การพูดถึงเรื่องราวที่เราประทับใจ ทำให้เรามีความสุข และยิ้มออกมาได้เสมอ
โดยเฉพาะการได้พูดถึงคนที่เรารู้สึกพิเศษด้วย ยิ่งทำให้ยิ้มออกมาได้โดยไม่รู้ตัว
ผมแอบชอบรุ่นน้องคนนึงมาได้ 6 ปีแล้ว อายุเราห่างกันประมาณ 2 ปี โมเม้นต์ "แรกพบ" ของผมคือตอนน้องเขาอยู่ม.1 ซึ่งผมอยู่ม.3
เนื่องจากผมจีบใครไม่เก่ง ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เพราะหน้าตาไม่ดี
รุ่นน้องผมคนนี้เขาเป็นเพื่อนกับน้องของเพื่อนผม มันก็มีอยู่วันนึงที่ 4 คน (ผม เพื่อนผม น้องเพื่อนผม น้องคนนี้) ได้มาร่วมวงสนทนากันโดยบังเอิญ วันนั้นเองที่ผมได้รู้ชื่อน้องเขา 1 ปีนับจากวันนั้นผมใช้เวลาไปกับการทำความรู้จักและสร้างความสัมพันธ์เรื่อยๆ ด้วยการหาโอกาสปรากฎตัวให้เขาเห็นและเข้าไปทักทายบ่อยๆ ทั้งที่โรงเรียน ศูนย์กวดวิชา และที่อื่นๆ เท่าที่มีโอกาส ผมทำได้แค่ทักทาย พูดคุยกันบ้างเล็กน้อยในบางครั้ง ถ้าเปรียบกับการทำการตลาด คืออยู่ในช่วงโปรโมทให้สินค้าติดตาลูกค้านั่นเอง ฮ่าๆๆ
1 ปีถัดมาคือช่วงแห่งการ "เขยิบขึ้น" พอเปิดเทอมมาน้องเขาขึ้น ม.2 ได้เจอกันที่ศูนย์กวดวิชาบ่อยมากขึ้น ได้มีโอกาสคุยกันมากขึ้น คุยเล่นบ้าง คุยเรื่องที่โรงเรียนบ้าง คุยสัพเพเหระบ้าง เป็น 1 ปีที่ผมพยายามจะสนิทกับน้องเขาให้ได้
1 ปีถัดมาน้องเขาม.3 แล้วยิ่งโตยิ่งน่ารัก ผมก็พยายามเขยิบไปอีก ด้วยวิธีการใช้เหยื่อตกปลา คือมีอยู่ครั้งนึงที่แกล้งพูดลอยว่า มีชีทสรุปวิชานั้น วิชานี้ อยากำด้ไปอ่านบ้างมั้ย ถ้าอยากได้ก็บอกนะจะเอามาให้ ซึ่งปลาก็งับเหยื่อครับ น้องเขาบอกอยากได้ และนับแต่นั้นมาก็ได้เอาชีทสรุปนั่นนู่นนี่ ทั้งที่มีอยู่แล้วและเขียนขึ้นใหม่โดยเฉพาะ มาให้น้องเขา และบางครั้งน้องเขาก็เอาการบ้านมาถาม จะทำรายงาน/โครงงานก็มาปรึกษาบ้าง เป็นช่วงที่ผมขยันที่สุดในชีวิตมัธยมเลยก็ว่าได้ เป็นช่วงสร้างเครดิต ความน่าเชื่อถือ แบบว่าเขาสงสัยอะไร ติดขัดอะไรเรื่องเรียนก็อยากให้เขามาถามเรา ซึ่งก็เป็นอย่างนี้นจริงๆ และปีนี้เองที่น้องเขาตั้งใจจะลองสอบเข้าโรงเรียนมัธยมดังยอดนิยมแห่งนึง ตอนนั้นผมสับสนเลย ใจนึงก็สนับสนุนเขา ถ้าเขาสอบติดก็ดีใจกับเขา แต่อีกใจคือถ้าเขาสอบติด ย้ายโรงเรียนไป ความสัมพันธ์ที่พยายามสร้างจะหายไปมั้ย แต่สุดท้ายเขาก็สอบไม่ติด แอบดีใจที่เขายังอยู่ที่เดิมกับเรา
