พลังและแนวทางการต่อสู้ ของ ปชช. ในอดีตอันจะเริ่มต้นในสภาพของ การเริ่มต้นด้วยน้ำผึ้งหยดเดียวและก็จะไปลงเอยที่กองเลือด ตลอดมาไม่ว่าจะสำเหร็จผลตามจุดประสงศ์ที่ต้องการหรือไม่ก็ตาม เพราะรูปลักษณะของแนวทางการต่อสู้ก็คือ ระหว่าง อุดมการณ์กับอาวุธยุทโธปกรณ์ นั่นเอง ในยุคปัจจุบันที่ได้มีการวิวัฒนาการกับสภาวะความเป็นอยู่ของสังคมที่เจริญก้าวหน้าไปเกินกว่าที่จะสมควรหมกมุ่นนำเอาแนวทางการต่อสู้ในอดีตมาใช้ในปัจจุบัน ถูกใหมครับ
อย่างเช่น ในอดีตการมีกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ของสังคมนั้นๆ ก็เพื่อที่จะใช้เป็นพลังอำนาจในการรุกรานหรือปกป้อง ฯลฯ ตามความจำเป็นที่บังเกิดขึ้น กำลังพลมาจาก ระดับ ปชช. ปรกติในสังคม ส่วนอาวุทยุทโธปกรณ์ ก็เป็นลักษณะตามมีตามเกิดในยุคสมัยนั้น อันก็เป็นผลให้เกิดความสูญเสียมหาศาลกับการต่อสู้ในทุกรูปแบบอย่างเลี่ยงไม่ได้กับทุกฝ่ายไม่ว่าผลที่สุดจะปรากฏขึ้นในรูปลักษณะใดๆ กับสังคม คราบน้ำตาและกองสลักหักพังในสังคมเป็นเสมือนความเป็นจริงตกทอดให้กับ ปชช. เพราะเพื่อ “ความจำเป็น” ในที่สุดเสมอมา
ในปัจจุบัน อันด้วยเหตุผลของวิวัฒนาการก้าวหน้า ทำให้ในทุกๆ สังคม จำต้องพัฒนากำลังพล จากระดับ ปชช. ปรกติในสังคม ให้เป็นพลังพลผู้เชี่ยวชาญใน สอง ระบบขึ้นมา ส่วนหนึ่งก็คือ ผู้มีขีดความสามารถในตัวบุคคลนอกเหนือจากบุคคลทั่วไป โดยใช้ระบบฝึกสอนภายใต้ความกดดันให้สามารถกระทำและพลีทุกสิ่งได้โดยคำสั่งนั่นเอง อีกส่วนหนึ่งก็คือ ผู้มีวุฒิสามารถในการใช้และควบคุมการใช้กับยุทโธปกรณ์ก้าวหน้าโดยไม่ต้องเสี่ยงตัวเองเข้าเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้โดยตรงเสมอไป ส่วนในแง่เหตุผลของ “ความจำเป็น” เมื่อเทียบกับอดีตก็จะเห็นได้ชัดว่าเป็นลักษณะ “เมื่อวัวหายถึงได้ล้อมคอก แต่มิใช่ล้อมคอกกันวัวหาย” เพราะสภาพความเป็นอยู่ในทุกๆ สังคมในปัจจุบันที่เชื่อมโยงต่อกันในทุกระดับ ทำให้การใช้กำลังพลและยุทโธปกรณ์ หมดความจำเป็นลงไปนานแล้วนั่นเอง ฉนั้นการสร้างกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ให้เข้ากับวิวัฒนาการก็จะเป็นเพียงการเสริมสร้างธุรกิจของผู้สร้างและเผาผลาญธุรกิจของผู้ใช้อันผลที่สุด ก็คือ ปชช. ในสังคมนั้นๆ ได้เท่านั้น
ในอดีต คำว่า “อุดมการณ์” เป็นเหตุผลสำคัญยิ่งเพื่อการอยู่รอดของ ปชช. ในสังคมนั้นๆ ที่จำต้องเป็นไปในทิศทางและกรอบแนวคิดเดียวกัน อันก็ทำให้ให้เกิดการแบ่งแยกระหว่าง เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยในสังคมนั้นๆ ขึ้นมา อันความสำคัญของทั้งสองฝ่ายจะตกอยู่กับ อำนาจ หรือการมีกำลังพลและยุทโธปกรณ์ในครอบครอง ที่จะสามารถดำรงค์อยู่ซึ่ง อุดมการณ์ ของฝ่ายตัวเองว่าเป็นสิ่งที่สังคมต้องการ ส่วนฝ่ายตรงข้ามที่ตกเป็นฝ่ายรองหรือเบี้ยล่างเพราะขาดอำนาจ ก็จะใช้ อุดมการณ์ เป็นเครื่องมือของการสร้างและรวบรวมพลังพล ในรูปแบบเดิม คือจาก ปชช. ปรกติในสังคม ตลอดมา
