สวัสดีคร๊าบบบบ ผม"เตง" กลับมาแล้วหลังจากหายไปนาน เอาหล่ะ เข้าเรื่องเลยละกัน
เนื้อหาตอนแรกเม้าเรื่องหนังสือซะส่วนใหญ่นะครับ มีเรื่องนักจิตวิทยาอยู่ไม่ถึงบรรทัด ใครไม่อยากอ่านเรื่องเม้าก็ข้ามไปล่างสุดเลยก็ได้ครับ ตอบคำถามผมด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
แต่กอ่น ผมอยากจะเรียนคณะนิเทศศาสตร์ และผมก็หาข้อมูลเกี่ยวกับมันอย่างบ้าคลั่ง สว่นเหตุผลหรอ ไม่มี รึมันอาจจะเป็นแค่ความอยากในมโนภาพของผมเท่านั้น มูลเหตุของมันผมคิดว่าน่าจะมาจาก "เบบี้มายด์ 69" คุณทนความหนาวได้อีกนานแค่ไหน พี่ชาย~ชั้นหนาวหน่ะ โอะบ้าจริง
ดังนั้น ผมจึงไล่ล่าและตามหาเพื่อกวาดล้างหนังสือทุกเล่มที่ผมคิดว่ามันคงจะเป็นประโยชน์ต่อผมได้ แต่เมื่อหยิบๆกองๆตั้งๆไว้ มีกองหนังสือมากมายใจร้านหนังสือ และแน่นอน ราคามันสูงลิ่วแพงหูฉี่เลย ผมจึงทำได้แค่ จับพวกมันเข้าที่เดิมอย่างละอายแก่ใจ ทำไปเพื่ออะไรนะ
ไม่กี่วันต่อมา ผมได้ไปร้านหนังสือบ้าบอนั่นอีก ซึ่งแน่นอน หนังสือใหม่ถูกจัดเรียงขึ้นชั้น ผมวิ่งปรี่เข้าไป จับๆลูบๆ และกวาดสายตา มหากิเลสของผมไปทั่วทั้งชั้น และสะดุดตาอีกแล้ว หนึ่ง สอง สาม สี่ ไม่ห้า โอ้วววว หก เจ็ด และแปด เล่ม ที่วางอยู่ตรงนั้น ไม่ๆๆๆๆ มันมากเกินไป และเวลามันไม่พอแน่ๆ
//บอกกอ่นเลยว่า ผมเป็นคนพูดมาก และแน่นอน เป็นคนตลก ไร้สาระ และที่สำคัญ อิ่นางมารในร่างตัวตลก คิดจะดีก็ดี๊ๆคิดจะร้ายก็ป่าช้าแตก แหม่ะ ก็ว่าไป
และเมื่อผมเข้าไปในร้านหนังสือ ที่ผมตามหาอย่างแรกคือ หนังสือเบาสมอง ซึ่งก็คงจะไม่ใช่ หนังสือเตรียมสอบ แนวข้อสอบ การเรียน และนิยายน้ำเน่า เพราะผมไม่ค่อยจะชอบอ่านหนังสือสักเท่าไร และตั้งแต่แรกที่บอกไว้ ผมสะดุดตาที่หนังสือหลายเล่ม แต่เมื่อถึงเวลา ผมกลับเลือกมาเพียงสองเล่ม เท่านั้น เล่มแรกที่ตัดสินใจซื้อคือ "ศิลปะการพูดที่จูงใจคน" แน่นอน มีเทคนิกมากมายที่เราต้องใช้เวลาพูด แต่เมื่อผมเปิดอ่านผมกลับเบื่อหน่ายมันทันที เพราะผมไม่ชอบหนังสือที่เป็นหลักการเน้นๆ หรือเล่นเกินไป ดังนั้น หนังสือเล่นนี้จึงไม่ค่อยตอบโจทย์ผมเท่าไร (แต่ก็ซื้อมาแล้ว) และอีกเล่มหล่ะ แน่นอน ไม่นานมานี้ผมก็ชื่นชอบในการ อ่านใจ สังเกตุคน