สืบเนื่องจากกระทู้ เลิกด่านมผงซะทีเถอะครับจากใจคุณพ่อลูกสอง ตามลิ้งค์นี้
http://pantip.com/topic/33143845
เราเป็นพ่อลูกอ่อน แฟนคลอดรพ.กรุงเทพคริสเตียนซึ่งเป็นรพ.ที่สนับสนุนนมแม่ ลูก 1 เดือนแล้ว แฟนพยายามให้นมแม่และปั๊มนมเก็บ เพราะลางานได้เดือนครึ่ง ก็พอจะเริ่มมีนมสต๊อกแล้วบ้าง เราติดตามเพจป้าหมอสุธีรา พบว่าป้าหมอเขียนอธิบายปัญหาที่คุณพ่อผู้เขียนกระทู้นี้ไว้ค่อนข้างละเอียด ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่อาจเจอปัญหาแบบเดียวกัน ว่าควรทำอย่างไรจึงให้นมแม่ได้อย่างราบรื่น ลองอ่านดูนะครับ
#ทำไมคลอดที่รพ.สนับสนุนนมแม่ แต่ยังให้นมแม่ไม่สำเร็จ
จากกระทู้ในพันทิป
http://pantip.com/topic/33143845
ป้าหมอเห็นด้วยกับคุณพ่อท่านนี้ค่ะ คนที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่ควรตำหนิคนที่เลี้ยงลูกด้วยนมผง หรือตำหนินมผง เพราะการทำเช่นนั้นรังแต่จะเป็นการดิสเครดิตนมแม่ ทำให้นมแม่ถูกต่อต้านมากขึ้น
สำหรับตัวป้าหมอ ตำหนิก็แต่บริษัทนมผงที่ทำการตลาดแบบไร้จรรยาบรรณ อย่างที่เคยกล่าวมาแล้วในโพสต์ก่อนหน้านี้ และทำหน้าที่ให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่า ถ้าแพ้นมผงแล้วจะมีอาการอย่างไรบ้าง เพื่อที่พ่อแม่จะได้เปลี่ยนนมให้เหมาะสมกับลูก
ป้าหมอได้อ่านกระทู้นี้แล้ว คิดว่าเป็นกระทู้ที่มีประโยชน์มากๆ ใช้เป็นกรณีศึกษาย้อนหลังสำหรับคุณแม่มือใหม่ที่ตั้งใจจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อไม่มีปัญหาประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนกับคุณพ่อท่านนี้
คุณพ่อ "น้องคนแรก ผมฝากท้องที่ รพ แห่งหนึ่งย่านสีลม ซึ่งเป็น รพ ที่ขึ้นชื่อว่า “โด่งดังเรื่องนมแม่” มากๆ ซึ่งก็จริงครับ เนอสเซอรี่ที่นี่ เก่งจริงๆ (ถ้าอ่านจนจบ คุณพ่อจะทราบว่า เนอสเซอรี่ที่บีเอ็นเอชไม่ได้เก่งกว่าที่อื่นค่ะ เพราะถ้าเก่งจริง ก็ต้องช่วยให้คุณแม่ท่านนี้ประสบความสำเร็จในการให้นมแม่)
ตอนน้องคลอดออกมา น้องตัวเล็กครับ นน แค่ 2.5 กก ซึ่งคุณหมอก็บอกว่า อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ไม่ต้องกังวล พร้อมกับให้ข้อมูลการให้นม ปั๊มนม ต่างๆ รวมทั้งสอนวิธีการให้นม ก่อนที่จะพาลูกกลับบ้าน
ระหว่างอยู่ที่ รพ. แฟนก็ลองไปปั๊มนมเป็นประจำ มีเวลาว่างก็รีบไปพยายามปั๊ม กระตุ้นน้ำนม แฟนจำได้ว่า ไปปั๊มครั้งแรก บางคน ออกมาเยอะมากเป็นสิบออนซ์ ในขณะที่แฟนนมออกมานับเป็นหยดเลยดีกว่า เค้าได้แต่นั่งทำตาปริบๆด้วยความอิจฉา แต่ก็พยายามตั้งใจว่า จะพยายามให้มีนมแม่เยอะๆเหมือนเค้าบ้าง"
ป้าหมอ : ตรงนี้ป้าหมอคิดว่าคุณพ่อคงจะจำผิดที่ว่า การปั๊มนมหลังคลอด 2-3 วันแรกแล้วได้นมออกมาเป็นสิบออนซ์ หากคุณแม่มือใหม่ท่านอื่นแวะมาอ่าน อาจใจเสียได้ เป็นข้อมูลที่ผิดค่ะ ช่วง 2-3 วันแรกจะยังปั๊มได้นมน้อยมาก ส่วนใหญ่จะแค่ติดก้นขวด หรือไม่มีน้ำนมออกมาเลย แต่เราไม่สนใจค่ะ ที่จริงจะยังไม่ปั๊มเลยก็ยังได้ ยกเว้นว่าคุณแม่เบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ ก็ถือเครื่องปั๊มนมเล่นๆ แต่ไม่ต้องสนใจว่ามีนมไหลออกมาหรือไม่ ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องกดดัน เพราะจะทำให้ฮอร์โมนออกซิโทซินหลั่งไม่ดีเมื่อมีความเครียด
