[CR] เล่าเรื่องการเดินทาง 2,200 กิโลเมตร 3 แผ่นดิน ไทย-พม่า-ลาว ตอนที่ 7. การเดินทางวันที่ 7..อำเภอท่าลี่ (1/2)

ความเดิมตอนที่แล้ว (สำหรับเพื่อนสมาชิใหม่ที่สนใจ เพิ่งเข้ามาเปิดอ่านครับ)

กระทู้แรก เกริ่นนำเรื่อง :
http://pantip.com/topic/33108342

ตอนที่ 1..อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา
http://pantip.com/topic/33113437

ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
http://pantip.com/topic/33117448

ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (1/2)
http://pantip.com/topic/33119147

ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (2/2)
http://pantip.com/topic/33119204
หมายเหตุ ในหัวเรื่องกระทู้ ชื่อตอนว่า ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร (2/2) พิมพ์ผิดครับ ขออภัย ต้องเป็นชื่อว่า ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (2/2) ช่วยแก้ไขด้วยนะครับ

ตอนที่ 4..อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย (1/2)
http://pantip.com/topic/33124369

ตอนที่ 4..อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย (2/2)
http://pantip.com/topic/33125115

ตอนที่ 5..วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
http://pantip.com/topic/33129722

ตอนที่ 6..อุทยานแห่งชาติภูเรือ
http://pantip.com/topic/33133858

มาเข้ากระทู้ของวันนี้กันนะครับ

ตอนที่ 7..อำเภอท่าลี่ (1/2)

กำหนดการเดินทางจากเดิมที่เข้าพักที่อุทยานแห่งชาติภูเรือ 2 คืน ก็ต้องลดเหลือเพียงคืนเดียว และกำหนดการที่เปลี่ยนใหม่สำหรับวันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม 2558 ที่เปลี่ยนใหม่นี้ จะเปลี่ยนเฉพาะช่วงบ่าย ช่วงเช้าเหมือนเดิม ดังนี้  ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเรือ อาหารเช้าที่ภูเรือ ภาคเช้าทานกาแฟที่ร้าน Love เลย Coffee แวะเที่ยว ชาโต้ เดอ เลย อาหารเที่ยง ร้าน Kitchen Plus ภาคบ่าย เดินทางไปอำเภอท่าลี่ วัดพระธาตุสัจจะ  

ก่อนอื่น ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง  รู้สึกจะขออภัยเกือบทุกตอนเลย ก็หนูไม่เคยนี่ ซิง ๆ เลยนะเนี่ย หัดเขียนเรื่องราวการเดินทางนี้เป็นครั้งแรก ก็สับสนปนไปปนมา  ไม่รู้ว่าเป็นอย่างนี้กันทุกคนหรือเปล่าน้า  ก็คงคล้าย ๆ กับดาวินชี ที่วาดรูปโมนาลิซ่าครั้งแรก หน้าตาคงเด็กกว่าตัวจริง (คงเปรียบอย่างนี้ได้มั๊ง)  เอาเป็นว่าขอโทษก็แล้วกันที่เขียนชื่อเรื่องตอนท้ายครั้งที่แล้วผิด คือ ได้เกริ่มนำตอนท้ายเรื่องว่า ครั้งนี้ จะไปที่ไหน อันที่จริง ไปด่านสะพานมิตรภาพน้ำเหือง ไทย-ลาว และลอยแพห้วยกระทิง เป็นวันพรุ่งนี้ (ตอนหน้าครับ)  