และชอบจับผิดพฤติกรรมของบุคคลต่างๆ ดังนั้น หนังสือที่ชื่อ "ร่างกายไม่เคยโกหก คู่มืออ่านคนฉบับเอฟบีไอ" และมันก็ทำให้ผมต้องเสียเงินอีกมากมายกับ ค่าสมุดโน๊ตเล่มใหม่ ปากกาเน้นคำ ปากกาสีต่างๆ และเครื่องเขียนอีกมากมายซึ่งผมมีทั้งหมดนี้อยู่แล้ว (ก็คิดอยู่ว่าจะซื้อมาทำไม) และอีกครั้งที่ผมต้องผิดหวังกันหนังสือที่ "ผมถือว่าห่วย" เพราะมันจับใจความลำบากและไร้สาระซะส่วนใหญ่ (ทั้งสองเล่มผมอ่านยังไม่จบแต่ผมรู้ได้เลยว่ามันดีรึไม่ดี โดยผมเอาหนังสือ "มันมากับความเหมียว"เป็นเกณฑ์ เพราะเป็นหนังสือเล่มแรกและเล่มเดียวที่ผมเก็บเงินซื้อและอ่านมันเองจนจบเล่ม และมันทำให้ผมเป็นทาศแมว แต่เอาหละเข้าเรื่องต่อ) และเล่มนี้มันก็ค่อนข้างจะดึงดูดใจผมเล็กน้อย มันทำให้ผมต้องหยิบมันมาอ่านต่อ เพราะมันไม่ใช่หนังสือที่เน้นสาระ แต่เป็นการเขียนที่ออกแนว นิยายแฟนตาซี และแทรกเกร็ดความรู้และเทคนิคมากมายลงไปด้วย และมันก็ทำให้ผมเปลี่ยน(อีกแล้ว) เปลี่ยนความคิด จากที่อยากแค่"เรียนนิเทศ" แต่ตอนนี้ ผม "อยากเป็นนักจิตวิทยา" หลังจาก 15ปีที่ผมโกหกทุกคน ในแบบสอบถามข้อมูลนักเรียนรายบุคคลว่า ผมอยากเป็น ครู หมอ นักเขียน พิธีกร ดีเจ นักร้อง และอาชีพต่างๆในวงการบันเทิง //ที่ตั้งใจสุดๆคือผู้กำกับและนักแสดงละครเวที ย้ำ"ละครเวที"//ไม่รู้ทำไม และตอนนี้ผมอยากจะเดินบนเส้นทางแห่ง นักจิตวิทยา และผมเลยจะแวะมาถามว่า
ที่เขียนมา ผมเขียนสนุกรึเปล่า ควรปรับปรุงรึเปล่า (ผมใช้คำว่า"รึ"แทนคำว่า"หรือ"เพื่อไม่ให้มัดูเป็นทางการมากเกินไปนะครับ)
แล้วตอนนี้ผมอยู่ ม.๓ สายวิทย์-คณิต แล้วม.๔ ผมควรต่อสายไหน (ผมไม่รู้ว่านิทศ และนักจิตวิทยา เค้าเรียนสายไหนกัน)
และที่สำคัญ ผมครวเตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมอะไรยังไงบ้างครับ
หวาย เขียนเพลินเดินชมวิวไปหน่อย ลืมดูเวลาเลย ตีหนึ่งครึ่งแล้ว งั้น ฝันดีชาวเน็ตนะครับ (ชอบโพสดึกเพราะโลกจะเงียบสมองลื่นดีครับ) ตอบเลยผมตื่นสายฮ่าๆ เพราะขี้เซา และชอบใช้ชีวิตตอนกลางืนมากกว่ากลางวันอีก ผมว่า กลางคืนสวยกว่ากลางวันอีกในบางมุม (ผมไม่เคยเที่ยวนะครับ ถึงแม้จะอยู่หอคนเดีวก็เถอะ แต่ร้านข้าวหน้าปากซอยยังขี้เกียจเลย-..-)
นักจิตวิทยา เรียนสายไหน??