คุณพ่อ "วันที่กลับบ้าน ทางผมและแฟนตัดสินใจเลี้ยงกันเอง ยังไม่จ้างพี่เลี้ยง เพราะเราอยากลองทำหน้าที่พ่อแม่ และอยากให้ลูกผูกพันกับเราให้มาก เรายังไม่ซื้อเครื่องปั๊มนม เราตัดสินใจที่จะเช่าจาก รพ ก่อน เครื่องที่เราเช่า คือเครื่องที่รพ.ใช้ ที่เค้าว่าแรงสุดมาลองใช้งานดู
แฟนเอาลูกเข้าเต้ากระตุ้นเสมอ และตามด้วยปั๊มนมเป็นเวลาทุกๆ 3 ชม. เมื่อลูกหิว จะเข้าเต้าก่อนทุกครั้ง แล้วตามด้วยปั๊มนมอย่างสม่ำเสมอ"
ป้าหมอ : ทำถูกต้องแล้วค่ะ ต้องให้ลูกดูดเต้าตลอดเวลา อย่างต่ำวันละ 8-12 ครั้ง และต้องดูดนานอย่างน้อยข้างละ 15-20 นาที หรือไม่ต้องจับเวลา ตรงนี้คุณพ่อไม่ได้บอกว่าดูดนานเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าจะห่วงเรื่องปั๊มนมมากเกินไป ที่ถูกต้องคือ ไม่ต้องปั๊มก็ได้ ให้สนใจเอาลูกเข้าเต้าให้บ่อยและให้นานพอ เหมือนกับแม่ลูกตัวติดกันตลอดเวลา นอนคาเต้าด้วยกันตอนกลางคืน
แต่มีบางคนทำแบบนี้แล้วก็ยังน้ำหนักไม่ขึ้นตามเกณฑ์ เพราะท่าดูดผิด หรือมีพังผืดใต้ลิ้น ดูดนานเท่าไร น้ำหนักก็ไม่ขึ้น แต่ถ้าใส่ขวดให้กินน้ำหนักจะขึ้น แต่ถ้าเป็นกรณีปั๊มอย่างเดียว บางคนมีน้ำนมเยอะ ก็พอเลี้ยง แต่ถ้ามีน้ำนมแค่พอดีๆ เมื่อปั๊มโดยไม่ได้ดูด จะได้น้ำนมไม่พอ แต่ถ้าได้รับการแก้ไขโดยจัดท่าดูดที่ถูกต้องและขลิบพังผืดใต้ลิ้น จะทำให้ดูดได้ปกติ ทำให้น้ำหนักขึ้นได้
คุณพ่อ "แฟนดื่มน้ำอุ่นทั้งวัน วันละประมาณ 6 ลิตร/วัน
ที่บ้านทำอาหารเสริมน้ำนมต่างๆทุกมื้อ"
ป้าหมอ : ดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตร ถ้ามากเกินไปจะทำให้ท้องอืด กินอาหารได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ส่วนอาหารเสริมน้ำนม ป้าหมอและคุณแม่หลายๆท่านไม่ได้กิน ก็ผลิตน้ำนมได้พอค่ะ อาหารจึงมีส่วนน้อยต่อการผลิตน้ำนม ที่สำคัญคือต้องไม่เสริมนมผงโดยไม่มีข้อบ่งชี้อย่างแท้จริง
คุณพ่อ "ในช่วงแรกที่ให้นม น้ำนมไม่พอ หมออนุญาตให้เสริมนมผงได้บ้าง โดยคุณหมอ ให้รองใส่ช้อนป้อนเท่านั้น ในปริมาณที่เล็กน้อย เพื่อเน้นนมแม่ และไม่ให้ใช้ขวดนมเด็ดขาด ป้องกันเด็กติดขวด"
ป้าหมอ : ตรงนี้แหล่ะค่ะ ที่ทำให้นมแม่ไม่พอ เพราะว่าเริ่มเสริมนมผงเร็วเกินไป 3-4 วันแรก ถึงแม้ว่าเวลาปั๊มจะไม่มีน้ำนมออกมาเลยซักหยด ก็ไม่ต้องเสริมค่ะ ข้อบ่งชี้ในการเสริมนมผงคือน้ำหนักลดต่ำกว่า 10% ป้าหมอเคยอนุญาตให้เสริมนมผงในช่วงที่น้ำหนักยังไม่ลดต่ำกว่า 10% คือการถูกกดดันจากญาติพี่น้องหรือญาติที่ไม่เข้าใจ หลักการในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยเข้ามารบกวนการทำงานของหมอและพยาบาล ถ้าไม่ตามใจ ญาติเหล่านั้นก็จะไม่พอใจ หาว่าสุดโต่ง เป็นลัทธินมแม่ การเสริมนมโดยไม่มีข้อบ่งชี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้ขวด ก็ทำให้ล้มเหลวได้เพราะลูกจะอิ่ม เมื่อถึงเวลามาส่งดูดนมแม่ ก็หลับไม่ยอมดูด เต้าไม่ถูกกระตุ้น ก็จะไม่ผลิตน้ำนมตามที่ควรจะเป็น
คุณพ่อ "น้องร้องบ่อย ตื่นบ่อย กินไม่อิ่ม เราก็ตื่นมาช่วยกันดูลูก คุณแม่ก็พยายามเข้าเต้าให้อิ่ม+หลับ พอนมแม่ไม่พอ ลูกก็ไม่อิ่ม เมื่อไม่อิ่ม ก็ไม่นอน ตื่นงอแงตลอดคืน พอน้องไม่อิ่ม น้องร้องบ่อย แม่ตื่นบ่อย พักผ่อนไม่เพียงพอ ได้นอน 3-5 ชม./วัน แม่ก็เครียด พอเครียดน้ำนมก็ยิ่งไม่มา ลูกก็ยิ่งไม่พอกิน มันกลายเป็นงูกินหาง"
