หลังพระพุทธเจ้าออกผนวช ราชวงศ์ศากยะถูกทำลายล้างหรือครับ งงจัง

อ่านหนังสือแล้วงงจัง

1. เล่าประวิติที่มาที่ไปของการถูกทำลายทีครับ

2.แล้วพระญาติของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
เล่าย่อๆ ..

   พระเจ้าปเสนทิ  พระราชาแห่งแคว้นโกศล  มีความนับถือศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง  ต้องการจะผูกสัมพันธ์เป็นญาติกับพระพุทธเจ้าในทางใดทางหนึ่ง   จึงต้องการเจ้าหญิงสักคนจากศากยวงศ์มาอภิเษกสมรส  เมื่อแจ้งความประสงค์นี้ไปทางศากยวงศ์  ก็ปรากฏว่าไม่มีเจ้าหญิงในศากยวงศ์เหลืออีก เพราะแต่งงานและออกบวชแทบหมด  ยังมีเหลือเจ้าหญิงคนหนึ่ง  ชื่อ  วาสภขัตติยา ซึ่งเป็นธิดา(ลูกสาว) ของเจ้าชายมหานามะ ซึ่งเป็นโอรส(ลูกชาย) ของพระเจ้าอมิโตทนะ  ซึ่งเป็นน้องชายคนหนึ่งของพระเจ้าสุทโธทนะ  (หรือเป็นน้าชายของพระพุทธเจ้า นั่นแหละ)  ดังนั้นเจ้าชายมหานามะ  ก็คือลูกพี่ลูกน้องของพระพระพุทธเจ้า นั่นแหละ  ทำนองเดียวกับพระอานนท์ และพระอนุรุทธะ และพระนางโรหิณี ..(คือ พระเจ้าอมิโตทนะ มีลูกชาย ๒ คน  และ ลูกสาว ๑ คน  คือ พระเจ้ามหานามะ  พระอนุรุทธะ  พระนางโรหิณี)

   แต่ว่า เจ้าหญิงวาสภขัตติยา คนนี้ ซึ่งเป็นลูกสาวของเจ้าชายมหานามะ  มีแม่เป็นทาสซึ่งไม่ใช่วรรณะกษัตริย์  ดังนั้นเจ้าหญิงวาสภขัตติยา จึงเป็นวรรระจัณฑาล
   ทางศากยวงศ์  ในเมื่อไม่อาจจะหาเจ้าหญิงอื่นๆได้  ก็เลยเอาเจ้าหญิงวาสภขัตติยา  ส่งไปให้พระเจ้าปเสนทิโกศล  แล้วปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับ

   เจ้าหญิงวาสภขัตติยา  เมื่อไปเป็นมเหสีคนหนึ่งของพระเจ้าปเสนทิแล้ว  จึงได้ลูกชายออกมาคนหนึ่ง ชื่อ เจ้าชายวิฑูทภะ