เข้าสู่ปีที่ 4 น้องเขาม.4 แล้ว เป็นช่วงที่กราฟทะยานขึ้นสูงสุด สนิทกันมากขึ้น (ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า) เป็นปีที่เขาถามเรื่องเรียนบ่อยมาก บางครั้งตอนพักเที่ยงน้องเขาก็เอาการบ้านมาถามที่โรงอาหารและนั่งกินข้าวกับผมด้วย บางวันตอนเย็นๆ ก็โทร.มาถาม น้องเขาค่อนข้างใส่ใจกับการเรียน ติดขัดสงสัยอะไรขึ้นมาก็รีบหาคำตอบและผมก็ดันเป็นที่แรกๆ ที่น้องเขามองหาคำตอบเสียด้วย เป็นปีที่มีความสุขมาก เช้าก็เจอ เที่ยงก็เจอ เย็นก็โทร. คุยกัน แม้จะไม่ใช่ทุกวัน แต่ก็บ่อยๆ บางทีน้องเขาไปส่งงานอาจารย์บางคนที่เขาไม่กล้าไปส่งคนเดียวก็จะชวนผมให้ไปด้วย บางครั้งผมก็แอบคิดนะ ว่าน้องเขาจะคิดเหมือนผมมั้ย เขาจะรู้ว่าผมรู้สึกยังไงหรือเปล่านะ แต่ผมก็บอกตัวเองเหมือนกันว่าคงจะไม่ เขาคงคิดกับเราแค่รุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันแค่นั้นแหละ ปีนี้เป็นปีที่ผมจบม.6 สมุดเฟรนชิพผมจองหน้าแรกไว้ให้น้องเขาโดยเฉพาะ ไม่ให้เพื่อนไหนเขียนเด็ดขาด เอาให้น้องเขาเขียนให้ใกล้ๆ วันจบ ไม่อยากให้เพื่อนเห็นนั่นเอง น้องเขาก็เขียนตามปกติ แต่ตรงย่อหน้าสุดท้ายนี่สิ
"...จบไปแล้วขอให้ได้เจอกันอีก ถ้าเจอกันอีกก็ขอให้เจอกันแบบรุ่นพี่รุ่นน้องนะ..." แล้วก็ลงท้ายว่า My Brother ก็ทำให้ผมพอจะเข้าใจอะไรชัดเจนดี จริงๆ ผมไม่ได้ตั้งความหวังเรื่องนี้ไว้มาก แค่อยากให้มันค่อยเป็นค่อยไปให้แน่ใจตัวเองด้วย ให้อะไรๆ มันค่อยๆ ไปแบบยั่งยืนด้วย แต่แค่นี้ก็โอเคแล้ว แค่คำว่า My Brother ที่ลงท้ายผมอ่านก็ชื่นใจแล้ว ยิ้มออกมาตอนที่อ่านทันทีเลย ภาพสี่ปีที่ผ่านมาวิ่งเข้ามาในหัว แค่นั้นมันก็มีความสุขมากแล้วจริงๆ ไม่เคยรู้สึกผิดหวัง เสียใจหรือเศร้าเลยที่น้องคิดกับเราแค่นี้ เขาไม่รังเกียจเราก็ดีแล้ว ฮ่าๆๆ
และนับจากนั้นมาอีก 2 ปีคือถึงทุกวันนี้ ผมเรียนในมหาลัย เวลาที่ได้ไปเจอกันก็มีน้อยลงเรื่อยๆ ได้โทร.หากันถาม-ตอบเรื่องเรียนก็น้อยลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังดีที่หลายๆ โอกาสได้คุยกันทางเฟสบุ้คกับไลน์ หรือบางทีก็สไกป์ เคยรู้สึกว่ามันกำลังถดถอยลงหรือเปล่า ก็เคยคิด แต่ลึกๆ แล้วรู้สึกว่ามันกำลังอิ่มตัวและทุกอย่างก็พอดีๆ โอเคดี เพราะพอเจอกันเมื่อไรก็ยังเหมือนเดิม บางทีก็ไลน์ถามกันเรื่องเรียน น้องถามมาบ้าง ผมทักเขาไปบ้าง ช่วงใกล้สอบก็แนะนำน้องบ้าง ให้กำลังใจบ้าง เตือนไม่ให้เขาโหมอ่านหนังสือหนักเกินไปบ้าง บางทีเขาก็ส่งเกรดแต่ละเทอมๆ มาให้ดูเห็นเกรดเขาดีขึ้นเรื่อยๆ ก็ค่อนข้างดีใจ
^_^
สุดท้ายความรู้สึกผมก็คงประมาณนี้

ตอนนี้ช่วงเอนทรานซ์ เข้ามหาลัยก็คอยติดตามข่าวคราวน้องเขาอยู่ คอยถามบ่อยๆ ไปสอบที่ไหน เมื่อไร สอบติดที่ไหนบ้างแล้ว จะเลือกที่ไหน บลาๆๆ
และความรู้สึกที่ผมมีก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