ป้าหมอ : ทีนี้พอกลับบ้าน สวิทช์ 2 สวิทช์เริ่มทำงาน คือ สวิทช์อย่าวางฉัน และ สวิทช์ขยับปากพร่ำเพรื่อ วางปุ๊บโวยและขยับปากตลอดเพื่อบีบบังคับให้แม่เอาเข้าเต้าตลอดเวลา ถ้าแม่รับสัญญาณ เอาเข้าเต้าทุกครั้ง โดยไม่สนใจนาฬิกา แต่นับอึครบ 2 ครั้ง ฉี่ 6 ครั้ง/วัน แสดงว่านมแม่พอ อย่าเสริมนมเด็ดขาด แต่ถ้าแม่ไม่เข้าใจ เห็นว่าลูกไม่หลับไม่นอนและขยับปากตลอด ก็คิดว่านมแม่ไม่พอ ทั้งๆที่อึฉี่ครบแล้ว จึงเสริมนมผงเข้าไป ลูกก็นอนยาวสมใจ จึงไม่ได้กระตุ้นให้แม่ผลิตน้ำนมมากขึ้น
ส่วนเรื่องนอนไม่พอ ช่วง 3 เดือนแรกสำหรับเด็กนมแม่เป็นเรื่องปกติ นอนกระปริบกระปรอยได้ครบ 3-5 ชม.ก็ใช้ได้แล้ว ถ้าอยากให้คุณแม่ได้นอนมากกว่านี้ ให้เอาลูกมานอนดูดหลับคาเต้าด้วยกันค่ะ
เป็นความเข้าใจผิดที่คิดว่าแม่ต้องนอนเยอะๆ กินเยอะๆ จะผลิตนมแม่ได้เยอะ ซึ่งไม่จริงค่ะ เรื่องแม่เครียดก็อาจเป็นเพราะคนรอบข้างกดดัน ทั้งๆที่อึฉี่บ่อยครบแล้ว แต่เห็นว่าไม่ยอมนอนหลับสลบเหมือนกับเด็กที่กินนมผง ก็ไม่พอใจ บอกว่าลูกยังกินไม่พอ ย้ำอีกครั้งว่า ทั้งๆที่อึฉี่ครบแล้ว
คุณพ่อ "ร่วม 2 อาทิตย์ผ่านไป นน. ตัวของน้องเหลือแค่ 2.3 เท่านั้น จากเดิมที่ นน. จะสามารถลดลงได้เล็กน้อยหลังคลอด และจะค่อยๆเพิ่มขึ้น แต่ นน. น้องลดลงแล้วไม่เพิ่ม จนไปพบคุณหมอที่ รพ. คุณหมอบอกว่า นมคุณแม่ท่าทางจะไม่พอจริงๆ ทำตามที่คุณหมอแนะนำทุกอย่างแล้ว ตอนนี้ เราต้องขุน นน. น้องขึ้นมาก่อน เพราะน้องควร นน. ขึ้นได้แล้ว คุณหมออนุญาตให้เสริมนมผงเต็มที่ทันทีที่น้องกินนมแม่ไม่พอ"
ป้าหมอ : น้ำหนัก 2.3 ลงมา 8% ต้องหาสาเหตุว่าเป็นจากอะไร เพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง เช่น 1.ท่าดูด พยาบาลเนอสเซอรี่บางคนยังสอนท่าผิดค่ะ ปกติเวลาลงมาตรวจที่โอพีดี เคสของป้าหมอจะต้องสอบซ่อมท่าดูดใหม่หมดค่ะ 2.พังผืดใต้ลิ้น ดูดนานเท่าไรก็ได้นมน้อย จนกว่าจะขลิบ หรือจะยอมตัดใจปั๊มนมใส่ขวดแทนการดูดเพื่อเพิ่มน้ำหนัก แต่ทำแบบนี้ก็จะกินนมแม่ไม่ได้นานเพราะลูกไม่ได้ดูดเต้า วิธีที่ถูกต้องคือแนะนำให้ขลิบพังผืดดีกว่าค่ะ 3.น้ำนมแม่น้อยจริงๆ ซึ่งเป็นกรณีนี้เพียง 5%
คุณพ่อ "ผมจำได้วันนั้น ผมกลับมาบอกแฟน เราเริ่มป้อนนมผงจากขวดให้น้องครั้งแรกประมาณ 1 ออนซ์ น้องกินอึกๆๆๆๆหมดภายในไม่ถึงครึ่งนาทีแล้วผล็อยหลับ วินาทีนั้น ผมกับแฟนดีใจกอดกัน “ลูกอิ่มแล้วๆๆๆ" เราดีใจกันมาก และผมได้เข้าใจคำว่า “การที่เราเห็นลูกอิ่ม มันทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่มีความสุขมากกว่าสิ่งใด”
ป้าหมอ : กรณีที่ลูกยังดูดไม่เก่ง ป้าหมอจะแนะนำให้ไปฝึกที่คลินิคนมแม่รพ.เด็ก รพ.ศิริราช รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ เพราะทั้ง 3 ที่นี้มีทีมพยาบาลที่เก่งกว่าที่รพ.บีเอ็นเอชค่ะ ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้ลูกดูดเก่งขึ้นได้ และเสริมนมผงด้วยวิธีต่อสายพลาสติก หรือ finger feeding แต่จะไม่ใช้ขวด เพราะจะทำให้สถานการณ์แย่ลง ถ้าพ่อแม่เข้าใจตรงนี้ ยอมไปฝึกต่อที่คลินิคนมแม่ มีหลายท่านสามารถให้นมแม่ 100% ได้สำเร็จในที่สุด รพ.บีเอ็นเอชมีบรรยากาศที่สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็จริง หลายท่านสำเร็จเพราะเตรียมตัวมาดี เตรียมญาติพี่น้องมาดี ไม่มากดดันให้ทีมแพทย์พยาบาลเสริมนมผงโดยไม่มีข้อบ่งชี้