   ต่อมาเมื่อเจ้าชายวิฑูทภะ เติบใหญ่เป็นวัยรุ่น  ก็คิดถึงญาติๆที่เป็นศากยวงศ์ จึงเสด็จไปเยี่ยมญาติที่กรุงกบิลพัศดุ์  ตอนกลับออกมาลืมสิ่งของบางอย่างไว้  จึงรับสั่งให้อำมาตย์คนหนึ่งกลับไปเพื่อเอาของที่ลืมนั้น   ตอนที่อำมาตย์กลับไป  ก็เห็นพวกคนใช้กำลังเอาน้ำนมล้างทำความสะอาดบริเวณนั้น  พร้อมกับบ่นว่า  เพราะคนจัณฑาลเข้ามาในบริเวณนี้ ทำให้พวกเราต้องเหนื่อยเอาน้ำนมมาล้าง  อำมาตย์นั่นก็แกล้งถามว่าใครคือคนจัณฑาลที่เข้ามา   พวกคนใช้ที่กำลังเช็ดถูอยู่นั่น ก็ตอบว่า  ก็เจ้าชายวิฑูทภะนั่นไง เป็นคนจัณฑาล เพราะมีแม่เป็นทาส ..อำมาตย์นั่นกลับมาจึงเอาเรื่องนี้มาทูลเล่าให้เจ้าชายวิฑูทภะฟัง  เจ้าชายจึงเกิดความโกรธแค้นต่อศากยวงศ์อย่างสุดๆ  ที่ถูกเหยียดหยามอย่างสุดๆครั้งนี้  ..ตั้งใจไว้ว่า  เมื่อได้เป็นกษัตริย์เมื่อใด จะยกกองทัพมาทำลายศากยวงศ์ให้สิ้นซาก ...  เมื่อเจ้าชายวิฑูทภะกลับมา ก็กราบทูลเรื่องนี้ต่อพระราชบิดา(พ่อ) คือพระเจ้าปเสนทิ  .. เมื่อพระเจ้าปเสนทิรับทราบเรื่องนี้  ก็ไม่ได้ทรงว่าอะไร แต่มีข้อสงสัยข้องใจอยู่บ้าง  จึงไปกราบทูลถามปัญหานี้กับพระพุทธเจ้า ..พระพุทธเจ้าจึงทรงตอบว่า  เรื่องการนับเชื้อสายของบุตรธิดา  เขาถือว่าทางฝ่ายบิดาเป็นใหญ่มาแต่โบราณ  ดังนั้น เจ้าชายวิฑูทภะ ก็ยังถือว่าเป็นเชื้อสายกษัตริย์ นั่นแหละ  ไม่ใช่จัณฑาล...พระเจ้าปเสนทิ ก็ทรงหายข้องใจ .... แต่ในใจของพระเจ้าวิฑูทภะ ไม่หาย  ยังคงเก็บความแค้นไว้เท่าเดิม  ....

    ต่อมาเมื่อเจ้าชายวิฑูทภะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ต่อจากพระบิดา ..จึงได้ยกกองทัพไปทำลายศากยวงศ์  ...ซึ่งการยกไป  ๒ ครั้งแรก  ก็ถูกพระพุทธเจ้าเสด็จไปทรงขัดขวางไว้  จึงยินยอมยกทัพกลับ  แต่ยังยกทัพไปอีกครั้งที่ ๓  ซึ่งครั้งนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้เสด็จไปอีก  เพราะทรงพิจารณาเห็นกรรมเก่าแต่อดีตชาติของพวกศากยวงศ์  ที่เคยทำกรรมไปฆ่าสัตว์พร้อมๆกัน   บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่อดีตกรรมนั่นจะมาส่งผล มาทำลายชีวิตพวกศาสยวงศ์กลุ่มนี้  พระพุทธเจ้าจึงทรงนิ่งเฉยในครั้งนี้  ..

    กองทัพของพระเจ้าวิฑูทภะ(ซึ่งก็คือมีศักดิ์เป็นหลานของพระพุทธเจ้า นั่นแหละ)  จึงยกกองทัพไปทำลายล้างศากยวงศ์ เกือบหมด  มีบางส่วนรอดมาได้  สำหรับคนที่เอาหญ้ามาคาบไว้ในปาก  เมื่อถูกทหารของวิฑูทภะถามว่า "เจ้าเป็นศากยวงศ์หรือไม่"  ก็ตอบว่า "ไม่ใช่ หญ้า"  เพราะนิสัยของพวกศากยวงศ์จะไม่ยอมพูดโกหก   ในเมื่อต้องโกหกเพื่อเอาชีวิตรอด  จะพูดตรงๆก็ไม่ได้จึงใช้วิธีนี้เลี่ยงไป ... ส่วนที่เหลือนอกนั้น  โดนสังหารเรียบ ...ตั้งแต่บัดนั้น  ศากยวงศ์ถือว่าสูญสิ้น  ที่สืบต่อมาจากผู้ที่รอดบางส่วนก็เป็นฐานะชาวบ้านธรรมดาๆ