ในปัจจุบัน ระดับความเป็นอยู่ในสังคมที่มีความหลากหลาย ด้วยวิวัฒนาการด้านต่างๆ ทำให้คำว่า “อุดมการณ์” ที่เคยเป็นความจำเป็นในอดีตนั้น ผิดเปลี่ยนความหมายและการยึดมั่นออกไปจากเดิม คือมิใช่การมีทิศทางและกรอบแนวคิดเดียวกัน แต่จะเป็นลักษณะเสมอภาคกับความแตกต่าง อันโดยยึดหลักมติเสียงข้างมากแทนเสียงเดียวเป็นหลัก การสร้างกำลังพลด้วยอุดมการณ์ในยุคปัจจุบันจึงนับได้ว่า เป็นการเสริมผิดธรรมชาติถ้าเป็นการเสริมสร้างตามจินตนาการของอดีต เพราะความเป็นจริงในสังคมปัจจุบันเป็นสิ่งกดดันในตัวที่ไม่สามารถให้มี อุดมการณ์ ที่เป็นไปในทิศทางและกรอบแนวคิดหนึ่งเดียวกันได้ ไม่ว่าจะด้วยการใช้ อำนาจ หรือ การชวนเชื่อเป็นเครื่องมือก็ตาม เพราะจะไม่แตกต่างกับ ความพยายาม ให้กลับไปใช้เดินท้าวเหมือนในอดีตทั้งๆที่ปัจจุบันมียานพาหนะใช้แล้ว นั่นเอง
แม้ในอดีตที่ผ่านมาไม่นานมานี้ ยังมีข้อคิดในสังคมสากลที่ว่า “ถ้าการประท้วงด้วยกลุ่มชนที่มีเพียงอุดมการเป็นหนึ่งเดียวสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ก็คงเป็นข้อต้องห้ามในสังคมมานานแล้ว” ฉนั้นการรวมกลุ่มสร้างพลังเพื่อ อุดมการณ์ ก็จะไม่แตกต่างกันกับลักษณะของ “กลุ่มแมลงเม่าบินเข้ากองเพลิง” ได้เท่านั้น อันไม่น่าจะเป็นสิ่งภาคภูมใจกับความเจริญเติบโตของสังคมในยุคปัจจุบัน รวมทั้ง การได้รับความเห็นใจกับ คลาบน้ำตาและความสูญเสีย ฯลฯ นั้นๆ มิใช่ว่า ไม่มีจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี แต่เป็นเพราะว่า “มีวิชาท่วมหัวแต่กลับไม่นำมาใช้” ต่างหากเมื่ออยากทำร้ายตัวเองก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่มิสามารถเข้ายุ่งเกี่ยวได้
การต่อสู้เพื่อ “อุดมการณ์” เป็นสิ่งที่ต้องควบคู่กับ สถานะภาพความเป็นจริง ในสังคมเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่สมควรยึดแนวทางรุนแรงแบบเดิมกับการ “เอาใข่ไปแยกหิน” แต่สมควรจะใช้หลักตัดท่อน้ำเลี้ยงทางอ้อม “ทำให้หินหมดสภาพด้วยตัวเอง” ต่างหาก การตัดท่อน้ำเลี้ยงทางอ้อม คือการปรับระบบการดำรงค์ชีวิตของตัวเองและกลุ่ม ทำให้ฝ่ายที่เป็นหินหมดสภาพความจำเป็นในตัวเองลงไป การอยู่ได้ของทุกสิ่งในสังคมก็ด้วย สภาพความต้องการ เสมือนเช่นเดียวกันกับ ผู้มีมือถือแต่ไม่สามารถใช้ได้เพราะขาดคู่ติดต่อ เป็นต้น ขั้นแรกก็จะทำให้เกิดการแก่งแย่งสภาวะการเป็นอำนาจที่ยังต้องการในกลุ่มของอำนาจด้วยกันเอง หรือ “ให้หินต่อหินหักร้างกันเอง” ขึ้นมา และในที่สุด หินทั้งหลายก็จะหมดสภาพต้องการไปโดยปริยาย
