อีกเสียงหนึ่งจากคนที่โดนเพื่อนชวนไปทำธุรกิจระหว่างเรียน

สวัสดีครับชาวพันทิปทุกคน มีเพื่อนผมคนนึงฝากวานเอาข้อความมาเผยแพร่หนะครับ เนื่องจากเธอยังไม่ได้สมัครพันทิป (แต่ผมทดลองสมัครและยืนยันตัวตนแล้ว) เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนผู้หญิงและเพื่อนคนที่ถูกกล่าวถึงในข้อความด้านล่าง มาจากรร.เดียวกันครับ พอเข้ามหาลัยทุกคนก็ต่างมีความฝันของตัวเอง เพื่อนที่ถูกกล่าวถึงนั้น เลือกจะทำธุรกิจในระหว่างเรียนไปด้วยก็เลยกลายเป็นเรื่องทีทำให้เพื่อนในกลุ่มรู้สึกแปลกๆไปอะนะ เพื่อนผู้หญิงคนนี้รู้สึกอึดอัดมากเลยให้ผมช่วยตั้งกระทู้พันทิปให้หน่อยหนะครับ เพื่อรบกวน ขอความเห็นหรือวิธีการที่จะแก้ไข

"

เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนเก่าสมัยมัธยม เราทั้งคู่ต่างก็เรียนจบมาจากโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งแถวถนนพญาไท
ตอนนั้นเราอยู่ปี1 อยู่ดีดีเพื่อนคนนี้ก็โทรมาทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยโทรหากันมาก่อน
บอกว่าอยากขอให้ไปช่วยทำแบบสอบถามให้หน่อย นัดเจอแบบตัวตัวที่ห้างแถวมหาลัย
สมัยก่อนเพื่อนคนนี้เป็นคนซื่อๆ ร่าเริง ดูจริงใจ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ไม่ใช่คนชอบโกหกหลอกลวงใคร
เพราะเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยอยู่ประถม ตัวเล็กๆ นั่งเล่นเกมกดด้วยกัน เรารู้จักกันมานานมาก
เนื่องจากเพื่อนคนนี้กำลังศึกษาอยู่ในคณะแพทย์ศาสตร์ เราจึงเข้าใจว่า
เขาต้องการสอบถามเราเพื่อรวบรวมข้อมูลไปใช้ในการเรียนในคณะแพทย์ที่เขาเรียนอยู่
เราทั้งคู่เรียนจบสายวิทย์มาแต่เราเข้าเรียนต่อในคณะสายศิลป์จึงถามเขาไปว่า
ต้องเป็นเด็กจากคณะที่เราเรียนอยู่เท่านั้นใช่ไหม
เพราะเขาเองก็มีเพื่อนคนอื่นเยอะแยะ แต่ทำไมต้องเลือกโทรมาขอเรา
จึงคิดว่า เราเรียนคณะที่ค่อนข้างต่างจากคนอื่นมั้ง? เพราะเพื่อนส่วนใหญ่ของเราก็เรียนต่อคณะสายวิทย์กันทั้งนั้น)
เขาก็ตอบว่า ใช่ ต้องเป็นคณะนี้เท่านั้น หลังจากนั้นก็นัดแนะกันไปคุย เนื่องจากเป็นเพื่อนเก่าจึงไม่ได้ติดใจอะไร

พอมาเจอกัน หลังจากสอบถามข้อมูลเบื้องต้นแล้วเขาก็เริ่มพูดเรื่อง

"เงินสี่ด้าน" "งานประเภทที่4" "รายได้ในฝัน" "จำนวนเงินที่ต้องใช้เพื่อเป้าหมายชีวิต"