   พวกศากยวงศ์ที่รอดมานี้ ในประมาณ ๒๐๐ ปี ต่อมา มีคนหนึ่งซึ่งหนีไปอยู่ต่างแดน ได้ไปรับราชการกับกษัตริย์ที่แคว้นหนึ่งทางทิศตะวันตก (แคว้นราชสถานในยุคนี้) กษัตริย์ของแคว้นนั้นในตอนนั้นชื่อพระเจ้าเปารยะ  ...ศากยวงศ์คนนี้ชื่อ  จันทรคุปต์  ได้เติบใหญ่จนได้เป็นเสนาบดีของพระเจ้าเปารยะ  เมื่อสิ้นพระเจ้าเปารยะ  จันทรคุปต์จึงตั้งตนเป็นกษัตริย์  ตั้งวงศ์กษัตริย์ชื่อว่า โมริยวงศ์ขึ้นมา (โมริยะ  แปลว่า  นกยูง)  พระเจ้าจันทรคุปต์มีลูกชื่อว่า พระเจ้าพินทุสาร  พระเจ้าพินทุสารมีลูกชื่อว่า  อโศก ซึ่งก็คือพระเจ้าอโศกมหาราช  กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนาพุทธหลังยุคพุทธกาล นั่นเอง ...นั่นคือ ถ้าสืบย้อนกลังไปพระเจ้าอโศกมหาราช ก็คือคนที่สืบเชื้อสายมาจากศากยวงศ์นั่นเอง

   พระเจ้าเปารยะ  สิ้นพระชนม์ในการต่อสู้กับกองทัพของพระเจ้าอเล๊กซานเดอร์มหาราช จากกรีก  ที่ยกกองทัพมาบุกอินเดีย ตอนนั้น..แต่เมื่อมาถึงยุคของพระเจ้าจันทรคุปต์  ได้ต่อต้านกองทัพกรีกอย่างเข้มแข็ง  จนพระเจ้าอเล๊กซานเดอร์ถอดใจ  ยกทัพกลับ และไปสิ้นพระชนม์ที่อียิปต์ในปีต่อมา

   ดังนั้น ก็ถือได้ว่า  ที่อินเดียรอดพ้นจากการครอบงำของกรีกในยุคนั้นมาได้ เพราะผลงานการต่อต้านของพระเจ้าจันทรคุปต์  ปู่ของพระเข้าอโศกฯ นั่นเอง

   เมื่อพระเจ้าวิฑูทภะ ทำลายศากยวงศ์สมใจอยากแล้ว  ตอนยกทัพกลับ  ได้ไปตั้งกองทัพพักผ่อนริมแม่น้ำ   ก็เลยโดนน้ำท่วมตายหมดทั้งกองทัพรวมทั้งพระเจ้าวิฑูทภะด้วย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ผมขอเล่าบ้าง แต่ต่างจากคุณมโนชิตหน่อยหนึ่ง

คือเมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลมีความดำริว่าจะดองเป็นญาติกับพระพุทธเจ้า
ท่านจึงขอพระราชธิดาองค์ใดองค์หนึ่งในราชตระกูลศากยะ

แต่เจ้าศากยะมีความถือตัวสูง เพราะเจ้าศากยะไม่มองพระเจ้าปเสนทิโกศล
เป็นคนในวรรณะกษัตริย์เลยเนื่องจากย้อนกลับไปไม่เกิน 7 ชั่วคน
ราชวงศ์ของพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ราชสมบัติมาโดยการปราบดาภิเษก
ซ้ำพระเจ้าปเสนทิยั้งมีลักษณะอ้วนดำ
(ดำนี้ไม่รู้ อ้วนนี้แน่นอน พระพุทธเจ้าทรงแนะนำพระเจ้าปเสนทิโกศลให้นับเมล็ดข้าวที่บริโภคแล้วเอาออกวันล่ะเมล็ด)

พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงไม่เป็นที่ต้องการของศากยวงศ์เลย เพราะตระกูลศากยะนั้นโดยมากมีรูปงาม มีผิวพรรณผุดผ่องเหมือนทอง