เนื้อหาตอนแรกเม้าเรื่องหนังสือซะส่วนใหญ่นะครับ มีเรื่องนักจิตวิทยาอยู่ไม่ถึงบรรทัด ใครไม่อยากอ่านเรื่องเม้าก็ข้ามไปล่างสุดเลยก็ได้ครับ ตอบคำถามผมด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
แต่กอ่น ผมอยากจะเรียนคณะนิเทศศาสตร์ และผมก็หาข้อมูลเกี่ยวกับมันอย่างบ้าคลั่ง สว่นเหตุผลหรอ ไม่มี รึมันอาจจะเป็นแค่ความอยากในมโนภาพของผมเท่านั้น มูลเหตุของมันผมคิดว่าน่าจะมาจาก "เบบี้มายด์ 69" คุณทนความหนาวได้อีกนานแค่ไหน พี่ชาย~ชั้นหนาวหน่ะ โอะบ้าจริง
ดังนั้น ผมจึงไล่ล่าและตามหาเพื่อกวาดล้างหนังสือทุกเล่มที่ผมคิดว่ามันคงจะเป็นประโยชน์ต่อผมได้ แต่เมื่อหยิบๆกองๆตั้งๆไว้ มีกองหนังสือมากมายใจร้านหนังสือ และแน่นอน ราคามันสูงลิ่วแพงหูฉี่เลย ผมจึงทำได้แค่ จับพวกมันเข้าที่เดิมอย่างละอายแก่ใจ ทำไปเพื่ออะไรนะ
ไม่กี่วันต่อมา ผมได้ไปร้านหนังสือบ้าบอนั่นอีก ซึ่งแน่นอน หนังสือใหม่ถูกจัดเรียงขึ้นชั้น ผมวิ่งปรี่เข้าไป จับๆลูบๆ และกวาดสายตา มหากิเลสของผมไปทั่วทั้งชั้น และสะดุดตาอีกแล้ว หนึ่ง สอง สาม สี่ ไม่ห้า โอ้วววว หก เจ็ด และแปด เล่ม ที่วางอยู่ตรงนั้น ไม่ๆๆๆๆ มันมากเกินไป และเวลามันไม่พอแน่ๆ
//บอกกอ่นเลยว่า ผมเป็นคนพูดมาก และแน่นอน เป็นคนตลก ไร้สาระ และที่สำคัญ อิ่นางมารในร่างตัวตลก คิดจะดีก็ดี๊ๆคิดจะร้ายก็ป่าช้าแตก แหม่ะ ก็ว่าไป
และเมื่อผมเข้าไปในร้านหนังสือ ที่ผมตามหาอย่างแรกคือ หนังสือเบาสมอง ซึ่งก็คงจะไม่ใช่ หนังสือเตรียมสอบ แนวข้อสอบ การเรียน และนิยายน้ำเน่า เพราะผมไม่ค่อยจะชอบอ่านหนังสือสักเท่าไร และตั้งแต่แรกที่บอกไว้ ผมสะดุดตาที่หนังสือหลายเล่ม แต่เมื่อถึงเวลา ผมกลับเลือกมาเพียงสองเล่ม เท่านั้น เล่มแรกที่ตัดสินใจซื้อคือ "ศิลปะการพูดที่จูงใจคน" แน่นอน มีเทคนิกมากมายที่เราต้องใช้เวลาพูด แต่เมื่อผมเปิดอ่านผมกลับเบื่อหน่ายมันทันที เพราะผมไม่ชอบหนังสือที่เป็นหลักการเน้นๆ หรือเล่นเกินไป ดังนั้น หนังสือเล่นนี้จึงไม่ค่อยตอบโจทย์ผมเท่าไร (แต่ก็ซื้อมาแล้ว) และอีกเล่มหล่ะ แน่นอน ไม่นานมานี้ผมก็ชื่นชอบในการ อ่านใจ สังเกตุคน และชอบจับผิดพฤติกรรมของบุคคลต่างๆ ดังนั้น