เขาบอกว่าเขามาจากกลุ่มที่ต้องการสร้างความสำเร็จในชีวิตให้กับคนรุ่นใหม่
เราก็ลองถามดูว่าแล้วทำไมสมาชิกถึงไม่โปรโมทกลุ่มนี้กันแบบสาธารณะ เช่นตามทีวีหรือป้ายโฆษณา
ไม่เห็นจำเป็นต้องนัดมาคุยตัวตัวเลย ถ้ามันดีจริงก็น่าจะมีแต่คนแย่งกันเข้าแล้วสิ แล้วสมาชิกนี่เป็นคนระดับอายุไหนบ้าง
เขาก็ตอบประมาณว่า การอธิบายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมากๆต้องใช้เวลานานกว่าจะอธิบายให้คนๆหนึ่งเข้าใจ
(หรา? เราว่ามันไม่ใช่เรื่องเข้าใจยากอะไรเลยนะ เรียกคนฟังมาฟังพร้อมกันอีกหลายๆคนก็ไม่น่าจะมีปัญหา)
เราพยายามซักถามชื่อโครงการและรายละเอียดโครงการแต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยง บอกว่ากลุ่มนี้ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก
เขาพูดเหมือนกับว่าอาชีพในสายงานด้านศิลป์ที่เรากำลังเรียนอยู่มันได้เงินไม่พอสำหรับเป้าหมายชีวิตร้อกกกกกก
(พูดง่ายๆก็คือกำลังดูถูกเราและอนาคตเราอยู่นั่นแหละ แต่ใช้คำแนวสุภาพเนื่องจากคงยังเห็นเราเป็นเพื่อนอยู่
เราก็พอเข้าใจนะ ก็เขาเรียนอยู่คณะแพทย์ แต่ก็แอบสงสัยว่า แล้วคนเรียนจบคณะแพทย์มันได้เงินน้อยถึงขั้นไม่
พอทำตามเป้าหมายในชีวิตจนตัวเขาต้องมาเข้ากลุ่มนี้เลยเหรอ)

สุดท้ายเขาก็ชวนเราไปร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสมาชิกกลุ่มที่อาคารหรูแห่งหนึ่งในย่านใจกลางเมือง
โดยบอกว่าตามความสมัครใจและความสะดวกของเรา ซึ่งเราก็ตอบปฏิเสธไปเพราะช่วงนั้นกำลังยุ่งอยู่กับกิจกรรมของหมาวิทยาลัย
แต่เขาก็บอกอีกว่า ถ้าสนใจเมื่อไหร่ก็ให้ติดต่อมาหาเขาได้เลย กิจกรรมนี้มีจัดเป็นประจำ

บอกตรงๆเลยว่า จนคุยกับเพื่อนคนนี้เสร็จ แยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้ว เราก็ยังไม่รู้ว่ามันคือการชวนไปเป็น

"คนมีฝันชั้นต่ำ(กว่าคนชวน)"

เราไม่เคยรู้สึกแอนตี้ธุรกิจขายตรงมาก่อนเลย ต้องบอกว่าไม่เคยคิดว่ามันไม่ดีมากกว่า ไม่เคยรู้จักจริงๆจังๆเลยซักเจ้า
ที่บ้านเรามีผลิตภัณฑ์ชองแอมเวย์อยู่บ้างบางชิ้น ซึ่งคนที่บ้านของเราซื้อมาเพราะมีญาติมาเซ้าซี้ให้ช่วยซื้อ
เราก็เข้าใจมาตลอดว่า ที่คนไม่ชอบขายตรงนี่เป็นเพราะของมันแพงเกินควรเท่านั้น
แต่หลังจากที่คุยกับเพื่อนคนนั้นแล้ว เราก็สงสัยในพฤติกรรมประหลาดอ้อมจักรวาลของเขามากๆ
จึงไปเสิร์ชกูเกิ้ลดูก็ได้พบกับกระทู้และข้อความบอกเล่าจำนวนมากที่บอกเล่าถึงการกระทำของคนประหลาด
ที่อยู่ดีดีก็เกิดทำตัวเหมือนเพื่อเราคนนี้ขึ้นมา มันมีเป็นหลายสิบหลายร้อย ซึ่งยังไม่รวมถึงคนที่โดนแต่ไม่ได้มาบอกเล่าต่อในอินเทอร์เนต