เมื่อเจ้าศากยะปรึกษากันก็ตกลงกันได้ว่า พระธิดาของพระเจ้ามหานาม(ราชาผู้ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าสุทโธทนะ พี่ชายของท่านอนุรุทธะ)
ที่เกิดจานางทาสีนี้แหล่ะเหมาะสม ก็ส่งไป

ภายหลัง พระเจ้าวิฑูฑภะประสูติและรู้เดียงสาแล้วก็ปราถนาจะไปเยี่ยมญาติฝ่ายมารดา
พระนางวาสภขัตติยาเองก็ห้ามไว้หลายครั้ง เนื่องจากรู้อุปนิสัยญาติฝ่ายศากยวงศ์ดี
แต่เมื่อทนคำรบเร้าไม่ไหว พระนางจึงเขียนจดหมายไปถึงพระราชบิดาบอกถึงความประสงค์ของพระเจ้าวิฑูฑภะ

พระเจ้ามหานามเมื่อรู้ดังนั้นเพื่อจะป้องกันความบาดหมางก็ให้เจ้าศากยะที่มีอายุอยู่ไม่ต้องมาร่วมต้อนรับ
ให้มีแต่เจ้าศากยะเด็กๆก็พอ เจ้าชายวิฑูฑภะมาเยี่ยมพระญาติครั้งนี้ก็ดำเนินไปได้ค่อนข้างราบรื่น
แม้เจ้าศากยะจะมีท่าทีเย็นชาหมางเมินต่อเจ้าชายวิฑูฑภะมากก็ตามที

แต่ปัญหามาเกิดขึ้นเมื่อเจ้าชายวิฑูฑภะเสด็จกลับไปแล้ว ทาสีในศากยวงศ์คนหนึ่ง
ได้เอาน้ำนมมาล้างพื้นที่เจ้าชายวิฑูฑภะนั่ง แล้วสบถขึ้นมาว่าลูกอีทาสีวาสภะทำเราเดือดร้อน
แล้วราชวัลลภของพระเจ้าวิฑูฑภะได้ยินเข้า ความเรื่องชาติกำเนิดของเจ้าชายวิฑูฑภะจึงดังไปทั่วกองทัพ
จนอำมาตย์ผู้หนึ่งทราบเรื่อง แล้วรายงานต่อพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลทราบก็ทรงกริ้วมาก
ทรงปลดพระนางวาสภขัตติยาและเจ้าชายวิฑูฑภะทันที และหมายพระทัยจะยกทัพไป
ถล่มกบิลพัทธ์โทษฐานที่เจ้าศากยะมาย้อมแมวหลอกตน

แต่พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาห้ามไว้ พระองค์เองยังทรงตำหนิการกระทำของเจ้าศากยะด้วย
แล้วก็ทรงกล่าวทำว่า บุตรย่อมมีชาติตามบิดา และพระโอรสที่ประสูติของมารดาผู้มีศีล
ย่อมสามารถเป็นจอมกษัตริย์ได้เช่นกัน พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ฟังดังนั้นก็คืนยศและบรรดาศักดิ์แก่
พระนางวาสภขัตติยาและเจ้าชาวิฑูฑภะ

เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลอายุประมาณ 78 พรรษาก็ได้เสด็จไปรบกับพระเจ้าอชาติศัตรูที่สังหาร
พระเจ้าพิมพิศาล(ลูกพี่ลูกน้องของพระเจ้าปเสนทิโกศล บิดาของพระเจ้าอชาติศัตรูเอง) แต่ทรงพ่ายแพ้
จึงเสด็จกลับ แต่พระเจ้าวิฑูฑภะกลับยึดราชสมบัติและไม่อนุญาตให้พระเจ้าปเสนทิโกศลเข้าเมือง
พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงเสด็จสวรรคตบนหลังม้าเพราะความหนาวและเหนื่อยล้า