6 ปีที่แอบชอบรุ่นน้องคนนึง
โดยเฉพาะการได้พูดถึงคนที่เรารู้สึกพิเศษด้วย ยิ่งทำให้ยิ้มออกมาได้โดยไม่รู้ตัว
ผมแอบชอบรุ่นน้องคนนึงมาได้ 6 ปีแล้ว อายุเราห่างกันประมาณ 2 ปี โมเม้นต์ "แรกพบ" ของผมคือตอนน้องเขาอยู่ม.1 ซึ่งผมอยู่ม.3
เนื่องจากผมจีบใครไม่เก่ง ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เพราะหน้าตาไม่ดี
รุ่นน้องผมคนนี้เขาเป็นเพื่อนกับน้องของเพื่อนผม มันก็มีอยู่วันนึงที่ 4 คน (ผม เพื่อนผม น้องเพื่อนผม น้องคนนี้) ได้มาร่วมวงสนทนากันโดยบังเอิญ วันนั้นเองที่ผมได้รู้ชื่อน้องเขา 1 ปีนับจากวันนั้นผมใช้เวลาไปกับการทำความรู้จักและสร้างความสัมพันธ์เรื่อยๆ ด้วยการหาโอกาสปรากฎตัวให้เขาเห็นและเข้าไปทักทายบ่อยๆ ทั้งที่โรงเรียน ศูนย์กวดวิชา และที่อื่นๆ เท่าที่มีโอกาส ผมทำได้แค่ทักทาย พูดคุยกันบ้างเล็กน้อยในบางครั้ง ถ้าเปรียบกับการทำการตลาด คืออยู่ในช่วงโปรโมทให้สินค้าติดตาลูกค้านั่นเอง ฮ่าๆๆ
1 ปีถัดมาคือช่วงแห่งการ "เขยิบขึ้น" พอเปิดเทอมมาน้องเขาขึ้น ม.2 ได้เจอกันที่ศูนย์กวดวิชาบ่อยมากขึ้น ได้มีโอกาสคุยกันมากขึ้น คุยเล่นบ้าง คุยเรื่องที่โรงเรียนบ้าง คุยสัพเพเหระบ้าง เป็น 1 ปีที่ผมพยายามจะสนิทกับน้องเขาให้ได้
1 ปีถัดมาน้องเขาม.3 แล้วยิ่งโตยิ่งน่ารัก ผมก็พยายามเขยิบไปอีก ด้วยวิธีการใช้เหยื่อตกปลา คือมีอยู่ครั้งนึงที่แกล้งพูดลอยว่า มีชีทสรุปวิชานั้น วิชานี้ อยากำด้ไปอ่านบ้างมั้ย ถ้าอยากได้ก็บอกนะจะเอามาให้ ซึ่งปลาก็งับเหยื่อครับ น้องเขาบอกอยากได้ และนับแต่นั้นมาก็ได้เอาชีทสรุปนั่นนู่นนี่ ทั้งที่มีอยู่แล้วและเขียนขึ้นใหม่โดยเฉพาะ มาให้น้องเขา และบางครั้งน้องเขาก็เอาการบ้านมาถาม จะทำรายงาน/โครงงานก็มาปรึกษาบ้าง เป็นช่วงที่ผมขยันที่สุดในชีวิตมัธยมเลยก็ว่าได้ เป็นช่วงสร้างเครดิต ความน่าเชื่อถือ แบบว่าเขาสงสัยอะไร ติดขัดอะไรเรื่องเรียนก็อยากให้เขามาถามเรา ซึ่งก็เป็นอย่างนี้นจริงๆ และปีนี้เองที่น้องเขาตั้งใจจะลองสอบเข้าโรงเรียนมัธยมดังยอดนิยมแห่งนึง ตอนนั้นผมสับสนเลย ใจนึงก็สนับสนุนเขา ถ้าเขาสอบติดก็ดีใจกับเขา แต่อีกใจคือถ้าเขาสอบติด ย้ายโรงเรียนไป ความสัมพันธ์ที่พยายามสร้างจะหายไปมั้ย แต่สุดท้ายเขาก็สอบไม่ติด แอบดีใจที่เขายังอยู่ที่เดิมกับเรา
