบ้านที่เชื่องติดคน ออกลูกมาลูกไม่ค่อยได้เข้าหาคนก็กลายเป็นกลัว
จากแมวบ้านก็กลายเป็นแมวจรจัดในที่สุด
ปัญหามันเริ่มเกิดตอนแกเสียชีวิตไปแล้วค่ะ
เพราะแมวกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถออกมาแสดงความรับผิดชอบได้
ทางเจ้าของบ้านแกมีลูกสาวอยู่คนนึงแต่ลูกสาวเจ้าของบ้านจะไปต่างประเทศอยู่บ่อยๆ
บางทีไปเป็นเดือนๆ ด้วยหน้าที่การงาน คุณป้าเขาก็เป็นคนรักแมวเหมือนกันนะคะ
เพียงแต่แกไม่มีเวลาอยู่ดูแลเท่าไหร่ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป
คนเก่าๆแก่ๆ ก็เสียชีวิตไปหรือไม่ก็ย้ายไปอยู่กับลูกหลานที่อื่น
ส่วนคนที่มาใหม่ซื้อบ้านได้ ก็กลายเป็นเพื่อนบ้านใหม่ของเราไปโดยปริยาย
ในช่วงที่เราพอจะโตประมาณนึง น่าจะสัก 10-11 ขวบ ประชากรแมวที่เพิ่มขึ้นจนเกือบถึงจุดพีค
มีคนดักแมวไปปล่อยบ่อยมาก ตัวละ 100 มั่ง 150 มั่ง ละคนดูแลบ้านของแกก็มาเม้าส์
ว่าแมวคุณป้าเขาก็โดนไปด้วยค่ะ ตัวที่แกรักแล้วฝากคนดูแลบ้านดูให้
แล้วคนดูแลปล่อยให้ไปเดินเล่นตามประสาหลังจากนั้นก็หาไม่เจออีกเลย
แกปักใจว่าต้องมาคนอุ้มไป เพราะแมวมีปลอกคอ คนแถวนี้น่าจะรู้ดี(เป็นตัวที่คุณป้าแกรักเป็นพิเศษ)
แต่พอกลับมาก็จับมือใครดมไม่ได้
หลังๆเริ่มมีการพูดคุยกันเกี่ยวกับรุนแรงถึงขนาดทำให้ถึงแก่ชีวิต ซึ่งตอนนั้นเรายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ
เพราะหลายครั้งผู้ใหญ่ก็ไม่ได้พูดตรงๆ แต่พอโตแล้วตีความออกมาถึงเข้าใจว่า
เขาได้จัดการในวิธีของเขาไปแล้ว
จนหลังๆคุณป้าแกก็พยายามพาไปทำหมันนะคะ แต่มันไม่ใช่ทุกตัวแกทำให้ส่วนที่แกคิดว่าเป็นแมวของแก
แล้วป้าก็ไม่ได้อยู่ตลอดเวลา ยังต้องเดินทางอีกเรื่อยๆ ตอนนี้แมวที่คุณป้าเขาเอ็นดูจริงๆก็เอาไปอยู่ที่อื่นแล้ว
แต่แมวพี่น้องต้นตระกูลจากแม่ของคุณป้าเขา
...... มันยังอยู่เนี่ยสิ!
เราไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้อีกเลย ใช้ชีวิตปกติเหมือนเด็กทั่วไป กินๆเล่นๆ จนกระทั่งช่วงจะสอบเข้ามหาลัย
ก็มีแมวจรจัดเอาลูกมาทิ้งเอาไว้ที่บ้านเรา ภายในบ้านมีการทะเลาะกันแรงๆหลายหน
เพราะเราจะเลี้ยงให้ได้จนกระทั่งเขายอม ตอนนี้เราก็มีแมวที่อยู่ในบ้านของเราอยู่หนึ่งตัว
ตัวแม่แมวเราจับทำหมัน ตัวลูกก็ทำหมันหมด
จนตอนนี้เรารับเลี้ยงแมวจรจัดอักสองตัว เราก็จับทำหมันเรียบร้อย อยู่กันปกติสุขดีค่ะ
เพียงแต่เราไม่สามารถนำเขาเข้ามาเลี้ยงในบ้านได้เหมือนลูกแมวตัวที่เราเลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก
ส่วนนึงเพราะบ้านเราเป็นบ้านที่สร้างมาแบบโครงสร้างเก่า สำหรับรับลม
ส่วนระเบียงจะเปิดกว้างแบบไม่กลัวโจรขโมยเลยค่ะ แมวเข้าออกได้ตามใจ
แต่ก็มีบางครั้งที่เขาเข้ามานอนในบ้านบ้างก็จะดีใจมาก
แต่ปัญหามันไม่หมดค่าาาาาาาาาาา คู๊ณณณณณณณณณณณณณณณณ!