หนังสือที่ชื่อ "ร่างกายไม่เคยโกหก คู่มืออ่านคนฉบับเอฟบีไอ" และมันก็ทำให้ผมต้องเสียเงินอีกมากมายกับ ค่าสมุดโน๊ตเล่มใหม่ ปากกาเน้นคำ ปากกาสีต่างๆ และเครื่องเขียนอีกมากมายซึ่งผมมีทั้งหมดนี้อยู่แล้ว (ก็คิดอยู่ว่าจะซื้อมาทำไม) และอีกครั้งที่ผมต้องผิดหวังกันหนังสือที่ "ผมถือว่าห่วย" เพราะมันจับใจความลำบากและไร้สาระซะส่วนใหญ่ (ทั้งสองเล่มผมอ่านยังไม่จบแต่ผมรู้ได้เลยว่ามันดีรึไม่ดี โดยผมเอาหนังสือ "มันมากับความเหมียว"เป็นเกณฑ์ เพราะเป็นหนังสือเล่มแรกและเล่มเดียวที่ผมเก็บเงินซื้อและอ่านมันเองจนจบเล่ม และมันทำให้ผมเป็นทาศแมว แต่เอาหละเข้าเรื่องต่อ) และเล่มนี้มันก็ค่อนข้างจะดึงดูดใจผมเล็กน้อย มันทำให้ผมต้องหยิบมันมาอ่านต่อ เพราะมันไม่ใช่หนังสือที่เน้นสาระ แต่เป็นการเขียนที่ออกแนว นิยายแฟนตาซี และแทรกเกร็ดความรู้และเทคนิคมากมายลงไปด้วย และมันก็ทำให้ผมเปลี่ยน(อีกแล้ว) เปลี่ยนความคิด จากที่อยากแค่"เรียนนิเทศ" แต่ตอนนี้ ผม "อยากเป็นนักจิตวิทยา" หลังจาก 15ปีที่ผมโกหกทุกคน ในแบบสอบถามข้อมูลนักเรียนรายบุคคลว่า ผมอยากเป็น ครู หมอ นักเขียน พิธีกร ดีเจ นักร้อง และอาชีพต่างๆในวงการบันเทิง //ที่ตั้งใจสุดๆคือผู้กำกับและนักแสดงละครเวที ย้ำ"ละครเวที"//ไม่รู้ทำไม และตอนนี้ผมอยากจะเดินบนเส้นทางแห่ง นักจิตวิทยา และผมเลยจะแวะมาถามว่า
ที่เขียนมา ผมเขียนสนุกรึเปล่า ควรปรับปรุงรึเปล่า (ผมใช้คำว่า"รึ"แทนคำว่า"หรือ"เพื่อไม่ให้มัดูเป็นทางการมากเกินไปนะครับ)
แล้วตอนนี้ผมอยู่ ม.๓ สายวิทย์-คณิต แล้วม.๔ ผมควรต่อสายไหน (ผมไม่รู้ว่านิทศ และนักจิตวิทยา เค้าเรียนสายไหนกัน)
และที่สำคัญ ผมครวเตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมอะไรยังไงบ้างครับ
หวาย เขียนเพลินเดินชมวิวไปหน่อย ลืมดูเวลาเลย ตีหนึ่งครึ่งแล้ว งั้น ฝันดีชาวเน็ตนะครับ (ชอบโพสดึกเพราะโลกจะเงียบสมองลื่นดีครับ) ตอบเลยผมตื่นสายฮ่าๆ เพราะขี้เซา และชอบใช้ชีวิตตอนกลางืนมากกว่ากลางวันอีก ผมว่า กลางคืนสวยกว่ากลางวันอีกในบางมุม (ผมไม่เคยเที่ยวนะครับ ถึงแม้จะอยู่หอคนเดีวก็เถอะ แต่ร้านข้าวหน้าปากซอยยังขี้เกียจเลย-..-)