สวัสดีค่ะ ปกติไม่ค่อยตั้งตอบกระทู้เท่าไหร่ 555 เผอิญไปเจอเรื่องแปลกประหลาดบางอย่างมาน่ะค่ะ จึงอยากจะขอแชร์เตือนเผื่อใครที่ไปเจอเหมือนกันบ้าง อันที่จริง เราเจอเรื่องนี้ตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนปีที่แล้ว แต่เพิ่งหาเวลาว่างได้
เตือนโดยเฉพาะคนที่มาเที่ยวหรือต้องผ่านเส้นทางซอยวังหลังนะคะ ไม่ใช่เรื่องอันตรายเท่าไหร่ อยากให้ขอใช้วิจารณญาณในการอ่านน่ะค่ะ หากใครทราบข้อเท็จจริงประการใดรบกวนช่วยแชร์ด้วยนะคะ
เราเป็นนักศึกษาต่างจังหวัดที่อาศัยอยู่ที่หอพักแถบวังหลังค่ะ จึงต้องผ่านเส้นทางนี้ทุกวัน เรื่องมันมีอยู่ว่าวันหนึ่ง เราเลิกกิจกรรมจากมหาลัยค่อนข้างเย็น และได้ไปรับประทานอาหารกับเพื่อนต่อ กว่าจะกลับหอจึงเป็นเวลาสามทุ่มเศษ เราเดินมาตามเส้นทางซอยวังหลังค่ะ (เส้นคู่ขนานกับซอยท่าน้ำศิริราช ที่ตั้งของตลาดวังหลังที่มีของขายเยอะๆ) เวลาสามทุ่มค่อนข้างเงียบนะคะ แต่ไม่เปลี่ยวซะทีเดียว เพราะยังมีคนเดินสวนเป็นระยะ เราแยกกับเพื่อนที่กลางซอยค่ะ และเดินต่อคนเดียวเพราะไม่ไกลหอเท่าไหร่
ตอนนั้นพยายามเซฟตัวเองที่สุดแล้วค่ะ คิดว่าอย่างน้อยๆก็ยังพอมีค้อนกับเลื่อย (ที่ใช้ทำกิจกรรมมหาลัย) หากเกิดเหตุอันตรายขึ้นมาก็ยังพอจะปกป้องตัวเองได้ จนกระทั่งเดินมาถึงปลายซอยค่ะ จุดที่เป็นสามแยกไปท่าน้ำหรือวัดระฆัง เราเจอคุณยายท่านหนึ่ง สวมเพียงเสื้อคอกระเช้าและแพมเพิร์สผู้ใหญ่ ไม่มีลูกหลานมาด้วย คุณยายท่านนั้นถือวอล์คเกอร์ช่วยเดิน
ในใจก็แอบระแวงนะคะ 555+ แต่ก็เวทนาที่ดึกดื่นขนาดนี้ คุณยายท่านไม่มีลูกหลานคอยดูแล แล้วก็แจ๊คพ็อตตกที่เราค่ะ คุณยายท่านคงเห็นเรามาคนเดียว จึงเข้ามาบวก 555 คุณยายท่านถามน่ะค่ะว่าพอจะช่วยพายายกลับบ้านได้ไหม เอาแล้วไง... จะปฏิเสธก็กลัวนะคะ เห็นคุณยายท่านน่าจะทุพลภาพจริงๆ ยิ่งถ้าทำใจจืดใจดำเดินทิ้งท่านไปดื้อๆก็ไม่รู้ว่าจะต้องยืนตากน้ำค้างอีกนานไหม แต่จะตกลงไปเลยก็กลัวว่าจะเป็นมิจฉาชีพ คิดสะระตะไปมาก็ตกลงค่ะ เอาวะ อย่างน้อยเจออะไรในมือก็มีค้อนอยู่ อย่างดีก็ทุบหัวยายแล้วรีบหนี แถวนั้นบ้านคนเยอะจะตายไป