เมื่อพระเจ้าวิฑูฑภะครองราชย์ก็ทรงกำหนดพระราชกิจแรกว่า จะเอาเลือดจากศอเจ้าศากยะทั้งหมด
มาล้างพื้นที่ตนนั่ง เพราะเจ้าศากยะพวกนั้นทำตนและพระมารดาได้รับความอัปยศมากจนเกินทน

เมื่อพระเจ้าวิฑูฑภะยกทัพมาก็ถูกขัดขวางไว้โดยพระพุทธเจ้าชรา
ครั้งหนึ่งเมื่อกำลังเข้าถึงเขตของศากยวงศ์ก็พบพระพุทธเจ้านั่งอยู่ภายใต้ต้นไม้ที่มีใบน้อย
ไม่อาจบดบังความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้แต่ต้นไม้นั้นอยู่ในเขตศากยวงศ์

พระเจ้าวิฑูฑภะจึงนิมนต์พระพุทธเจ้าให้เสด็จมานั่งภาบใต้ร่มไม้ที่มีเงา ฝั่งอาณาจักรของ
พระเจ้าวิฑูฑภะ แต่พระพุทธเจ้าปฎิเสธแล้วตรัสว่า "ฝั่งนี้สบายกว่าเพราะ ร่มเงาของหมู่ญาติร่มเย็นเป็นสุข"
พระเจ้าวิฑูฑภะมีความเคารพยำเกรงพระุทธเจ้าอยู่แล้ว ไม่อาจสังหารพระญาติต่อหน้าพระพักตร์ได้จึงเสด็จกลับไป

ภายหลังก็เตรียมการยกพลอีก พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาหาหนทางช่วยพระญาติอีกตามเคย
แต่กลับเกิดปวดพระเศียรขึ้น(ที่ปวดพระเศียรเพราะบุพกรรมที่ชาติหนึ่งพระองค์เกิดเป็นลูกชาวประมง
เห็นพวกปลาถึงความวิบัติ สิ้นญาติเป็นอันมากก็เกิดโสมนัส ปลื้มใจที่มีปลาตายมากมาย + เป็นบุพกรรม
ของเจ้าศากยะด้วย) พระองค์จึงรู้ว่าการยับยั้งในครั้งนี้เกินวิสัยของพระองค์ จึงไม่ได้เสด็จไปห้าม

พระเจ้าวิฑูฑภะยกทัพมาประชิดกำแพงเมืองกบิลพัทธ์ เจ้าศากยะก็ปรึกษากันว่าควรทำอย่างไร
เจ้าศากยะนั้นเป็นเลิศด้านการยิงธนูมาก หากประสงค์จะฆ่าพระเจ้าวิฑูฑภะพร้อมด้วยกองทัพก็ทำได้
แต่เจ้าศากยะทั้งหมดล้วนเป็นอุบาสกรับสรณะและศีลจากพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่อาจฆ่าคนได้

จึงตกลงใจกันว่า เราแค่แสดงฝีมือให้เจ้าวิฑูฑภะเห็นก็คงพอให้เจ้าวิฑูฑภะถอดใจกลับไป
โดยตกลงกันว่าจะยิงธนูให้เหมือนห่าฝน ผ่านระหว่างทหารที่ยืนเบียดกันไหล่ต่อไหล่
โดยไม่ให้ลูกธนูถูกต้องทหารคนใดเลย

เจ้าวิฑูฑภะเมื่อยกทัพมาถึงก็กล้าๆกลัวๆ ครั้นคร้ามต่อกิตติศัพท์ฝีมือทางธนูเจ้าศากยะมาก
เมื่อเห็นลูกธนูถูกยิงลงมาเหมือนห่าฝนก็ยิ่งตกพระทัย แต่เมื่อทราบว่าลูกธนูไม่ถูกใครเลย
ก็สำคัญผิดว่าเจ้าศากยะนี้ไม่มีฝีมือ จึงบุกเข้าไปฆ่าล้างโคตรเจ้าศากยะและจับตัวเจ้ามหานามได้ในที่สุด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่