เช้าวันนี้วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม 2558  นาฬิกาถูกตั้งไว้เวลาไว้ตี 5 ครึ่ง หลังจากเก็บข้อมูลจากคนขับสองแถวเมื่อวานที่ขึ้นไปส่งยอดภูเรือว่า พระอาทิตย์จะขึ้นเวลา 6.40 น. (ให้ข้อมูลนิดนึง อย่าจำเวลาพระอาทิตย์ขึ้นเวลา 6.40 น. นี้นะครับ พระอาทิตย์ขึ้นเวลาต่างกันเมื่อฤดูกาลต่างกัน เดี๋ยวพาลจะมางอนหาว่า ขึ้นไปภูตอน 6.40 น. (หน้าร้อน) พระอาทิตย์พ้นยอดไม้ไปแล้ว อดดู เช็คดูนะครับ)  หลังจากทำธุระเสร็จก็ออกจากที่พัก มุ่งหน้าตรงไปยังยอดภูเรือ เช้านี้ บรรยากาศต่างจากเมื่อวานเย็นโดยสิ้นเชิง อากาศค่อนข้างหนาว และเมื่อขึ้นไปเกือบถึงยอดภู อีกประมาณ 500 เมตร ทางที่เห็นอยู่ตรงหน้ากลับหายลับเข้ากลีบหมอกไป (ฟ้ายังมืดอยู่ มีแต่แสงไฟจากหน้ารถเท่านั้นที่ช่วยนำทาง) ตอนนั้น ใจหายวาบ เพราะที่เห็นอยู่ตรงหน้า เป็นระอองหมอกหนาทึบกำลังพัดผ่านมาทางเส้นทางที่ขึ้นสู่ภูพอดี โชคดีมากที่รถคันนี้ มีไฟตัดหมอก จึงมีโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากมันก็ครั้งนี้ รวมทั้งใบปัดน้ำฝนที่เพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ ทำให้ทัศนะวิสัยในการมองเห็นดีขึ้น ก็กระดึ๊บ กระดึ๊บ ค่อย ๆ ขับไปช้า ๆ  ดีนะที่เมื่อวานเย็นได้มาเซอเวย์ทางไปรอบนึง  ทำให้อุ่นใจได้บ้างว่ามาถูกทาง เพราะมองไม่เห็นทางจริง ๆ มีแต่หมอกรอบข้างเต็มไปหมด  จนมาถึงลานจอดรถ ก็เห็นสัญญาณจากไฟฉายให้เลี้ยวไปยังที่จอดรถ  จอดเสร็จก็เดินไปที่จอดรถสองแถวที่จะพาขึ้นยอดภูเรือ  ก็ให้นึกถึงหนังเรื่องนึงในอดีต ที่พระเอกรูปหล่ออยู่กลางทะเลทรายแล้วมีพายุแรงพัดโหมเข้าใส่ นั่นแหละ สภาพเดียวกันกับพระเอกในหนัง ต่างกันแต่ว่า ตอนนี้ เป็นตอนมืด ๆ มีแสงไฟจากร้านค้าด้านหน้าเป็นตัวนำทาง ในขณะที่มีลมพัดแรงหอบเอาทั้งหมอกและฝุ่นทรายมาปะทะใบหน้า เลยไม่รู้ว่าไอเย็นที่มาปะทะใบหน้านั้นเป็นฝุ่นหรือหมอก

ถึงที่จอดรถสองแถว ด้วยสัญชาติญาณความเป็นลูกผู้ชาย ก็รีบขึ้นรถแทรกตัวไปกับสาวคนอื่น ๆ ที่นั่งกันอยู่ก่อนแล้วจนเกือบเต็มคันรถ ได้ไออุ่นจากสาวข้าง ๆ ก็พอทำให้คลายหนาวลงได้บ้าง  (ตอนนั้นก็ไม่รู้สึกอะไร  แต่พอตอนลงจากยอดภูมา ทำไมติ่งหูข้างซ้ายมันเจ็บ ๆ แดง ๆ ช้ำ ๆ ยังไงก็ไม่รู้ สงสัยหนาวจนหูชา  แต่ก็แปลก มันน่าจะเป็นทั้งสองข้าง ทำไมเป็นแต่ข้างฝั่งที่แม่บ้านนั่งอยู่ แปลกเน๊อะ)  พอเต็มคัน รถสองแถวก็พาไปส่งถึงยอดภูเรือ ก็พบว่า มีคนเป็นจำนวนมากมาปักหลักอยู่ก่อนแล้ว เดินไปทางไหนก็มีแต่คน คน และคน  แต่เช้านี้ ฟ้าปิด ลมที่พัดผ่านมาหอบเอาหมอกหนามาด้วย ทำให้เหมือนมีระอองฝนตก ทัศนะวิสัย ไม่ดี  เชิญชมภาพครับ :



อยู่ที่ยอดภูเรือได้พักใหญ่ ก็ให้ลังเลว่าจะอยู่หรือกลับดี เพราะท่าทางฟ้าจะไม่เป็นใจ และอีกอย่าง ก็เห็นกลุ่มคนทีละกลุ่มสองกลุ่มเริ่มทยอยกลับลงไป  เอาน่ะ อยู่อีกสักพัก รอดู ถ้าฟ้าปิดจริง เดี๋ยวก็ค่อยกลับก็ได้ เพราะจริง ๆ แล้ว ตอนนี้ คนรอรถสองแถวที่ลงไปส่งแล้ววิ่งกลับขึ้นมารับใหม่มีคิวยาว  ก็นั่งเล่นไปซักพัก ปรากฏว่า อีกไม่นานนัก พระอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้ามาแล้ว พอหมอกที่พัดมาจางหาย กลับได้รูปที่ไม่คาดฝัน  เชิญชมภาพครับ :




สวยงามสุดยอดจริง ๆ  นี่แค่รูปนะครับ ในภาพที่เห็นจริง เหมือนกับจ้องมองผ่านกองไฟทะเลเพลิง หมอกที่บดบังและค่อย ๆ เคลื่อนตัวเองผ่านพระอาทิตย์ดวงกลมโตนั้น เหมือนควันไฟจากทะเลเพลิงที่เกิดขึ้นด้านล่าง หาชมยากจริง ๆ หลังจากนั้น ฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นมาก ก็ถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ จนจำนวนคนร่อยหรอลง จึงเดินทางกลับลงมา  เชิญชมภาพครับ :