เข้าสู่ปีที่ 4 น้องเขาม.4 แล้ว เป็นช่วงที่กราฟทะยานขึ้นสูงสุด สนิทกันมากขึ้น (ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า) เป็นปีที่เขาถามเรื่องเรียนบ่อยมาก บางครั้งตอนพักเที่ยงน้องเขาก็เอาการบ้านมาถามที่โรงอาหารและนั่งกินข้าวกับผมด้วย บางวันตอนเย็นๆ ก็โทร.มาถาม น้องเขาค่อนข้างใส่ใจกับการเรียน ติดขัดสงสัยอะไรขึ้นมาก็รีบหาคำตอบและผมก็ดันเป็นที่แรกๆ ที่น้องเขามองหาคำตอบเสียด้วย เป็นปีที่มีความสุขมาก เช้าก็เจอ เที่ยงก็เจอ เย็นก็โทร. คุยกัน แม้จะไม่ใช่ทุกวัน แต่ก็บ่อยๆ บางทีน้องเขาไปส่งงานอาจารย์บางคนที่เขาไม่กล้าไปส่งคนเดียวก็จะชวนผมให้ไปด้วย บางครั้งผมก็แอบคิดนะ ว่าน้องเขาจะคิดเหมือนผมมั้ย เขาจะรู้ว่าผมรู้สึกยังไงหรือเปล่านะ แต่ผมก็บอกตัวเองเหมือนกันว่าคงจะไม่ เขาคงคิดกับเราแค่รุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันแค่นั้นแหละ ปีนี้เป็นปีที่ผมจบม.6 สมุดเฟรนชิพผมจองหน้าแรกไว้ให้น้องเขาโดยเฉพาะ ไม่ให้เพื่อนไหนเขียนเด็ดขาด เอาให้น้องเขาเขียนให้ใกล้ๆ วันจบ ไม่อยากให้เพื่อนเห็นนั่นเอง น้องเขาก็เขียนตามปกติ แต่ตรงย่อหน้าสุดท้ายนี่สิ
"...จบไปแล้วขอให้ได้เจอกันอีก ถ้าเจอกันอีกก็ขอให้เจอกันแบบรุ่นพี่รุ่นน้องนะ..." แล้วก็ลงท้ายว่า My Brother ก็ทำให้ผมพอจะเข้าใจอะไรชัดเจนดี จริงๆ ผมไม่ได้ตั้งความหวังเรื่องนี้ไว้มาก แค่อยากให้มันค่อยเป็นค่อยไปให้แน่ใจตัวเองด้วย ให้อะไรๆ มันค่อยๆ ไปแบบยั่งยืนด้วย แต่แค่นี้ก็โอเคแล้ว แค่คำว่า My Brother ที่ลงท้ายผมอ่านก็ชื่นใจแล้ว ยิ้มออกมาตอนที่อ่านทันทีเลย ภาพสี่ปีที่ผ่านมาวิ่งเข้ามาในหัว แค่นั้นมันก็มีความสุขมากแล้วจริงๆ ไม่เคยรู้สึกผิดหวัง เสียใจหรือเศร้าเลยที่น้องคิดกับเราแค่นี้ เขาไม่รังเกียจเราก็ดีแล้ว ฮ่าๆๆ
และนับจากนั้นมาอีก 2 ปีคือถึงทุกวันนี้ ผมเรียนในมหาลัย เวลาที่ได้ไปเจอกันก็มีน้อยลงเรื่อยๆ ได้โทร.หากันถาม-ตอบเรื่องเรียนก็น้อยลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังดีที่หลายๆ โอกาสได้คุยกันทางเฟสบุ้คกับไลน์ หรือบางทีก็สไกป์ เคยรู้สึกว่ามันกำลังถดถอยลงหรือเปล่า ก็เคยคิด แต่ลึกๆ แล้วรู้สึกว่ามันกำลังอิ่มตัวและทุกอย่างก็พอดีๆ โอเคดี เพราะพอเจอกันเมื่อไรก็ยังเหมือนเดิม บางทีก็ไลน์ถามกันเรื่องเรียน น้องถามมาบ้าง ผมทักเขาไปบ้าง ช่วงใกล้สอบก็แนะนำน้องบ้าง ให้กำลังใจบ้าง เตือนไม่ให้เขาโหมอ่านหนังสือหนักเกินไปบ้าง บางทีเขาก็ส่งเกรดแต่ละเทอมๆ มาให้ดูเห็นเกรดเขาดีขึ้นเรื่อยๆ ก็ค่อนข้างดีใจ
^_^
สุดท้ายความรู้สึกผมก็คงประมาณนี้
ตอนนี้ช่วงเอนทรานซ์ เข้ามหาลัยก็คอยติดตามข่าวคราวน้องเขาอยู่ คอยถามบ่อยๆ ไปสอบที่ไหน เมื่อไร สอบติดที่ไหนบ้างแล้ว จะเลือกที่ไหน บลาๆๆ
และความรู้สึกที่ผมมีก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง