[CR] [[JAPAN DIARY]] บันทึกการเดินทางในวันที่ใครๆ ก็ไปญี่ปุ่น (KYOTO-OSAKA-KOBE-NARA 5 วัน 6 คืน) :: ระหว่างทาง 2 ::

ก่อนการเดินทาง: http://pantip.com/topic/33121210
ระหว่างทาง: http://pantip.com/topic/33127262

เช้าวันที่ 2 ที่เกียวโต

เราตื่นมาพร้อมกับความชุ่มฉ่ำของสายฝน อากาศเย็นน่านอนมากจนไม่อยากจะลุกจากที่นอน แต่ถ้าอุตส่าห์เสียค่าเครื่องบินมานอนไกลขนาดนี้ก็คงจะสวยและรวยมากจริงๆ สุดท้ายเราก็ค่อยๆ แซะตัวเองออกจากผ้าห่ม แล้วหอบผ้าหอบผ่อนไปอาบน้ำแทน

เช้านี้ห้องอาบน้ำเต็มทุกห้องต่างจากเมื่อคืนที่เหมือนจะมีเราสองคนกับฝรั่งหนึ่งคนเท่านั้น ระหว่างรอเราสามารถล้างหน้าและแปรงฟันที่อ่างล้างหน้าก่อนได้ แต่ข้อเสียของที่นี่คืออ่างล้างหน้าระบายน้ำไม่ค่อยดีก็เลยดูสกปรกเล็กน้อย ส่วนความสะอาดของห้องอาบน้ำและห้องสุขานั้นอยู่ในระดับดี ด้วยความที่ Sim’s Cozy Guesthouse เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อประมาณกลางปี 2014 อะไรๆ ก็เลยยังดูใหม่และน่าใช้อยู่มาก

ด้านในของเกสต์เฮาส์ค่อนข้างมิดชิด เราเลยไม่ค่อยรับรู้สภาพอากาศด้านนอกเท่าไหร่นัก ตอนแรกเราคิดว่าคงจะเย็นเป็นปกติของฤดูไม้ใบร่วง แต่พอลองเปิดหน้าต่างเพื่อที่จะปรับตัวกับอากาศด้านนอก เราถึงได้รู้ว่าวันนี้ฟ้าฝนไม่เป็นใจซะแล้ว แต่ยังโชคดีที่พวกเราพกร่มติดตัวมาด้วย ฝนตกแบบเบาๆ ก็เลยไม่เป็นอุปสรรคในการเดินทาง

เรารู้สึกประทับใจ Sim’s Cozy Guesthouse ตั้งแต่ที่ยังไม่ได้เข้าพักด้วยเรื่องราวของเจ้าของและพนักงานที่นี่ทั้ง 4 คน ที่พวกเขาพบเจอและรู้จักกันเพราะสิ่งเรียกว่า ‘การเดินทาง’

Sim เป็นนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ที่ได้พบกับ Maki หญิงสาวผู้รักการเดินทางจากประเทศญี่ปุ่นที่เกสต์เฮาส์แห่งหนึ่งที่เมืองลาซาของทิเบต ทั้งสองคนได้เดินทางไปยังประเทศต่างๆ ด้วยกันทั้งจีน ลาว และไทย ก่อนที่จะแต่งงานกันในปีต่อมาและเริ่มสร้างครอบครัวที่มณฑลเสฉวนของประเทศจีน โดยที่ยังไม่ลืมเรื่องการท่องเที่ยว

Sim และ Maki เปิดตัว Sim’s Cozy Guesthouse ที่แรกที่เมืองเฉิงตู เมืองหลวงของมณฑลเสฉวน

ขณะที่ Tatsuro นักท่องเที่ยวหนุ่มจากโตเกียวได้เจอกับ Koori สาวชาวจีน ซี่งทำงานอยู่ที่เกสต์เฮาส์ของ Sim และ Maki ที่เมืองเฉิงตู แล้วทั้งคู่ก็ได้เริ่มสานสัมพันธ์ระยะไกลระหว่างจีนกับญี่ปุ่น

ตอนที่ Sim และ Maki ตัดสินใจย้ายออกจากประเทศจีนและเริ่มวางแผนจะทำเกสต์เฮาส์ที่เกียวโต ทั้งสองได้ติดต่อไปยัง Tatsuro และ Koori เพื่อชวนมาร่วมงาน ทำให้ Koori ต้องเดินทางมาญี่ปุ่นและพวกเขาก็ได้เจอกันอีกครั้ง แล้วหลังจากนั้นไม่นานทั้งสองคนก็แต่งงานกัน