แต่ถ้าเป็นเคสที่ยากมากๆ ทางเราก็ต้องส่งต่อไปฝึกที่คลินิคนมแม่ทั้ง 3 แห่งที่ป้าหมอกล่าวมาค่ะ ซึ่งเก่งกว่าที่บีเอ็นเอช ที่บีเอ็นเอชไม่ได้มีทีมแพทย์พยาบาลเก่งกว่าที่อื่น เพียงแต่มีนโยบายสนับสนุนอย่างจริงจังค่ะ และเมื่อแก้ไขที่ต้นเหตุได้แล้ว ภาวะเครียดก็หมดไป โดยไม่ต้องเสริมนมผงอีกต่อไปค่ะ พูดง่ายๆก็คือ ภาวะเครียดจะหมดไป เมื่อแก้ไขที่ต้นเหตุได้สำเร็จ แต่ถ้ายังไม่สำเร็จ ก็ยังคงเครียดต่อเนื่อง ทำให้ต้องให้นมผงเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ
คุณพ่อ "หลังจากนั้น เราตกลงกันว่า ให้แฟนก็ยังคงให้เข้าเต้าเหมือนเดิม พยายามปั๊มนมเหมือนเดิม โดยที่เรามีกฎว่า “ปั๊มให้เต็มที่ พยายามให้เต็มที่ ได้แค่ไหนแค่นั้น ที่เหลือเราเสริมผง” หลังจากนั้น ชีวิตเราเริ่มมีความสุข แฟนปั๊ม ผมเสริมผง เราแบ่งหน้าที่กัน เลี้ยงลูกด้วยความไม่เครียด เราพยายามช่วยกันเต็มที่ ทำหน้าทีพ่อแม่ให้ดีที่สุด
สัดส่วนนมแม่กับนมผง ประมาณนมแม่ 40/ นมผง 60 แต่สัดส่วนนมแม่ก็ค่อยๆน้อยลง ไม่ใช่เพราะนมแม่ลดลง แต่เป็นเพราะปั๊มได้เท่าเดิม แต่น้องต้องการนมมากขึ้นเรื่อยๆ จนครบ 6 เดือน เราจึงตัดสินใจหยุดปั๊มนม ซึ่งน้องก็แข็งแรงดี จ้ำม้ำ เป็นที่รักของทุกคนในบ้าน"
ป้าหมอ : ลูกโตขึ้นก็ยังใช้สูตรกินชม.ละออนซ์ไปตลอดค่ะ คือ ไม่เกิน 24 ออนซ์/วัน ตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน หลังจากนั้นมีอาหารตามวัยควบคู่กับนมแม่ปริมาณเท่าเดิมค่ะ ถ้าตอนนั้นคุณพ่อได้พาคุณแม่ไปฝึกที่คลินิคนมแม่ ก็อาจทำให้หายเครียดได้เช่นกัน โดยที่ยังสามารถให้นมแม่ได้เต็มที่อย่างที่หวังไว้ตั้งแต่แรก
เห็นด้วยกับคุณพ่อค่ะ การเป็นพ่อแม่ที่ดีไม่จำเป็นต้องเลี้ยงด้วยนมแม่ จะเลี้ยงด้วยนมอะไรก็ได้ ขอให้เลี้ยงอย่างมีความสุข เสียดายที่มีหลายจุดที่คุณพ่อไม่ทราบ ทำให้ไม่สามารถให้นมแม่ได้ เมื่อเลยจุดนั้นไปแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะเครียดต่อไป ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปค่ะ แต่ถ้ามีลูกคนต่อไปและยังอยากให้นมแม่อย่างมีความสุข อย่าลืมไปปรึกษาคลินิคนมแม่ทั้ง 3 แห่งที่ป้าหมอแนะนำนะคะ จะได้ไม่มีกระทู้นี้เกิดขึ้นมาจนกลายเป็นดราม่านมแม่นมผง เพราะป้าหมอเคยเจอคุณแม่หลายท่านที่มีปัญหาแบบเดียวกัน แต่ได้ไปปรึกษาคลินิคนมแม่ จนทำให้เลี้ยงนมแม่ได้สำเร็จ แล้วก็มีโอกาสมานั่งพิมพ์เล่าประสบการณ์ที่ตนเองเจอมา ให้คุณแม่มือใหม่ได้อ่านเพื่อเป็นกำลังใจว่า อย่าถอดใจไปเสียก่อน แต่ไม่ได้ตำหนิคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมผงให้กลายเป็นดราม่านมแม่นมผง อันนั้นจะเป็นประโยชน์กับสังคมมากๆค่ะ
คุณแม่ Kanokporn แชร์ประสบการณ์ "หนูเป็นเหมือนคุณพ่อท่านนี้เกือบทุกอย่างตอนคลอด แต่ให้ลูกดูดกระตุ้นตลอด วันที่ 4 ถึงมีนมออกมา 1 หยด แล้วมีติดขวดตอนบีบมือ สุดท้าย 1 สัปดาห์นมมาเต็มค่ะ แต่ไม่มีอาการคัดใดๆ แต่นมไหลดีมาก ดูคลิปนวด ประคบร้อน ทำจี๊ด ทำตามทุกอย่าง ตอนนี้ลูกชาย 4 เดือนเต็มหนัก 8 โลแล้วค่ะ"