ตรงข้ามหน้าสำนักงานอุทยานฯ มีร้านอาหารตามสั่ง ก็เข้าไปทานข้าวตอนเช้า หมดไป 250 บาท เสร็จแล้ว ก็นั่งพักสูดอากาศยามเช้าก่อน check out ออกจากอุทยานแห่งชาติภูเรือเพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวสถานที่ที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้  เชิญชมภาพครับ :  


ก็สั่งราดหน้า ต้มจืดไข่ ข้าวกระเพาหมู ลองท้องกัน:


สภาพบ้านพักที่อุทยานภูเรือ:


ห้องนอนก็เละตามเคย:


ลงจากอุทยานฯ มาถึงตรงเท้าเขา (ไม่ใช่เท้าของเขาของเรานะครับ หมายถึง ตีนเขาน่ะ) ใกล้ทางออก มีสวนคริสมาสอยู่ทางซ้ายมือ ก็จอดรถลงไปถ่ายรูปกันนิดหน่อย แล้วก็ขึ้นรถไปต่อ  เชิญชมภาพครับ :



รูปนี้ ถูกสั่งห้ามไม่ให้นำมาลง แต่อยากให้เห็นความอุตสาหะและเบื้องหลังการถ่ายทำในครั้งนี้:


ระหว่างทาง ก็ให้แม่บ้านโทรศัพท์ไปจองห้องพักสำหรับคืนนี้ที่ท่าลี่  ที่แรกที่โทรไป คือ ภูตะวันชมดาว รีสอร์ท  “ห้องพักเต็มค่า” เสียงลอดมาทางโทรศัพท์  ก็เหลืออีกที่สุดท้าย Le Bar Tarry (เห็นเขาอ่านว่า เลอ บาร์ แทรี แต่พอไปอยู่จริง เจ้าของเขาอ่านว่า เลอ บา ท่าลี่) ลองโทรดู “ขอเช็คดูก่อนนะค๊า” เสียงตามสายบอกมา รออีกสักครู่ “เมื่อเช้ามี check out ออกไป 5 ห้องค่า รับกี่ห้องดีค๊า”  ก็เจรจาคุยกันเสร็จสรรพ โล่งอก มีที่นอนแล้วคืนนี้  เสร็จสมอารมณ์หมาย ก็ขอแวะซดกาแฟร้อน ๆ ริมทางให้สบายอุราซักหน่อย ชื่อร้าน Love เลย Coffee  ร้านอยู่หน้าไร่สบันงา  เชิญชมภาพครับ :







น่ารัก น่าชัง (หมายถึงร้านน่ะครับ) น่านั่งดี เสร็จแล้วก็แวะถ่ายรูปสวนดอกดาวเรืองข้างทาง เชิญชมภาพครับ :



จากนั้น ก็ขับไปที่เป้าหมายของการท่องเที่ยวเช้าวันนี้ คือ ชาโต้ เดอ เลย ซึ่งอยู่ไม่ไกล เข้าไปซื้อของฝาก (ได้ไวน์ ชาโต้ เดอเลย ตามที่ได้ตั้งใจไว้เพื่อเป็นของฝากให้ผู้ใหญ่ (ให้เหล้าบาป แต่ให้ไวน์ ไม่น่าบาปเน๊อะ เป็นโอสถ) เดินเที่ยวไร่องุ่น แล้วเข้าไปโรงหมักไวน์ เชิญชมภาพครับ :



ข้าง ๆ ไร่องุ่นก็มีเพิงเล็ก ๆ ขายองุ่นไร้เม็ดด้วย:




ออกจากชาโต้ เดอ เลย วิ่งวกกลับมาผ่านอุทยานฯ อีกครั้ง ก่อนถึงปั๊ม ปตท. เลยตลาดภูเรือไปเฮือกนึง ก็จอดแวะถ่ายรูปเทอร์โมมิเตอร์ยักษ์  เชิญชมภาพครับ :

รูป 3 สาวที่ร่วมเดินทางไปด้วย:


พอไปถึงปั๊ม ปตท. เข้าไปจอดในปั๊ม เดินเข้าไปหลังปั๊มสุดทางด้านขวา มีร้านอาหารชื่อ  Kitchen Plus  รออยู่ เข้าไปก็สั่งอาหารทานกัน  อิ่มแล้วเรียกเก็บตัง ทั้งหมด 717 บาท ก็โอเคครับ สั่งสเต็กหมู พ๊อคช๊อป และชุดไก่ย่างส้มตำแถมข้าวเหนียว อร่อยครับโดยเฉพาะน้ำจิ้มแจ่ว รสเยี่ยม ได้ใจสมาชิกจริง ๆ  เชิญชมภาพครับ :



บรรยายกาศดี เหมือนนั่งทานข้าวอยู่ระเบียงบ้านที่สวิสฯ (มโนเอง):
ชื่อสินค้า:   ยอดภูเรือ (พระอาทิตย์ขึ้น) Love เลย Coffee ชาโต้ เดอ เลย ร้านอาหาร Kitchen Plus วัดพระธาตุสัจจะ ร้านอาหารใน Le Bar Tarry
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่