ตอนที่เราเข้าไปอ่านประวัติบอกได้คำเดียวว่าเคลิ้ม (มาก) อะไรจะโรแมนติกขนาดนั้น พบรักระหว่างการเดินทาง แล้วที่ที่ Sim กับ Maki เจอกันก็เป็นเมืองในฝันของเราซะด้วย

เราสองคนเอากระเป๋ามาฝากที่เคาน์เตอร์ด้านล่างก่อนที่จะออกไปวัด Kiyomizu จริงๆ แล้ววันนี้เราตั้งใจว่าจะเดินไป เพราะจากที่ดูแผนที่มาน่าจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที อากาศเย็นๆ เดินเรื่อยๆ น่าจะโอเค แต่พอฝนตกเราก็เลยกลับไปใช้บริการรถเมล์สาย 206 เหมือนเดิม (สามารถนั่งสาย 207 และสาย 202 ก็ได้)


ถัดจากป้าย Umamachi ที่พวกเราขึ้นจะเป็นป้าย Gojozaka และป้าย Kiyomizumichi จากทั้งสองป้ายเราสามารถเดินไปวัด Kiyomizu ได้เหมือนกัน แต่พวกเราเลือกลงที่ป้าย Kiyomizumichi เพราะคิดว่าน่าจะใกล้กว่า เมื่อลงรถเมล์แล้ว ฝั่งตรงข้ามจะเป็นทางเดินไปวัด Kiyomizu พอดี ช่วงนี้เป็นทางขึ้นเนิน พูดไป เดินไป อาจจะหายใจไม่ทันได้


เราไปถึงวัด Kiyomizu ประมาณ 08.45 น. ตอนแรกเหมือนนักท่องเที่ยวจะยังไม่เยอะมาก แต่พอเราถ่ายรูปที่ด้านหน้าวัดได้แค่ 5 นาทีเท่านั้น ทัวร์กลุ่มใหญ่ก็เริ่มมา วัด Kiyomizu จะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 06.00 น. ถึง 18.00 น. เสียค่าเข้าชม 300 เยน



วัด Kiyomizu หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อวัดน้ำใสได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์เกียวโตโบราณและยังได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลกจาก UNESCO อีกด้วย จุดที่น่าสนใจของที่นี่อยู่ที่เสาค้ำยันระเบียงวัดที่สร้างขึ้นด้วยไม้ขนาดใหญ่สูงจากพื้น 12 เมตร โดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว เนื่องจากช่างไม้ใช้วิธีเข้าลิ่มด้วยภูมิปัญญาของชาวญี่ปุ่นโบราณ





เราใช้เวลาอยู่ในวัด Kiyomizu ประมาณชั่วโมงเศษ โดยที่ไม่ได้แวะไปที่ศาลเจ้า Jinshu เพราะว่าลืมสนิท ก่อนออกมาเดินดูของฝากตามร้านค้าต่างๆ ที่อยู่ด้านหน้าวัด เราว่าร้านขายของที่ระลึกที่นี่ก็คล้ายๆ กับตามสถานที่ท่องเที่ยวของบ้านเรา ที่มีทั้งขนมประจำท้องถิ่นนั้นๆ พวงกุญแจ ที่ติดตู้เย็น และโปสการ์ด เพียงแต่ความสวยงามและความเป็นระเบียบเมืองไทยเราอาจจะยังสู้ไม่ได้

จากที่มีหลายคนแนะนำว่าที่ด้านหน้าวัด Kiyomizu มีชูครีมเจ้าอร่อย เราสองคนเลยต้องขอชิมซะหน่อย (โดยที่ไม่แน่ใจว่าใช่ร้านเดียวกันรึเปล่า) เราสั่งชูครีมชาเขียวมา 1 ชิ้นกับเครื่องดื่มร้อนๆ คนละ 1 แก้ว และหลังจากที่ได้ชิมแล้วพวกเราก็เห็นตรงกันว่าไม่อร่อย เราว่าเนื้อครีมรสชาติธรรมดา ส่วนตัวแป้งก็เหนียวไปหน่อย หรือเราจะคุ้นลิ้นกับชูครีมแบบไทยมากกว่าก็ไม่รู้  

ชื่อสินค้า:   ญี่ปุ่น ,ใบไม้แดง
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่