สืบเนื่องจากกระทู้ เลิกด่านมผงซะทีเถอะครับจากใจคุณพ่อลูกสอง
เราเป็นพ่อลูกอ่อน แฟนคลอดรพ.กรุงเทพคริสเตียนซึ่งเป็นรพ.ที่สนับสนุนนมแม่ ลูก 1 เดือนแล้ว แฟนพยายามให้นมแม่และปั๊มนมเก็บ เพราะลางานได้เดือนครึ่ง ก็พอจะเริ่มมีนมสต๊อกแล้วบ้าง เราติดตามเพจป้าหมอสุธีรา พบว่าป้าหมอเขียนอธิบายปัญหาที่คุณพ่อผู้เขียนกระทู้นี้ไว้ค่อนข้างละเอียด ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่อาจเจอปัญหาแบบเดียวกัน ว่าควรทำอย่างไรจึงให้นมแม่ได้อย่างราบรื่น ลองอ่านดูนะครับ
#ทำไมคลอดที่รพ.สนับสนุนนมแม่ แต่ยังให้นมแม่ไม่สำเร็จ
จากกระทู้ในพันทิป http://pantip.com/topic/33143845
ป้าหมอเห็นด้วยกับคุณพ่อท่านนี้ค่ะ คนที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่ควรตำหนิคนที่เลี้ยงลูกด้วยนมผง หรือตำหนินมผง เพราะการทำเช่นนั้นรังแต่จะเป็นการดิสเครดิตนมแม่ ทำให้นมแม่ถูกต่อต้านมากขึ้น
สำหรับตัวป้าหมอ ตำหนิก็แต่บริษัทนมผงที่ทำการตลาดแบบไร้จรรยาบรรณ อย่างที่เคยกล่าวมาแล้วในโพสต์ก่อนหน้านี้ และทำหน้าที่ให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่า ถ้าแพ้นมผงแล้วจะมีอาการอย่างไรบ้าง เพื่อที่พ่อแม่จะได้เปลี่ยนนมให้เหมาะสมกับลูก
ป้าหมอได้อ่านกระทู้นี้แล้ว คิดว่าเป็นกระทู้ที่มีประโยชน์มากๆ ใช้เป็นกรณีศึกษาย้อนหลังสำหรับคุณแม่มือใหม่ที่ตั้งใจจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อไม่มีปัญหาประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนกับคุณพ่อท่านนี้
คุณพ่อ "น้องคนแรก ผมฝากท้องที่ รพ แห่งหนึ่งย่านสีลม ซึ่งเป็น รพ ที่ขึ้นชื่อว่า “โด่งดังเรื่องนมแม่” มากๆ ซึ่งก็จริงครับ เนอสเซอรี่ที่นี่ เก่งจริงๆ (ถ้าอ่านจนจบ คุณพ่อจะทราบว่า เนอสเซอรี่ที่บีเอ็นเอชไม่ได้เก่งกว่าที่อื่นค่ะ เพราะถ้าเก่งจริง ก็ต้องช่วยให้คุณแม่ท่านนี้ประสบความสำเร็จในการให้นมแม่)
ตอนน้องคลอดออกมา น้องตัวเล็กครับ นน แค่ 2.5 กก ซึ่งคุณหมอก็บอกว่า อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ไม่ต้องกังวล พร้อมกับให้ข้อมูลการให้นม ปั๊มนม ต่างๆ รวมทั้งสอนวิธีการให้นม ก่อนที่จะพาลูกกลับบ้าน
ระหว่างอยู่ที่ รพ. แฟนก็ลองไปปั๊มนมเป็นประจำ มีเวลาว่างก็รีบไปพยายามปั๊ม กระตุ้นน้ำนม แฟนจำได้ว่า ไปปั๊มครั้งแรก บางคน ออกมาเยอะมากเป็นสิบออนซ์ ในขณะที่แฟนนมออกมานับเป็นหยดเลยดีกว่า เค้าได้แต่นั่งทำตาปริบๆด้วยความอิจฉา แต่ก็พยายามตั้งใจว่า จะพยายามให้มีนมแม่เยอะๆเหมือนเค้าบ้าง"
ป้าหมอ : ตรงนี้ป้าหมอคิดว่าคุณพ่อคงจะจำผิดที่ว่า การปั๊มนมหลังคลอด 2-3 วันแรกแล้วได้นมออกมาเป็นสิบออนซ์ หากคุณแม่มือใหม่ท่านอื่นแวะมาอ่าน อาจใจเสียได้ เป็นข้อมูลที่ผิดค่ะ ช่วง 2-3 วันแรกจะยังปั๊มได้นมน้อยมาก ส่วนใหญ่จะแค่ติดก้นขวด หรือไม่มีน้ำนมออกมาเลย แต่เราไม่สนใจค่ะ ที่จริงจะยังไม่ปั๊มเลยก็ยังได้ ยกเว้นว่าคุณแม่เบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ ก็ถือเครื่องปั๊มนมเล่นๆ แต่ไม่ต้องสนใจว่ามีนมไหลออกมาหรือไม่ ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องกดดัน เพราะจะทำให้ฮอร์โมนออกซิโทซินหลั่งไม่ดีเมื่อมีความเครียด
คุณพ่อ "วันที่กลับบ้าน ทางผมและแฟนตัดสินใจเลี้ยงกันเอง ยังไม่จ้างพี่เลี้ยง เพราะเราอยากลองทำหน้าที่พ่อแม่ และอยากให้ลูกผูกพันกับเราให้มาก เรายังไม่ซื้อเครื่องปั๊มนม เราตัดสินใจที่จะเช่าจาก รพ ก่อน เครื่องที่เราเช่า คือเครื่องที่รพ.ใช้ ที่เค้าว่าแรงสุดมาลองใช้งานดู
แฟนเอาลูกเข้าเต้ากระตุ้นเสมอ และตามด้วยปั๊มนมเป็นเวลาทุกๆ 3 ชม. เมื่อลูกหิว จะเข้าเต้าก่อนทุกครั้ง แล้วตามด้วยปั๊มนมอย่างสม่ำเสมอ"
ป้าหมอ : ทำถูกต้องแล้วค่ะ ต้องให้ลูกดูดเต้าตลอดเวลา อย่างต่ำวันละ 8-12 ครั้ง และต้องดูดนานอย่างน้อยข้างละ 15-20 นาที หรือไม่ต้องจับเวลา ตรงนี้คุณพ่อไม่ได้บอกว่าดูดนานเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าจะห่วงเรื่องปั๊มนมมากเกินไป ที่ถูกต้องคือ ไม่ต้องปั๊มก็ได้ ให้สนใจเอาลูกเข้าเต้าให้บ่อยและให้นานพอ เหมือนกับแม่ลูกตัวติดกันตลอดเวลา นอนคาเต้าด้วยกันตอนกลางคืน
แต่มีบางคนทำแบบนี้แล้วก็ยังน้ำหนักไม่ขึ้นตามเกณฑ์ เพราะท่าดูดผิด หรือมีพังผืดใต้ลิ้น ดูดนานเท่าไร น้ำหนักก็ไม่ขึ้น แต่ถ้าใส่ขวดให้กินน้ำหนักจะขึ้น แต่ถ้าเป็นกรณีปั๊มอย่างเดียว บางคนมีน้ำนมเยอะ ก็พอเลี้ยง แต่ถ้ามีน้ำนมแค่พอดีๆ เมื่อปั๊มโดยไม่ได้ดูด จะได้น้ำนมไม่พอ แต่ถ้าได้รับการแก้ไขโดยจัดท่าดูดที่ถูกต้องและขลิบพังผืดใต้ลิ้น จะทำให้ดูดได้ปกติ ทำให้น้ำหนักขึ้นได้
คุณพ่อ "แฟนดื่มน้ำอุ่นทั้งวัน วันละประมาณ 6 ลิตร/วัน
ที่บ้านทำอาหารเสริมน้ำนมต่างๆทุกมื้อ"
ป้าหมอ : ดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตร ถ้ามากเกินไปจะทำให้ท้องอืด กินอาหารได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ส่วนอาหารเสริมน้ำนม ป้าหมอและคุณแม่หลายๆท่านไม่ได้กิน ก็ผลิตน้ำนมได้พอค่ะ อาหารจึงมีส่วนน้อยต่อการผลิตน้ำนม ที่สำคัญคือต้องไม่เสริมนมผงโดยไม่มีข้อบ่งชี้อย่างแท้จริง
คุณพ่อ "ในช่วงแรกที่ให้นม น้ำนมไม่พอ หมออนุญาตให้เสริมนมผงได้บ้าง โดยคุณหมอ ให้รองใส่ช้อนป้อนเท่านั้น ในปริมาณที่เล็กน้อย เพื่อเน้นนมแม่ และไม่ให้ใช้ขวดนมเด็ดขาด ป้องกันเด็กติดขวด"
ป้าหมอ : ตรงนี้แหล่ะค่ะ ที่ทำให้นมแม่ไม่พอ เพราะว่าเริ่มเสริมนมผงเร็วเกินไป 3-4 วันแรก ถึงแม้ว่าเวลาปั๊มจะไม่มีน้ำนมออกมาเลยซักหยด ก็ไม่ต้องเสริมค่ะ ข้อบ่งชี้ในการเสริมนมผงคือน้ำหนักลดต่ำกว่า 10% ป้าหมอเคยอนุญาตให้เสริมนมผงในช่วงที่น้ำหนักยังไม่ลดต่ำกว่า 10% คือการถูกกดดันจากญาติพี่น้องหรือญาติที่ไม่เข้าใจ หลักการในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยเข้ามารบกวนการทำงานของหมอและพยาบาล ถ้าไม่ตามใจ ญาติเหล่านั้นก็จะไม่พอใจ หาว่าสุดโต่ง เป็นลัทธินมแม่ การเสริมนมโดยไม่มีข้อบ่งชี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้ขวด ก็ทำให้ล้มเหลวได้เพราะลูกจะอิ่ม เมื่อถึงเวลามาส่งดูดนมแม่ ก็หลับไม่ยอมดูด เต้าไม่ถูกกระตุ้น ก็จะไม่ผลิตน้ำนมตามที่ควรจะเป็น
คุณพ่อ "น้องร้องบ่อย ตื่นบ่อย กินไม่อิ่ม เราก็ตื่นมาช่วยกันดูลูก คุณแม่ก็พยายามเข้าเต้าให้อิ่ม+หลับ พอนมแม่ไม่พอ ลูกก็ไม่อิ่ม เมื่อไม่อิ่ม ก็ไม่นอน ตื่นงอแงตลอดคืน พอน้องไม่อิ่ม น้องร้องบ่อย แม่ตื่นบ่อย พักผ่อนไม่เพียงพอ ได้นอน 3-5 ชม./วัน แม่ก็เครียด พอเครียดน้ำนมก็ยิ่งไม่มา ลูกก็ยิ่งไม่พอกิน มันกลายเป็นงูกินหาง"