อันก็เป็นความจริงอันหนึ่ง เช่นกัน ที่จะสามารถมองความเป็นจริงเป็นอย่างอื่นได้ อันเพราะสาเหตุของการถูกปลุกฝังให้เดินในเส้นทางเดียวต่อไปข้างหน้าโดยไม่ย้อนกลับ หรือมีแนวคิดเลือกในเส้นทางอืนๆ ที่มี เพราะผลสุดท้ายความจริงที่ไม่มีทั้งอดีตและปัจจุบันหรืออนาคตก็จะคงอยู่ โดยขึ้นอยู่กับแต่ล๊ะบุคคลเพียงว่า “ยังต้องใช้เวลาและบทเรียนอีกมากเท่าไร” ถึงจะยอมรับ “ความจริง” ได้เท่านั้น ครับ
การเริ่มต้นด้วยน้ำผึ้งหยดเดียวและก็จะไปลงเอยที่กองเลือด
อย่างเช่น ในอดีตการมีกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ของสังคมนั้นๆ ก็เพื่อที่จะใช้เป็นพลังอำนาจในการรุกรานหรือปกป้อง ฯลฯ ตามความจำเป็นที่บังเกิดขึ้น กำลังพลมาจาก ระดับ ปชช. ปรกติในสังคม ส่วนอาวุทยุทโธปกรณ์ ก็เป็นลักษณะตามมีตามเกิดในยุคสมัยนั้น อันก็เป็นผลให้เกิดความสูญเสียมหาศาลกับการต่อสู้ในทุกรูปแบบอย่างเลี่ยงไม่ได้กับทุกฝ่ายไม่ว่าผลที่สุดจะปรากฏขึ้นในรูปลักษณะใดๆ กับสังคม คราบน้ำตาและกองสลักหักพังในสังคมเป็นเสมือนความเป็นจริงตกทอดให้กับ ปชช. เพราะเพื่อ “ความจำเป็น” ในที่สุดเสมอมา
ในปัจจุบัน อันด้วยเหตุผลของวิวัฒนาการก้าวหน้า ทำให้ในทุกๆ สังคม จำต้องพัฒนากำลังพล จากระดับ ปชช. ปรกติในสังคม ให้เป็นพลังพลผู้เชี่ยวชาญใน สอง ระบบขึ้นมา ส่วนหนึ่งก็คือ ผู้มีขีดความสามารถในตัวบุคคลนอกเหนือจากบุคคลทั่วไป โดยใช้ระบบฝึกสอนภายใต้ความกดดันให้สามารถกระทำและพลีทุกสิ่งได้โดยคำสั่งนั่นเอง อีกส่วนหนึ่งก็คือ ผู้มีวุฒิสามารถในการใช้และควบคุมการใช้กับยุทโธปกรณ์ก้าวหน้าโดยไม่ต้องเสี่ยงตัวเองเข้าเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้โดยตรงเสมอไป ส่วนในแง่เหตุผลของ “ความจำเป็น” เมื่อเทียบกับอดีตก็จะเห็นได้ชัดว่าเป็นลักษณะ “เมื่อวัวหายถึงได้ล้อมคอก แต่มิใช่ล้อมคอกกันวัวหาย” เพราะสภาพความเป็นอยู่ในทุกๆ สังคมในปัจจุบันที่เชื่อมโยงต่อกันในทุกระดับ ทำให้การใช้กำลังพลและยุทโธปกรณ์ หมดความจำเป็นลงไปนานแล้วนั่นเอง ฉนั้นการสร้างกำลังพลและยุทโธปกรณ์ ให้เข้ากับวิวัฒนาการก็จะเป็นเพียงการเสริมสร้างธุรกิจของผู้สร้างและเผาผลาญธุรกิจของผู้ใช้อันผลที่สุด ก็คือ ปชช. ในสังคมนั้นๆ ได้เท่านั้น
ในอดีต คำว่า “อุดมการณ์” เป็นเหตุผลสำคัญยิ่งเพื่อการอยู่รอดของ ปชช. ในสังคมนั้นๆ ที่จำต้องเป็นไปในทิศทางและกรอบแนวคิดเดียวกัน อันก็ทำให้ให้เกิดการแบ่งแยกระหว่าง เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยในสังคมนั้นๆ ขึ้นมา อันความสำคัญของทั้งสองฝ่ายจะตกอยู่กับ อำนาจ หรือการมีกำลังพลและยุทโธปกรณ์ในครอบครอง ที่จะสามารถดำรงค์อยู่ซึ่ง อุดมการณ์ ของฝ่ายตัวเองว่าเป็นสิ่งที่สังคมต้องการ ส่วนฝ่ายตรงข้ามที่ตกเป็นฝ่ายรองหรือเบี้ยล่างเพราะขาดอำนาจ ก็จะใช้ อุดมการณ์ เป็นเครื่องมือของการสร้างและรวบรวมพลังพล ในรูปแบบเดิม คือจาก ปชช. ปรกติในสังคม ตลอดมา