แล้วคุณยายก็พาเราไปที่บ้านค่ะ ระหว่างทางคุณยายก็เล่าให้ฟังว่าอาศัยอยู่กับพี่สาวที่เป็นอัมพาตเพียงสองคน โดยที่ช่วงกลางวันจะมีคนที่จ้างมามาคอยดูแลค่ะ ด้วยความซื่อเราก็คิดไปนะคะว่าคุณยายน่าสงสาร ไม่มีลูกหลานคอยดูแล คงต้องลำบากมากแน่ๆ จนกระทั่งถึงบ้านคุณยายค่ะ อยู่ติดตัวตลาดเลย ไม่ได้เข้าซอยลึกลับที่ไหน เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นค่ะ (แจ้งพิกัดว่าตอนกลางวันด้านหน้าเปิดเป็นร้านขายเสื้อ คูหาติดๆกันกับร้านคูลิบเฮง)
เรากะว่าพาคุณยายเข้าบ้านแล้วจะบอกศาลารีบกลับหอเพราะว่าเริ่มดึกแล้ว ปรากฏว่าเข้าไปถึงตัวบ้าน... สภาพด้านในค่อนข้างเก่า และฝุ่นหนาค่ะ เห็นท่าไม่ดีเท่าไหร่... แต่มองดูแล้ว ไม่มีพื้นที่พอให้คนอื่นหลบได้ ระหว่างทางที่เดินมาที่บ้าน แว่วเสียงพี่สาวคุณยายร้องมาตลอดทางค่ะ ท่านก็เล่านะคะ ว่าพี่สาวเป็นอัมพาตไม่สามารถลุกขึ้นนั่งหรือเข้าห้องน้ำได้ด้วยตัวเอง พอมาถึงก็เห็นสภาพตามนั้นจริงๆค่ะ พี่สาวของคุณยายอายุพิจารณาจากสายตาแล้วน่าจะราวๆ 70-80 ค่ะ ขาสองข้างลีบเล็ก และสวมเพียงเสื้อคอกระเช้าตัวเดียว
แล้วคุณยายก็ขอร้อง ให้เราช่วยอุ้มพี่สาวของท่านไปนั่งบนเก้าอี้ แล้วหากระโถนให้....
จังหวะนั้น... เอ๋อนะคะ งงด้วย ก็เลยทำตามไปแบบงงๆ ออกตัวเลยว่าเราเติบโตมาแบบครอบครัวเดี่ยวค่ะ บวกกับคุณยายและคุณย่าของเรายังสุขถาพแข็งแรงเดินเหินสะดวก เลยไม่มีประสบการณ์ในการดูแลคนชรา แต่ด้วยความสงสารจึงช่วยทำตามทุกอย่างค่ะ
พี่สาวคุณยายตัวค่อนข้างหนักเลยทีเดียว เราก็จัดการทั้งหมด อุ้มขึ้นลงจากเตียง อุ้มไปที่กระโถน แถมยังโดนด่าด้วยตอนที่วางท่านไม่ตรงกับกระโถน... แต่จังหวะนั้นไม่มีโต้แย้งค่ะ ด้วยความสงสาร โดยที่สองพี่น้องจะพูดภาษาจีนกันตลอด นอกเหนือจากนั้น คุณยายยังให้เราช่วยหยิบจับของใช้ทั้งไปหาน้ำหาท่ามาให้ เตรียมยา ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งหมดค่ะ ระหว่างนั้นท่านก็พูดบิวท์อารมณ์ตลอดนะคะ ว่าการอยู่กันเพียงแค่สองคนพี่น้องมันลำบากขนาดไหน บ้านช่องก็ไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง เพื่อนบ้านไม่เห็นใจ อาศัยค่าเช่าของร้านเสื้อประทังตัวเอง แถมต้องไปหาหมอทุกอาทิตย์ จังหวะนั้นคือรู้สึกเวทนามากๆค่ะ จึงทำไปด้วยความเต็มใจ
จนเวลาเกือบเที่ยงคืน... เราถูกขอร้องให้ช่วยซักผ้าค่ะ กองเสื้อผ้าคุณยายมีแต่กลิ่นปัสสาวะเนื่องจากพี่สาวที่พิการมักจะปัสสาวะเลอะเทอะเสื้อตัวเอง และต้องตากผ้าให้ทั้งหมดเสร็จสรรพ ถึงจะได้รับอนุญาตให้กลับ ก่อนหน้านี้เห็นว่างเมื่อไหร่เราก็พยายามขอกลับนะคะ แต่คุณยายท่านคงจะไม่ได้ยิน หรือไม่ก็ไม่เปิดโอกาสให้ขอ