ป้าหมอ : ทีนี้พอกลับบ้าน สวิทช์ 2 สวิทช์เริ่มทำงาน คือ สวิทช์อย่าวางฉัน และ สวิทช์ขยับปากพร่ำเพรื่อ วางปุ๊บโวยและขยับปากตลอดเพื่อบีบบังคับให้แม่เอาเข้าเต้าตลอดเวลา ถ้าแม่รับสัญญาณ เอาเข้าเต้าทุกครั้ง โดยไม่สนใจนาฬิกา แต่นับอึครบ 2 ครั้ง ฉี่ 6 ครั้ง/วัน แสดงว่านมแม่พอ อย่าเสริมนมเด็ดขาด แต่ถ้าแม่ไม่เข้าใจ เห็นว่าลูกไม่หลับไม่นอนและขยับปากตลอด ก็คิดว่านมแม่ไม่พอ ทั้งๆที่อึฉี่ครบแล้ว จึงเสริมนมผงเข้าไป ลูกก็นอนยาวสมใจ จึงไม่ได้กระตุ้นให้แม่ผลิตน้ำนมมากขึ้น
ส่วนเรื่องนอนไม่พอ ช่วง 3 เดือนแรกสำหรับเด็กนมแม่เป็นเรื่องปกติ นอนกระปริบกระปรอยได้ครบ 3-5 ชม.ก็ใช้ได้แล้ว ถ้าอยากให้คุณแม่ได้นอนมากกว่านี้ ให้เอาลูกมานอนดูดหลับคาเต้าด้วยกันค่ะ
เป็นความเข้าใจผิดที่คิดว่าแม่ต้องนอนเยอะๆ กินเยอะๆ จะผลิตนมแม่ได้เยอะ ซึ่งไม่จริงค่ะ เรื่องแม่เครียดก็อาจเป็นเพราะคนรอบข้างกดดัน ทั้งๆที่อึฉี่บ่อยครบแล้ว แต่เห็นว่าไม่ยอมนอนหลับสลบเหมือนกับเด็กที่กินนมผง ก็ไม่พอใจ บอกว่าลูกยังกินไม่พอ ย้ำอีกครั้งว่า ทั้งๆที่อึฉี่ครบแล้ว
คุณพ่อ "ร่วม 2 อาทิตย์ผ่านไป นน. ตัวของน้องเหลือแค่ 2.3 เท่านั้น จากเดิมที่ นน. จะสามารถลดลงได้เล็กน้อยหลังคลอด และจะค่อยๆเพิ่มขึ้น แต่ นน. น้องลดลงแล้วไม่เพิ่ม จนไปพบคุณหมอที่ รพ. คุณหมอบอกว่า นมคุณแม่ท่าทางจะไม่พอจริงๆ ทำตามที่คุณหมอแนะนำทุกอย่างแล้ว ตอนนี้ เราต้องขุน นน. น้องขึ้นมาก่อน เพราะน้องควร นน. ขึ้นได้แล้ว คุณหมออนุญาตให้เสริมนมผงเต็มที่ทันทีที่น้องกินนมแม่ไม่พอ"
ป้าหมอ : น้ำหนัก 2.3 ลงมา 8% ต้องหาสาเหตุว่าเป็นจากอะไร เพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง เช่น 1.ท่าดูด พยาบาลเนอสเซอรี่บางคนยังสอนท่าผิดค่ะ ปกติเวลาลงมาตรวจที่โอพีดี เคสของป้าหมอจะต้องสอบซ่อมท่าดูดใหม่หมดค่ะ 2.พังผืดใต้ลิ้น ดูดนานเท่าไรก็ได้นมน้อย จนกว่าจะขลิบ หรือจะยอมตัดใจปั๊มนมใส่ขวดแทนการดูดเพื่อเพิ่มน้ำหนัก แต่ทำแบบนี้ก็จะกินนมแม่ไม่ได้นานเพราะลูกไม่ได้ดูดเต้า วิธีที่ถูกต้องคือแนะนำให้ขลิบพังผืดดีกว่าค่ะ 3.น้ำนมแม่น้อยจริงๆ ซึ่งเป็นกรณีนี้เพียง 5%
คุณพ่อ "ผมจำได้วันนั้น ผมกลับมาบอกแฟน เราเริ่มป้อนนมผงจากขวดให้น้องครั้งแรกประมาณ 1 ออนซ์ น้องกินอึกๆๆๆๆหมดภายในไม่ถึงครึ่งนาทีแล้วผล็อยหลับ วินาทีนั้น ผมกับแฟนดีใจกอดกัน “ลูกอิ่มแล้วๆๆๆ" เราดีใจกันมาก และผมได้เข้าใจคำว่า “การที่เราเห็นลูกอิ่ม มันทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่มีความสุขมากกว่าสิ่งใด”
ป้าหมอ : กรณีที่ลูกยังดูดไม่เก่ง ป้าหมอจะแนะนำให้ไปฝึกที่คลินิคนมแม่รพ.เด็ก รพ.ศิริราช รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ เพราะทั้ง 3 ที่นี้มีทีมพยาบาลที่เก่งกว่าที่รพ.บีเอ็นเอชค่ะ ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้ลูกดูดเก่งขึ้นได้ และเสริมนมผงด้วยวิธีต่อสายพลาสติก หรือ finger feeding แต่จะไม่ใช้ขวด เพราะจะทำให้สถานการณ์แย่ลง ถ้าพ่อแม่เข้าใจตรงนี้ ยอมไปฝึกต่อที่คลินิคนมแม่ มีหลายท่านสามารถให้นมแม่ 100% ได้สำเร็จในที่สุด รพ.บีเอ็นเอชมีบรรยากาศที่สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็จริง หลายท่านสำเร็จเพราะเตรียมตัวมาดี เตรียมญาติพี่น้องมาดี ไม่มากดดันให้ทีมแพทย์พยาบาลเสริมนมผงโดยไม่มีข้อบ่งชี้