หน้าปากซอยเรามีผู้สูงอายุอยู่คนนึงค่ะ สักสาม-สี่ทุ่มเวลาเรากลับจากทำงาน เราจะเห็นคุณยายคนนี้
เดินขากระเผกๆให้อาหารแมวประจำ แต่ก้ไม่เคยคุยกันเพราะไม่รู้จักกัน
อาจจะเพราะไม่มีโอกาสได้คุยด้วย เราทำงาน 6 วัน/สัปดาห์ บางครั้งก็รับสอนพิเศษเด็กๆก็กลับดึก
บางคืนถ้าไม่เจอเห็นแต่กล่องโฟมซีกนึงที่วางทิ้งเอาไว้ตามที่ต่างๆ จากตอนแรกๆเห็นแค่ 2 ตัว มุ้งมิ้งๆ
พักหลังมานี่ชักจะเริ่มเยอะแหะ จาก 2 เป็น 5 จากห้า เป็น 7 เอ๊ะ! นี่มันชักจะไม่ดี
แล้วมันก็จริงตรงที่ว่าคุณยายท่านให้อาหารอย่างเดียวแต่ไม่ได้นำแมวไปทำหมันค่ะ
จนกระทั่งเมื่อจำนวนแมวเพิ่มขึ้น ก็เข้าสเต็ปเดิมคือการขยับขยายพื้นที่ไปยังแหล่งอาหารอื่นๆ
และหลีกเลี่ยงการทะเลาะกับแมวตัวอื่น เพราะเป็นแมวอ่อนแอ
และสุดท้ายแมวก็ขยายพื้นที่มากลางซอยซึ่งเป็นพื้นที่บ้านเราค่ะ
พอมาแล้วจะไม่ให้ก็สงสารค่ะ แต่ถ้าให้เราก็จะโดนทางบ้านและข้างบ้านทั้งซ้ายและขวาตำหนิเอาเช่นกัน
รวมถึงครอบครัวของเราเองก็ด้วย เพราะคิดว่าแมวเป็นสัตว์สร้างความเดือดร้อนรำคาญ
และเรากลัวว่าถ้ามันเยอะมาฝั่งเรามากๆ ภัยอาจจะมาถึง
แมวจรจัดที่เรารับอุปการะอยู่แต่นำเข้าบ้านไม่ได้ เนื่องจากข้อจำกัดทางครอบครัว
ที่แค่เขาให้เลี้ยงแมวสองตัวหน้าบ้านเพิ่ม ก็ถือว่าเป็นเส้นตายที่ขีดเอาไว้แล้วว่า ต้องได้แค่นี้จริงๆ
ด้วยสภาพครอบครัวที่ไม่ได้เหลือกินเหลือใช้ค่ะ ทางบ้านมีความกังวลกับเรามาก
ว่าจะหมดเปลืองทั้งเวลา และทรัพย์สินไปกับแมว(ซึ่งพูดตรงๆเลยว่าจริงค่ะ)
เพราะทางบ้านเรารักเรามากค่ะ เขาไม่อยากให้เราไปยุ่งมากนัก เพราะรู้ว่าตัวเราเป็นคนขี้สงสาร
เขากลัวเราจะประมาณตัวไม่ได้ ว่าเท่าไหร่เราถึงจะไม่เดือดร้อน กลัวว่าถ้าปล่อยเราให้มีเรื่อยๆ
มันจะกลายเป็นบ่วงรัดคอเราไป เพราะเราเพิ่งทำงานได้ไม่กี่ปี ภาระที่บ้านยังรับผิดชอบได้แค่นิดหน่อยเท่านั้น
เราอยากเอาแมวไปทำหมัน ทางบ้านก็ไม่ยินยอมกับเรื่องนี้เลยค่ะ สำหรับเราๆไม่ได้เดือดร้อน
เพราะมีที่มีทำหมันฟรีซึ่งแมวหน้าบ้านเราเองก็ผ่านการทำหมันฟรีมาทั้งนั้น
แต่สำหรับที่บ้านเราเขาจะคิดว่ามันเป็นการหาเหาใส่หัว จู่ๆทำไมถึงไปรับภาระคนอื่นมาวุ่นวาย
ที่ผ่านมาเราพยายามอธิบายด้วยเหตุผล ว่าถ้าไม่มีคนทำแมวก็จะยังเยอะแยะอยู่ต่อไป
และอีกหลายๆอย่างเกี่ยวกับข้อดีของการลงมือทำ ไม่ต้องรอคนอื่น หรือไม่ใช่แค่คิดว่าถ้าไม่ให้อาหารคือจบ
แมวก็ไปที่อื่น แต่เขาก็ไม่ฟังเรื่องนี้ จนเราเหนื่อยที่จะทะเลาะกัน ไม่อยากให้มีปัญหาในบ้านอีก
ทุกครั้งเวลาเหนื่อยๆกลับบ้าน หรือเวลาเรื่องนี้เป็นหัวข้อสนทนาตอนกินข้าวเราเฟลมากค่ะ
สุดท้ายแล้ว เราคิดว่าแมวที่ขยับขยายจากปากซอยและท้ายซอย(โรงเรียน)มาขออาหารเรากิน
ก็คงจะท้องอีกตามระเบียบ(และคิดว่าตอนนี้คงท้องอยู่) และเราเองก็ไม่สามารถจะไปก้าวก่ายตรงนี้ได้มากแล้ว
เพราะทางบ้านก็จับจ้องคอยปรามอยู่ตลอดเวลา และไม่คิดว่าแมวตัวนี้จะเป็นตัวสุดท้าย
มีตัวแรก ก็คงต้องมีตัวต่อๆมา ..
ตอนนี้ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วค่ะ ไปซ้าย ไปขวาก็เหมือนงงๆไปหมด
น้องใหม่ผู้หญิงก็ไม่เชื่องจับไม่ได้ด้วย ถ้าปล่อยให้มีลูกก็กลับไปสู่วังวนเดิมๆอีก
และที่เรากลัวอีกอย่างคือเมื่อคุณยายจากไป สมบัติมีชีวิตพวกนี้จะเป็นยังไง ...?
รบกวนพื้นที่ขอระบายหน่อยนะคะ อาจจะรกและยาวไปหน่อย
เรียบเรียงอะไรไม่เก่งค่ะ ขอบคุณที่ผ่านมาอ่านค่ะ T________T
***แก้ไขคำผิดค่ะ***