จากประสบการณ์ที่ได้ไปบริจาคเลือดวันอาทิตย์ที่ 11 ม.ค.58 ชั้น5 ห้างเซ็นทรัลพลาซ่าขอนแก่น เป็นครั้งที่2ของการได้บริจาคเลือดในชีวิตเรา เหตุเพราะเราเป็นคนกลัวเข็มมาก (เคยบริจาคครั้งแรกตอนเป็นนักศึกษา เมื่อ25ปีที่แล้วค่ะ) เราทานมื้อเช้าประมาณ 10.00 น. เดินทางไปถึงห้างเวลา11.00น. ไปกรอกรายละเอียด-ซักประวัติใช้เวลาประมาณ 10 นาที เพราะคนไม่เยอะ เสร็จต่อด้วยวัดความดัน เจ้าหน้าที่บอกว่าเราปกติ ส่วนคุณสามีความดันสูง 190/90 ก็แปลกใจเพราะคุณสามีจะเป็นคนดูแลสุขภาพ ไม่ดื่มไม่สูบบุหรี่ เจ้าหน้าที่ให้คุณสามีนั่งพัก 7-10นาที วัดความดันอีกรอบ ผล 190/90เท่าเดิม เลยไม่ได้บริจาค (คุณสามีสังเกตว่าเครื่องวัดใช้แบตเตอรี่ ไม่ได้เสียบปลั๊กไฟ คิดว่าคงไม่ชัวร์ แบตเตอรี่คงอ่อน) ส่วนเราไปเจาะเลือดบอกกรุ๊ปเลือด ดื่มน้ำ2แก้ว ไปรับถุงเลือด-เดินไปรอที่เก้าอี้แพขึ้นไปนอนเพื่อไปเจาะเลือดบริจาค
เจ้าหน้าที่ชายทาสำลีที่เป็นก้านยาวที่ข้อพับแขนด้านซ้ายเรา แล้วทำการเจาะ บอกตรงๆเจ็บ เพราะอากาศหนาว (18องศา) เราเลยพูดกับเจ้าหน้าที่ว่า "อากาศหนาวเลยทำให้รู้สึกเจ็บกว่าปกตินะคะ" เจ้าหน้าที่ผู้ชายตอบว่า "ไม่เป็นไรครับ เรามีชดเชยให้" เราคิดในใจว่า ชดเชยอะไรหว่า "รึว่าจะให้เหรียญผู้บริจาค" คือเรามโนไปเองตามประสาคนกลัวเข็มซึ่งต้องรวบรวมความกล้าหาญ เพราะต้องเจาะTestที่นิ้ว เจอเข็มที่แขนอีก บอกตรงๆกลัวค่ะ บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร "บริจาคเลือดเพื่อการกุศล" สู้ๆๆ ให้กำลังใจตัวเองมากๆค่ะ เราใช้เวลาบริจาคเลือดประมาณ 16นาที ได้ 1ถุง อีก3หลอด
เจ้าหน้าที่ผู้ชายจึงถอดเข็มออกโดยดึงออกและใช้ผ้าก็อตพับมากดที่รอยเจาะ บอกตรงๆเราเจ็บ มีเลือดซึมออกมาเยอะเพราะเจ้าหน้าที่ไม่กดที่เข็ม "ตามที่เราสังเกตคงเพราะเจ้าหน้าที่ไม่ใส่ถุงมือในขณะที่เจาะเลือดและดึงเข็มออก" เราจึงขอสำลีชุบแอลกอฮอล์เพื่อกดที่แผล แต่ให้ผ้าก็อตพับ2ทบมาให้เรากดที่แผลแทน นอนพัก2-3นาที สามีเราเดินมาถามว่าเป็นไงบ้าง เราจึงลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก เข้าห้องน้ำ เพราะดื่มไปตั้ง2แก้วก่อนหน้านั้น เสร็จเราพากันขับออกจากห้างแวะซื้อของที่ตึกคอมต่อ2ร้าน ก่อนไปทานมื้อเที่ยง ขณะเรารอใบเสร็จกำกับภาษีร้านที่สองประมาณ5นาที รู้สึกเพลีย หน้ามืดเหมือนจะเป็นลม เราเดินไปนั่งที่เก้าอี้ของร้าน รู้สึกร้อน เหงื่อแตก เราถอดเสื้อนอกออก เหงื่อเต็มหลังเสื้อยืดเราเปียก สักพักรู้สึกเกร็งที่นิ้วมือ ขาสั่น เราวูบ หน้ามืดไปเลย โชคดีที่สามีพยุงคอ+ศีรษะไว้ ไม่งั้นตกเก้าอี้ ได้ยินเสียงขอยาดม+น้ำเย็น สามีเราเรียก "แม่ๆๆๆๆ" เรารู้สึกตัวหายใจติดขัดขอดื่มน้ำ ได้ดมยาดม มีสติแต่นิ้วมือเรายังเกร็งเหมือนตะคิวกิน สามีเรารีบไปซื้อน้ำแฟนต้าสีแดงมาให้ค่อยๆจิบ ดื่มน้ำ ดมยาดม อาการค่อยๆดีขึ้น บอกตรงๆ นึกว่าตัวเองคงตายแน่ๆ ไม่เคยเป็นมาก่อนค่ะ นั่งพักใหญ่ๆ ค่อยลงลิฟต์มาขึ้นรถ คุณสามีพาไปทานข้าว ยังรู้สึกเพลียๆ สามีบอกว่าต้องดื่มน้ำ ทานโปรตีนเพื่อชดเชยเลือดที่เสียไป...เมื่อคืนเรานอนไม่ค่อยหลับ เจ็บที่แขนตรงเข็มแทง....วันนี้เรายังรู้สึกเพลีย ครั่นเนื้อครั่นตัว เหมือนจะเป็นไข้ สามีห้ามเราบริจาคเลือดเด็ดขาด (เราเองรู้สึกเข็ด+กลัวการบริจาคเลือดมากๆ) คงทำบุญด้วยการให้ทุนการศึกษาสามเณรอย่างที่เคยทำจะดีกว่า คิดว่าเป็นวิธีทำบุญที่เหมาะกับตัวเองที่สุด เรื่องเราเล่ามาหวังเป็นอุทหรณ์การบริจาคเลือดว่า หลังจากเราบริจาคเลือดไปแล้ว ควรดื่มน้ำหวาน-น้ำ เพื่อชดเชยเลือดที่เราเสียไป ไม่งั้นอาจเกิดการช็อกเป็นลม หน้ามืดเหมือนเราได้ง่ายๆ...
เรื่องนี้ไม่โทษใครนะคะ ต้องโทษตัวเองที่ไม่ศึกษาข้อมูลหลังการบริจาคเลือดควรปฏิบัติตัวอย่างไร?
***
ถ้าบริจาคเลือดแล้วรู้สึกเพลียมากๆ... เรียนเสนอให้ลองหาผงเกลือแร่ที่ใช้ทำสารละลายเกลือแร่สำหรับคนไข้ท้องเสีย (ORS) มาดื่มประมาณ 2-3 วันแรก น่าจะทำให้อาการเพลียทุเลาลงได้เร็ว และอย่าลืม... นอนให้พอหลังบริจาคเลือดอย่างน้อย 1 สัปดาห์แรก เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว (เกร็ดความรู้นี้ได้จากค้นทางอินเตอร์เน็ตค่ะ...)*** คริๆๆ
เกือบช็อคตาย มีอาการหน้ามืด เป็นลม เหงื่อแตกเต็มหน้า-แผ่นหลัง เพราะไม่รู้วิธีการดูแลตัวเองหลังบริจาคเลือด
เจ้าหน้าที่ชายทาสำลีที่เป็นก้านยาวที่ข้อพับแขนด้านซ้ายเรา แล้วทำการเจาะ บอกตรงๆเจ็บ เพราะอากาศหนาว (18องศา) เราเลยพูดกับเจ้าหน้าที่ว่า "อากาศหนาวเลยทำให้รู้สึกเจ็บกว่าปกตินะคะ" เจ้าหน้าที่ผู้ชายตอบว่า "ไม่เป็นไรครับ เรามีชดเชยให้" เราคิดในใจว่า ชดเชยอะไรหว่า "รึว่าจะให้เหรียญผู้บริจาค" คือเรามโนไปเองตามประสาคนกลัวเข็มซึ่งต้องรวบรวมความกล้าหาญ เพราะต้องเจาะTestที่นิ้ว เจอเข็มที่แขนอีก บอกตรงๆกลัวค่ะ บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร "บริจาคเลือดเพื่อการกุศล" สู้ๆๆ ให้กำลังใจตัวเองมากๆค่ะ เราใช้เวลาบริจาคเลือดประมาณ 16นาที ได้ 1ถุง อีก3หลอด