แต่ถ้าเป็นเคสที่ยากมากๆ ทางเราก็ต้องส่งต่อไปฝึกที่คลินิคนมแม่ทั้ง 3 แห่งที่ป้าหมอกล่าวมาค่ะ ซึ่งเก่งกว่าที่บีเอ็นเอช ที่บีเอ็นเอชไม่ได้มีทีมแพทย์พยาบาลเก่งกว่าที่อื่น เพียงแต่มีนโยบายสนับสนุนอย่างจริงจังค่ะ และเมื่อแก้ไขที่ต้นเหตุได้แล้ว ภาวะเครียดก็หมดไป โดยไม่ต้องเสริมนมผงอีกต่อไปค่ะ พูดง่ายๆก็คือ ภาวะเครียดจะหมดไป เมื่อแก้ไขที่ต้นเหตุได้สำเร็จ แต่ถ้ายังไม่สำเร็จ ก็ยังคงเครียดต่อเนื่อง ทำให้ต้องให้นมผงเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ
คุณพ่อ "หลังจากนั้น เราตกลงกันว่า ให้แฟนก็ยังคงให้เข้าเต้าเหมือนเดิม พยายามปั๊มนมเหมือนเดิม โดยที่เรามีกฎว่า “ปั๊มให้เต็มที่ พยายามให้เต็มที่ ได้แค่ไหนแค่นั้น ที่เหลือเราเสริมผง” หลังจากนั้น ชีวิตเราเริ่มมีความสุข แฟนปั๊ม ผมเสริมผง เราแบ่งหน้าที่กัน เลี้ยงลูกด้วยความไม่เครียด เราพยายามช่วยกันเต็มที่ ทำหน้าทีพ่อแม่ให้ดีที่สุด
สัดส่วนนมแม่กับนมผง ประมาณนมแม่ 40/ นมผง 60 แต่สัดส่วนนมแม่ก็ค่อยๆน้อยลง ไม่ใช่เพราะนมแม่ลดลง แต่เป็นเพราะปั๊มได้เท่าเดิม แต่น้องต้องการนมมากขึ้นเรื่อยๆ จนครบ 6 เดือน เราจึงตัดสินใจหยุดปั๊มนม ซึ่งน้องก็แข็งแรงดี จ้ำม้ำ เป็นที่รักของทุกคนในบ้าน"
ป้าหมอ : ลูกโตขึ้นก็ยังใช้สูตรกินชม.ละออนซ์ไปตลอดค่ะ คือ ไม่เกิน 24 ออนซ์/วัน ตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน หลังจากนั้นมีอาหารตามวัยควบคู่กับนมแม่ปริมาณเท่าเดิมค่ะ ถ้าตอนนั้นคุณพ่อได้พาคุณแม่ไปฝึกที่คลินิคนมแม่ ก็อาจทำให้หายเครียดได้เช่นกัน โดยที่ยังสามารถให้นมแม่ได้เต็มที่อย่างที่หวังไว้ตั้งแต่แรก
เห็นด้วยกับคุณพ่อค่ะ การเป็นพ่อแม่ที่ดีไม่จำเป็นต้องเลี้ยงด้วยนมแม่ จะเลี้ยงด้วยนมอะไรก็ได้ ขอให้เลี้ยงอย่างมีความสุข เสียดายที่มีหลายจุดที่คุณพ่อไม่ทราบ ทำให้ไม่สามารถให้นมแม่ได้ เมื่อเลยจุดนั้นไปแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะเครียดต่อไป ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปค่ะ แต่ถ้ามีลูกคนต่อไปและยังอยากให้นมแม่อย่างมีความสุข อย่าลืมไปปรึกษาคลินิคนมแม่ทั้ง 3 แห่งที่ป้าหมอแนะนำนะคะ จะได้ไม่มีกระทู้นี้เกิดขึ้นมาจนกลายเป็นดราม่านมแม่นมผง เพราะป้าหมอเคยเจอคุณแม่หลายท่านที่มีปัญหาแบบเดียวกัน แต่ได้ไปปรึกษาคลินิคนมแม่ จนทำให้เลี้ยงนมแม่ได้สำเร็จ แล้วก็มีโอกาสมานั่งพิมพ์เล่าประสบการณ์ที่ตนเองเจอมา ให้คุณแม่มือใหม่ได้อ่านเพื่อเป็นกำลังใจว่า อย่าถอดใจไปเสียก่อน แต่ไม่ได้ตำหนิคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมผงให้กลายเป็นดราม่านมแม่นมผง อันนั้นจะเป็นประโยชน์กับสังคมมากๆค่ะ
คุณแม่ Kanokporn แชร์ประสบการณ์ "หนูเป็นเหมือนคุณพ่อท่านนี้เกือบทุกอย่างตอนคลอด แต่ให้ลูกดูดกระตุ้นตลอด วันที่ 4 ถึงมีนมออกมา 1 หยด แล้วมีติดขวดตอนบีบมือ สุดท้าย 1 สัปดาห์นมมาเต็มค่ะ แต่ไม่มีอาการคัดใดๆ แต่นมไหลดีมาก ดูคลิปนวด ประคบร้อน ทำจี๊ด ทำตามทุกอย่าง ตอนนี้ลูกชาย 4 เดือนเต็มหนัก 8 โลแล้วค่ะ"