ในปัจจุบัน ระดับความเป็นอยู่ในสังคมที่มีความหลากหลาย ด้วยวิวัฒนาการด้านต่างๆ ทำให้คำว่า “อุดมการณ์” ที่เคยเป็นความจำเป็นในอดีตนั้น ผิดเปลี่ยนความหมายและการยึดมั่นออกไปจากเดิม คือมิใช่การมีทิศทางและกรอบแนวคิดเดียวกัน แต่จะเป็นลักษณะเสมอภาคกับความแตกต่าง อันโดยยึดหลักมติเสียงข้างมากแทนเสียงเดียวเป็นหลัก การสร้างกำลังพลด้วยอุดมการณ์ในยุคปัจจุบันจึงนับได้ว่า เป็นการเสริมผิดธรรมชาติถ้าเป็นการเสริมสร้างตามจินตนาการของอดีต เพราะความเป็นจริงในสังคมปัจจุบันเป็นสิ่งกดดันในตัวที่ไม่สามารถให้มี อุดมการณ์ ที่เป็นไปในทิศทางและกรอบแนวคิดหนึ่งเดียวกันได้ ไม่ว่าจะด้วยการใช้ อำนาจ หรือ การชวนเชื่อเป็นเครื่องมือก็ตาม เพราะจะไม่แตกต่างกับ ความพยายาม ให้กลับไปใช้เดินท้าวเหมือนในอดีตทั้งๆที่ปัจจุบันมียานพาหนะใช้แล้ว นั่นเอง
แม้ในอดีตที่ผ่านมาไม่นานมานี้ ยังมีข้อคิดในสังคมสากลที่ว่า “ถ้าการประท้วงด้วยกลุ่มชนที่มีเพียงอุดมการเป็นหนึ่งเดียวสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ก็คงเป็นข้อต้องห้ามในสังคมมานานแล้ว” ฉนั้นการรวมกลุ่มสร้างพลังเพื่อ อุดมการณ์ ก็จะไม่แตกต่างกันกับลักษณะของ “กลุ่มแมลงเม่าบินเข้ากองเพลิง” ได้เท่านั้น อันไม่น่าจะเป็นสิ่งภาคภูมใจกับความเจริญเติบโตของสังคมในยุคปัจจุบัน รวมทั้ง การได้รับความเห็นใจกับ คลาบน้ำตาและความสูญเสีย ฯลฯ นั้นๆ มิใช่ว่า ไม่มีจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี แต่เป็นเพราะว่า “มีวิชาท่วมหัวแต่กลับไม่นำมาใช้” ต่างหากเมื่ออยากทำร้ายตัวเองก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่มิสามารถเข้ายุ่งเกี่ยวได้
การต่อสู้เพื่อ “อุดมการณ์” เป็นสิ่งที่ต้องควบคู่กับ สถานะภาพความเป็นจริง ในสังคมเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่สมควรยึดแนวทางรุนแรงแบบเดิมกับการ “เอาใข่ไปแยกหิน” แต่สมควรจะใช้หลักตัดท่อน้ำเลี้ยงทางอ้อม “ทำให้หินหมดสภาพด้วยตัวเอง” ต่างหาก การตัดท่อน้ำเลี้ยงทางอ้อม คือการปรับระบบการดำรงค์ชีวิตของตัวเองและกลุ่ม ทำให้ฝ่ายที่เป็นหินหมดสภาพความจำเป็นในตัวเองลงไป การอยู่ได้ของทุกสิ่งในสังคมก็ด้วย สภาพความต้องการ เสมือนเช่นเดียวกันกับ ผู้มีมือถือแต่ไม่สามารถใช้ได้เพราะขาดคู่ติดต่อ เป็นต้น ขั้นแรกก็จะทำให้เกิดการแก่งแย่งสภาวะการเป็นอำนาจที่ยังต้องการในกลุ่มของอำนาจด้วยกันเอง หรือ “ให้หินต่อหินหักร้างกันเอง” ขึ้นมา และในที่สุด หินทั้งหลายก็จะหมดสภาพต้องการไปโดยปริยาย
อันก็เป็นความจริงอันหนึ่ง เช่นกัน ที่จะสามารถมองความเป็นจริงเป็นอย่างอื่นได้ อันเพราะสาเหตุของการถูกปลุกฝังให้เดินในเส้นทางเดียวต่อไปข้างหน้าโดยไม่ย้อนกลับ หรือมีแนวคิดเลือกในเส้นทางอืนๆ ที่มี เพราะผลสุดท้ายความจริงที่ไม่มีทั้งอดีตและปัจจุบันหรืออนาคตก็จะคงอยู่ โดยขึ้นอยู่กับแต่ล๊ะบุคคลเพียงว่า “ยังต้องใช้เวลาและบทเรียนอีกมากเท่าไร” ถึงจะยอมรับ “ความจริง” ได้เท่านั้น ครับ