เจ้าหน้าที่ผู้ชายจึงถอดเข็มออกโดยดึงออกและใช้ผ้าก็อตพับมากดที่รอยเจาะ บอกตรงๆเราเจ็บ มีเลือดซึมออกมาเยอะเพราะเจ้าหน้าที่ไม่กดที่เข็ม "ตามที่เราสังเกตคงเพราะเจ้าหน้าที่ไม่ใส่ถุงมือในขณะที่เจาะเลือดและดึงเข็มออก" เราจึงขอสำลีชุบแอลกอฮอล์เพื่อกดที่แผล แต่ให้ผ้าก็อตพับ2ทบมาให้เรากดที่แผลแทน นอนพัก2-3นาที สามีเราเดินมาถามว่าเป็นไงบ้าง เราจึงลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก เข้าห้องน้ำ เพราะดื่มไปตั้ง2แก้วก่อนหน้านั้น เสร็จเราพากันขับออกจากห้างแวะซื้อของที่ตึกคอมต่อ2ร้าน ก่อนไปทานมื้อเที่ยง ขณะเรารอใบเสร็จกำกับภาษีร้านที่สองประมาณ5นาที รู้สึกเพลีย หน้ามืดเหมือนจะเป็นลม เราเดินไปนั่งที่เก้าอี้ของร้าน รู้สึกร้อน เหงื่อแตก เราถอดเสื้อนอกออก เหงื่อเต็มหลังเสื้อยืดเราเปียก สักพักรู้สึกเกร็งที่นิ้วมือ ขาสั่น เราวูบ หน้ามืดไปเลย โชคดีที่สามีพยุงคอ+ศีรษะไว้ ไม่งั้นตกเก้าอี้ ได้ยินเสียงขอยาดม+น้ำเย็น สามีเราเรียก "แม่ๆๆๆๆ" เรารู้สึกตัวหายใจติดขัดขอดื่มน้ำ ได้ดมยาดม มีสติแต่นิ้วมือเรายังเกร็งเหมือนตะคิวกิน สามีเรารีบไปซื้อน้ำแฟนต้าสีแดงมาให้ค่อยๆจิบ ดื่มน้ำ ดมยาดม อาการค่อยๆดีขึ้น บอกตรงๆ นึกว่าตัวเองคงตายแน่ๆ ไม่เคยเป็นมาก่อนค่ะ นั่งพักใหญ่ๆ ค่อยลงลิฟต์มาขึ้นรถ คุณสามีพาไปทานข้าว ยังรู้สึกเพลียๆ สามีบอกว่าต้องดื่มน้ำ ทานโปรตีนเพื่อชดเชยเลือดที่เสียไป...เมื่อคืนเรานอนไม่ค่อยหลับ เจ็บที่แขนตรงเข็มแทง....วันนี้เรายังรู้สึกเพลีย ครั่นเนื้อครั่นตัว เหมือนจะเป็นไข้ สามีห้ามเราบริจาคเลือดเด็ดขาด (เราเองรู้สึกเข็ด+กลัวการบริจาคเลือดมากๆ) คงทำบุญด้วยการให้ทุนการศึกษาสามเณรอย่างที่เคยทำจะดีกว่า คิดว่าเป็นวิธีทำบุญที่เหมาะกับตัวเองที่สุด เรื่องเราเล่ามาหวังเป็นอุทหรณ์การบริจาคเลือดว่า หลังจากเราบริจาคเลือดไปแล้ว ควรดื่มน้ำหวาน-น้ำ เพื่อชดเชยเลือดที่เราเสียไป ไม่งั้นอาจเกิดการช็อกเป็นลม หน้ามืดเหมือนเราได้ง่ายๆ...เรื่องนี้ไม่โทษใครนะคะ ต้องโทษตัวเองที่ไม่ศึกษาข้อมูลหลังการบริจาคเลือดควรปฏิบัติตัวอย่างไร?
***ถ้าบริจาคเลือดแล้วรู้สึกเพลียมากๆ... เรียนเสนอให้ลองหาผงเกลือแร่ที่ใช้ทำสารละลายเกลือแร่สำหรับคนไข้ท้องเสีย (ORS) มาดื่มประมาณ 2-3 วันแรก น่าจะทำให้อาการเพลียทุเลาลงได้เร็ว และอย่าลืม... นอนให้พอหลังบริจาคเลือดอย่างน้อย 1 สัปดาห์แรก เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว (เกร็ดความรู้นี้ได้จากค้นทางอินเตอร์เน็ตค่ะ...)*** คริๆๆ