เราเองก็กลับหอไปด้วยความงุนงงค่ะ ของไม่มีอะไรหายไป ตัวเองยังปลอดภัยดี 5555
จนกระทั่ง วันต่อมา เราจึงนำเรื่องราวดังกล่าวไปเล่าให้เพื่อนฟังด้วยความภาคภูมิใจ แบบ เฮ้ย เราไปทำดีมานะ เรารู้สึกตัวเองเป็นคนดี 55555 เพื่อนรีบถามกลับทันทีเลยค่ะ “แกไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
แล้วนางก็เฉลยว่า คุณยายท่านจะอาศัยเรียกคนท่าทางใจดีที่เดินผ่านเส้นทางนั้นคนเดียวค่ะ ท่านไม่มีคนดูแลอย่างที่อ้างหรอก เพราะเพื่อนเคยโดนเรียกเข้าไปช่วยตอนกลางวัน และท่านก็บอกว่าช่วงเย็นจะมีคนมาดูแล.... แถมยังสำทับว่า คนท้องถิ่นที่อาศัยอยู่แถวนี้รู้กันแทบทุกคนและจะไม่เข้าไปยุ่งกับคุณยายทั้งคู่โดยเด็ดขาด ไม่มีอันตรายอะไรหรอกค่ะ คุณยายแค่เรียกคนไป(จิกหัว)ใช้งานฟรีๆ แถมจะไม่ปล่อยตัวออกมาจนกว่างานจะเสร็จครบถ้วนทั้งหมด
จังหวะนั้น... รู้สึกเหมือนกับได้รับรางวัลเป็นหญ้าหนึ่งสนามบอลเลยทีเดียว
จึงมาขอแชร์ให้รับทราบนะคะ ใครมาเที่ยวแถววังหลังแล้วเจอหญิงชราเรียกไปช่วยงาน... เป็นสิทธิ์ของท่านค่ะ ถ้าไม่อยากถูกเรียกไปใช้งานฟรีๆ 5555555+
ส่วนตัวเรา ก็ถือเป็นอุทาหรณ์คะว่าสมควรระวังตัวให้มากกว่านี้ และต้องรู้จักปฏิเสธบ้าง... การอยู่ในเมืองกรุงต้องหมั่นระวังตัวจากมิจฉาชีพมากกว่านี้
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ^^; หวังว่าเรื่องที่เล่าจะพอเป็นประโยชน์ให้คนที่ต้องสัญจรผ่านเส้นทางนี้บ้าง เพราะได้ข่าวว่าคุณยายท่านเรียกมาหลายรายแล้ว
ปล. ใครเคยเจอหรือทราบข้อเท็จจริงบ้างคะ รบกวรช่วยแชร์ด้วยค่ะ
เตือน:: คุณยายท่าทางแปลกๆที่วังหลัง!!!
เตือนโดยเฉพาะคนที่มาเที่ยวหรือต้องผ่านเส้นทางซอยวังหลังนะคะ ไม่ใช่เรื่องอันตรายเท่าไหร่ อยากให้ขอใช้วิจารณญาณในการอ่านน่ะค่ะ หากใครทราบข้อเท็จจริงประการใดรบกวนช่วยแชร์ด้วยนะคะ
เราเป็นนักศึกษาต่างจังหวัดที่อาศัยอยู่ที่หอพักแถบวังหลังค่ะ จึงต้องผ่านเส้นทางนี้ทุกวัน เรื่องมันมีอยู่ว่าวันหนึ่ง เราเลิกกิจกรรมจากมหาลัยค่อนข้างเย็น และได้ไปรับประทานอาหารกับเพื่อนต่อ กว่าจะกลับหอจึงเป็นเวลาสามทุ่มเศษ เราเดินมาตามเส้นทางซอยวังหลังค่ะ (เส้นคู่ขนานกับซอยท่าน้ำศิริราช ที่ตั้งของตลาดวังหลังที่มีของขายเยอะๆ) เวลาสามทุ่มค่อนข้างเงียบนะคะ แต่ไม่เปลี่ยวซะทีเดียว เพราะยังมีคนเดินสวนเป็นระยะ เราแยกกับเพื่อนที่กลางซอยค่ะ และเดินต่อคนเดียวเพราะไม่ไกลหอเท่าไหร่