หลังจากนั้นหลายเดือน อยู่ดีดีก็มีรุ่นพี่ต่างสาขาในคณะเดียวกันโทรมาขอให้ไปช่วยทำแบบสอบถามการวิจัยสำหรับงานศิลปนิพนธ์
เราจึงถามเขาไปว่า ได้เบอร์ของเรามาได้ยังไง(ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน) เขาตอบว่าได้มาจากการขอรุ่นน้องซึ่งอยู่ในสาขาของเขาที่ได้เบอร์เราไปตั้งแต่ตอนกิจกรรมรับน้อง
นัดเจอกันที่ร้านกาแฟแถวคณะ พอเราเปิดประตูเข้าไปก็มีชายสวมแว่นดูท่าทางภูมิฐานนั่งอยู่ข้างๆรุ่นพี่(ที่เราก็ไม่เคยรู้จัก)
เราถามขึ้นมาทันทีว่า "แอมเวย์ใช่มั้ย" เขาก็บอกว่า รู้แล้วเหรอ งั้นก็มาลองฟังดูอีกรอบนะ เผื่อจะเปลี่ยนใจ
เราอยากจะกระโดดสกายคิกหนุ่มแว่นคนนั้นอย่างมากแต่ก็เกรงใจรุ่นพี่ใกล้จบ(ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน)ที่โทรเรียกเรามาจึงต้องยอมทนนั่งฟังอีกรอบ แม่_เอ๊ย!
เขาใช้กระดาษแบบสอบถามแบบเดียวกันกับที่เพื่อนเก่าเราเคยเอามาใช้กับเรา มีโลโก้เดียวกันเลยด้วย
พอเขาพูดจบ(รุ่นพี่เราไม่ได้พูดอะไรเลย นั่งยิ้มอย่างเดียว) เขาก็ถามว่า ไง เปลี่ยนใจหรือยังเราก็รีบบอกว่าไม่แล้วกล่าวลาอย่างสุภาพ
ก่อนจะเดินออกจากร้าน แต่พอเปิดประตูปุ๊ป ก็มีเพื่อนสาขาเดียวกับเราอีกสามคนกำลังจะเดินเข้าร้าน โอ้วพระเจ้า มันจะสร้างทายาทอสูรเรอะ!
เราจึงบอกเพื่อทั้งสามคนไปว่าไอ้พวกนี้มันต้มตุ๋นหลอกลวง ดูเหมือนเพื่อนๆก็จะเชื่อเรา รู้สึกเหมือนได้ช่วยชีวิตคนไว้ซักประมาณสามคนเลย

หลังจากนั้นไม่กี่วัน เรานั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะส่วนรวมในมหาวิทยาลัย มีนิสิตชายสวมแว่นหน้าละอ่อน เดินเข้ามาถามเราว่า
"พอจะมีเวลาว่างซักสิบนาทีไหมครับ" พร้อมกับถือกระดาษแบบสอบถามแบบเดียวกันอยู่ในมืออีกปึกใหญ่
ไอ้เ_ี้ยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!

สรุป:

เรารู้สึกเสียใจมาก รู้สึกว่าเพื่อนเก่าเราคนนี้ทำกับเราเหมือนเราเป็นคนโง่ เพื่อนเก่าของเราคนที่เคยจริงใจและซื่อตรงกลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ไปแล้ว
เขาดูถูกเราและคณะที่เราเรียนอยู่นั้นเรายังไม่โกรธเขาเลย แต่เรารู้สึกเสียใจมากที่เขาไม่พูดสิ่งที่เป็นความจริงออกมาให้เหมาะสม
เขาจงใจปิดบังซ่อนเร้นเรา เอาความเป็นเพื่อนมาทำแบบนี้ แต่ที่สำคัญกว่าก็คือ เขาอาจจะถูกใครบางคนทำให้เข้าใจว่า
"โครงการนี้มันดีจริงๆนะ" "มันช่วยทำให้ฝันเป็นจริง" "มันจะทำให้เราได้เงินเยอะมาก" เพราะเขาเป็นคนซื่อและเชื่อคนง่ายอยู่แล้ว
จนถึงตอนนี้เราก็ยังเชื่อว่า เขาเรียกเราออกไปเพราะเขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันเป็นการทำความดี ทำให้ผู้อื่นได้รับสิ่งดีดี
และถ้าซักวันหนึ่งเขาเรียนจบจากคณะแพทย์ศาสตร์แล้วออกไปประกอบอาชีพแพทย์ เขาอาจเสนอขายสินค้าจากบริษัทพวกนั้นให้กับคนไข้ของเขา
ซึ่งถ้าหากเราเป็นคนที่กำลังป่วยแล้วมีหมอมาบอกว่ายาหรือผลิตภัณฑ์ตัวนี้ดี เหมาะสมกับอาการของคุณ เราก็คงรีบซื้ออย่างไม่ลังเล
เพราะคนที่กำลังป่วย ร่างกายอ่อนแอ จิตใจก็จะอ่อนแอ คนที่ป่วยใครๆก็อยากหาย ถ้ามียาหรืออะไรที่มันจะทำให้อาการของเราดีขึ้นได้แม้พียงนิดเดียว ถึงแพงแค่ไหนเราก็คงรีบจ่ายเงินให้กับมันอย่างไม่ลังเล
เราไม่อยากให้ความเจ็บป่วยอ่อนแอทั้งทางร่างกายและจิตใจของคนต้องมาตกมาเป็นช่องทางในการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นแบบนี้

หลังจากนั้นเราก็เห็นเพื่อนเก่าอีกหลายๆคนบ่นในโซเชียลมีเดียมีใจความประมาณว่าถูกเพื่อนเก่าหลอกให้ไปทำแอมเ_ย์
เราเห็นทีไรก็รู้สึกใจคอไม่ค่อยจะดีเลย

และเมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้วกลุ่มเพื่อนเก่าของเราได้นัดกันไปกินเลี้ยงปีใหม่ โดยเพื่อนเก่าเราคนนี้ก็ไปด้วย
เรารู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากที่ต้องนั่งร่วมโต๊ะกับเขา เวลาเขาจะอ้าปากพูดอะไรเราก็จะรู้สึกร้อนรนกลัวว่าเขาจะชวนไปทำอะไรแบบนั้นอีก
เรารู้สึกไม่สบายใจมากๆ เราไม่รู้ว่ามีเพื่อนๆคนไหนที่โดนแบบเราจากเขาอีกบ้าง แต่เราไม่อยากอยู่ใกล้เขาอีกแล้ว

ถ้าเขายังคงทำ"สิ่งนั้น"ต่อไปเรื่อยๆ ซักวันหนึ่งในอนาคต เขาอาจจะมีเงินทองมากมายเพียงพอสำหรับความฝันของเขา

แต่เขาคงจะไม่เหลือ"เพื่อน"ที่จริงใจกับเขาเลยแม้แต่คนเดียว

ขอร้องล่ะค่ะ ธุรกิจขายตรงมันไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย(เราก็แค่เคยเอาผงอะเซโรลาเชอร์รี่ของแอมเ_ย์มาชงดื่มแล้วต้องเททิ้งทั้งแก้วแค่นั้นเอง)
แต่วิธีการที่เขากำลังทำอยู่มันจะทำให้เขาไม่ได้รับความจริงใจและความเชื่อใจจากใครอีก
ใครก็ได้ ช่วยแนะนำวิธีที่จะทำให้เขาหลุดพ้นจากความเชื่อที่เขากำลังเชื่ออยู่นี้ด้วยเถอะค่ะ T-T

(ส่วนญาติเราที่เคยมาเซ้าซี้ให้ช่วยซื้อของแอมเ_ย์ ตอนนี้คนบ้านเราเลิกคบกับเขาแล้วค่ะ แล้วหลังจากนั้นเขาก็เลิกทำขายตรงค่ะ)

"

อันที่จริงตัวผมก็เคยโดนเพื่อนคนนี้ชวนเหมือนกันนะ สำหรับผม ผมไม่คิดว่าการทำธุรกิจระหว่างเรียนไม่ใช่เรื่องผิดอะไร บางคนเรียนไปทำงานไปก็มี แต่ผมคิดว่าเค้าผิดที่มาชวนเพื่อนสนิทมากกว่า ผมไม่เคยห้ามหรือบอกให้เลิกทำนะ(แม้จะอยากก็ตาม) ผมแค่บอกว่าอย่าชวนเพื่อนสนิทพอ แต่แน่นอนหละ เค้าไม่ได้เชื่อผม จากแต่ก่อนที่เพื่อนคนนี้เป็นคนจริงใจ ช่วยเหลือเพื่อนตลอด ปัจจุบันทุกครั้งที่เข้าใกล้ก็จะมีความรู้สึกว่า เค้าหายใจเข้าออกเป็นเงินเป็นธุรกิจตลอด มา Reunion กันแต่มาคุยโทรศัพท์แทบทุกเวลา มันเสียความรู้สึกนะ

จากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ใคร่ขอความเห็นหรือวิธีการที่จะทำให้เพื่อนผมเข้าใจเพื่อนๆของเค้า(หมายถึงเข้าใจพวกผมอะนะ) และเชือพวกผมบ้าง ผมหวังดีกับเขานะ ผมพูดจริงๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่