ตอนนั้นพยายามเซฟตัวเองที่สุดแล้วค่ะ คิดว่าอย่างน้อยๆก็ยังพอมีค้อนกับเลื่อย (ที่ใช้ทำกิจกรรมมหาลัย) หากเกิดเหตุอันตรายขึ้นมาก็ยังพอจะปกป้องตัวเองได้ จนกระทั่งเดินมาถึงปลายซอยค่ะ จุดที่เป็นสามแยกไปท่าน้ำหรือวัดระฆัง เราเจอคุณยายท่านหนึ่ง สวมเพียงเสื้อคอกระเช้าและแพมเพิร์สผู้ใหญ่ ไม่มีลูกหลานมาด้วย คุณยายท่านนั้นถือวอล์คเกอร์ช่วยเดิน
ในใจก็แอบระแวงนะคะ 555+ แต่ก็เวทนาที่ดึกดื่นขนาดนี้ คุณยายท่านไม่มีลูกหลานคอยดูแล แล้วก็แจ๊คพ็อตตกที่เราค่ะ คุณยายท่านคงเห็นเรามาคนเดียว จึงเข้ามาบวก 555 คุณยายท่านถามน่ะค่ะว่าพอจะช่วยพายายกลับบ้านได้ไหม เอาแล้วไง... จะปฏิเสธก็กลัวนะคะ เห็นคุณยายท่านน่าจะทุพลภาพจริงๆ ยิ่งถ้าทำใจจืดใจดำเดินทิ้งท่านไปดื้อๆก็ไม่รู้ว่าจะต้องยืนตากน้ำค้างอีกนานไหม แต่จะตกลงไปเลยก็กลัวว่าจะเป็นมิจฉาชีพ คิดสะระตะไปมาก็ตกลงค่ะ เอาวะ อย่างน้อยเจออะไรในมือก็มีค้อนอยู่ อย่างดีก็ทุบหัวยายแล้วรีบหนี แถวนั้นบ้านคนเยอะจะตายไป
แล้วคุณยายก็พาเราไปที่บ้านค่ะ ระหว่างทางคุณยายก็เล่าให้ฟังว่าอาศัยอยู่กับพี่สาวที่เป็นอัมพาตเพียงสองคน โดยที่ช่วงกลางวันจะมีคนที่จ้างมามาคอยดูแลค่ะ ด้วยความซื่อเราก็คิดไปนะคะว่าคุณยายน่าสงสาร ไม่มีลูกหลานคอยดูแล คงต้องลำบากมากแน่ๆ จนกระทั่งถึงบ้านคุณยายค่ะ อยู่ติดตัวตลาดเลย ไม่ได้เข้าซอยลึกลับที่ไหน เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นค่ะ (แจ้งพิกัดว่าตอนกลางวันด้านหน้าเปิดเป็นร้านขายเสื้อ คูหาติดๆกันกับร้านคูลิบเฮง)
เรากะว่าพาคุณยายเข้าบ้านแล้วจะบอกศาลารีบกลับหอเพราะว่าเริ่มดึกแล้ว ปรากฏว่าเข้าไปถึงตัวบ้าน... สภาพด้านในค่อนข้างเก่า และฝุ่นหนาค่ะ เห็นท่าไม่ดีเท่าไหร่... แต่มองดูแล้ว ไม่มีพื้นที่พอให้คนอื่นหลบได้ ระหว่างทางที่เดินมาที่บ้าน แว่วเสียงพี่สาวคุณยายร้องมาตลอดทางค่ะ ท่านก็เล่านะคะ ว่าพี่สาวเป็นอัมพาตไม่สามารถลุกขึ้นนั่งหรือเข้าห้องน้ำได้ด้วยตัวเอง พอมาถึงก็เห็นสภาพตามนั้นจริงๆค่ะ พี่สาวของคุณยายอายุพิจารณาจากสายตาแล้วน่าจะราวๆ 70-80 ค่ะ ขาสองข้างลีบเล็ก และสวมเพียงเสื้อคอกระเช้าตัวเดียว
แล้วคุณยายก็ขอร้อง ให้เราช่วยอุ้มพี่สาวของท่านไปนั่งบนเก้าอี้ แล้วหากระโถนให้....
จังหวะนั้น... เอ๋อนะคะ งงด้วย ก็เลยทำตามไปแบบงงๆ ออกตัวเลยว่าเราเติบโตมาแบบครอบครัวเดี่ยวค่ะ บวกกับคุณยายและคุณย่าของเรายังสุขถาพแข็งแรงเดินเหินสะดวก เลยไม่มีประสบการณ์ในการดูแลคนชรา แต่ด้วยความสงสารจึงช่วยทำตามทุกอย่างค่ะ
พี่สาวคุณยายตัวค่อนข้างหนักเลยทีเดียว เราก็จัดการทั้งหมด อุ้มขึ้นลงจากเตียง อุ้มไปที่กระโถน แถมยังโดนด่าด้วยตอนที่วางท่านไม่ตรงกับกระโถน... แต่จังหวะนั้นไม่มีโต้แย้งค่ะ ด้วยความสงสาร โดยที่สองพี่น้องจะพูดภาษาจีนกันตลอด นอกเหนือจากนั้น คุณยายยังให้เราช่วยหยิบจับของใช้ทั้งไปหาน้ำหาท่ามาให้ เตรียมยา ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งหมดค่ะ ระหว่างนั้นท่านก็พูดบิวท์อารมณ์ตลอดนะคะ ว่าการอยู่กันเพียงแค่สองคนพี่น้องมันลำบากขนาดไหน บ้านช่องก็ไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง เพื่อนบ้านไม่เห็นใจ อาศัยค่าเช่าของร้านเสื้อประทังตัวเอง แถมต้องไปหาหมอทุกอาทิตย์ จังหวะนั้นคือรู้สึกเวทนามากๆค่ะ จึงทำไปด้วยความเต็มใจ
จนเวลาเกือบเที่ยงคืน... เราถูกขอร้องให้ช่วยซักผ้าค่ะ กองเสื้อผ้าคุณยายมีแต่กลิ่นปัสสาวะเนื่องจากพี่สาวที่พิการมักจะปัสสาวะเลอะเทอะเสื้อตัวเอง และต้องตากผ้าให้ทั้งหมดเสร็จสรรพ ถึงจะได้รับอนุญาตให้กลับ ก่อนหน้านี้เห็นว่างเมื่อไหร่เราก็พยายามขอกลับนะคะ แต่คุณยายท่านคงจะไม่ได้ยิน หรือไม่ก็ไม่เปิดโอกาสให้ขอ
เราเองก็กลับหอไปด้วยความงุนงงค่ะ ของไม่มีอะไรหายไป ตัวเองยังปลอดภัยดี 5555
จนกระทั่ง วันต่อมา เราจึงนำเรื่องราวดังกล่าวไปเล่าให้เพื่อนฟังด้วยความภาคภูมิใจ แบบ เฮ้ย เราไปทำดีมานะ เรารู้สึกตัวเองเป็นคนดี 55555 เพื่อนรีบถามกลับทันทีเลยค่ะ “แกไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
แล้วนางก็เฉลยว่า คุณยายท่านจะอาศัยเรียกคนท่าทางใจดีที่เดินผ่านเส้นทางนั้นคนเดียวค่ะ ท่านไม่มีคนดูแลอย่างที่อ้างหรอก เพราะเพื่อนเคยโดนเรียกเข้าไปช่วยตอนกลางวัน และท่านก็บอกว่าช่วงเย็นจะมีคนมาดูแล.... แถมยังสำทับว่า คนท้องถิ่นที่อาศัยอยู่แถวนี้รู้กันแทบทุกคนและจะไม่เข้าไปยุ่งกับคุณยายทั้งคู่โดยเด็ดขาด ไม่มีอันตรายอะไรหรอกค่ะ คุณยายแค่เรียกคนไป(จิกหัว)ใช้งานฟรีๆ แถมจะไม่ปล่อยตัวออกมาจนกว่างานจะเสร็จครบถ้วนทั้งหมด
จังหวะนั้น... รู้สึกเหมือนกับได้รับรางวัลเป็นหญ้าหนึ่งสนามบอลเลยทีเดียว
จึงมาขอแชร์ให้รับทราบนะคะ ใครมาเที่ยวแถววังหลังแล้วเจอหญิงชราเรียกไปช่วยงาน... เป็นสิทธิ์ของท่านค่ะ ถ้าไม่อยากถูกเรียกไปใช้งานฟรีๆ 5555555+
ส่วนตัวเรา ก็ถือเป็นอุทาหรณ์คะว่าสมควรระวังตัวให้มากกว่านี้ และต้องรู้จักปฏิเสธบ้าง... การอยู่ในเมืองกรุงต้องหมั่นระวังตัวจากมิจฉาชีพมากกว่านี้
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ^^; หวังว่าเรื่องที่เล่าจะพอเป็นประโยชน์ให้คนที่ต้องสัญจรผ่านเส้นทางนี้บ้าง เพราะได้ข่าวว่าคุณยายท่านเรียกมาหลายรายแล้ว
ปล. ใครเคยเจอหรือทราบข้อเท็จจริงบ้างคะ รบกวรช่วยแชร์ด้วยค่ะ