"ติดยาเพราะสภาพแวดล้อม ติดยาเพราะเพื่อน คิดกันไปเองหรือปล่าว?"
ในช่วงหนึ่งของชีวิต เคยผ่านเรื่องราวพวกนี้มากับตัวเองโดยตรง
ช่วงอายุ 15-17 ปี เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเด็กวัยรุ่นกันเลยทีเดียว
ผมเองก็เช่นกัน
ในช่วงวัยคะนอง คบเพื่อนกันเป็นก๊วน ในตอนนั้นมีกันอยู่ทั้งหมด 9 คน เลขสวยมากมาย อิอิ
เป็นช่วงชีวิตที่ลำบากพอสมควร ตกเย็น หรือวันหยุด ก็จะมารวมตัวกันที่บ้านเพื่อนคนนึง ชื่อบอย
บรรดาเพื่อน ๆในกลุ่มต้องบอกได้ว่า ทั้งยาบ้า ทั้งกาว เหล้า บุหรี่ นารี มีกันครบ
พอรวมกลุ่มกันได้ช่วงค่ำ ๆ กิจกรรมที่พวกมันทำกันคือ นั่งดูดยาบ้า (ในสมัยนั้นเรียกยาม้า)
บางคนก็นั่งดมกาวกัน
วันดี คืนดีก็มีเด็กก๊วนอื่นเข้ามานั่งดูดด้วย
ใครจะเชื่อว่า...ผมเป็นคนเดียวในกลุ่ม ที่ไม่เอาของพวกนี้เลย แม้แต่จะลอง ยังไม่เคยคิดอยู่ในหัว
ได้มีโอกาสนั่งดูเขาดูดยาบ้ากัน ดูดกันจนน้ำตาไหลบ้าง อะไรบ้าง
โอ้วววว!!! มันทรมานขนาดนี้ พวกยังจะดูดกันอีกเหรอวะ ผมงง
ไอ้พวกดมกาวอยู่ชั้น 2 นี่ฮากว่าครับ ผมนอนดูทีวีอยู่ด้านนอก สักพักได้ยินเสียงโครมคราม
ร้องกันลั่นบ้าน พร้อมกับพวกมันวิ่งหน้าตั้งกันลงมา
ผมก็ถามไปว่า หนีอะไรกัน
มันบอกว่า มันนั่งดึงพระจันทร์ตกลงมาใส่หลังคาบ้าน
..............เงิบ
ไอ้พวกนี้ประสาทหลอน!!!!
เด็กแก๊งค์อื่นจะกลัวผมกันตรงที่พวกมันนั่งเสพยาต่อหน้าผม แต่ผมกลับนอนดูทีวีเฉย ๆ
ไม่ยุ่งด้วย
เคยมีพวกพูดว่า เฮ้ยทำไมไอ้นั่นไม่ดูดวะ เอามันมานั่งดูดด้วย เดี๋ยวมันไปบอกตำรวจ
แหม่ ไอ้ Shift หาย จะดูดก็ดูดไป อย่ามาทะลึ่ง
แต่เพื่อนผม ถึงแม้มันจะติดยากัน แต่มันดีนะครับ พวกที่จะให้ผมดูดยาบ้าด้วย เพื่อนผมมันบอกว่า
เฮ้ย!!! มันไม่ดูด บุหรี่มันยังไม่เอาเลย กูการันตี กูรับผิดชอบเอง เพื่อนกู กูดูแลเอง
ไม่เคยมีใครมายุผม แต่ก็รู้ว่า ถ้าผมอยากลอง พวกมันก็พร้อมที่จะให้ลองเช่นกัน
เคยมีช่วงหนึ่งที่พวกมันชอบให้ผมไปต่อบุหรี่ให้พวกมัน เพื่อจะมานั่งดูดยาบ้า
ไอ้ผมก็เป็นคนไม่สูบบุหรี่ แต่ด้วยความเป็นเพื่อน ก็ถือบุหรี่ไปต่อให้มันด้วยการเปิดเตาแก๊ส
แล้วเอาบุหรี่ไปจี้ที่เตา สรุปไหม้ไปครึ่งมวนกว่ามันจะติดไฟได้ (ถ้าดูดด้วยมันจะติดไฟทันที)
โดนแบบนี้ไป 3 รอบ พวกมันเลิกใช้ผมทันที
อีกเรื่อง ถ้าคนที่ไม่สูบบุหรี่จะรู้ดีว่า กลิ่นบุหรี่นี่มันเหม็นจริง ๆ ไอ้พวกเพื่อนผมมันสูบกันอย่างกับจะเผาบ้าน
ผมจะห้ามก็คงห้ามมันไม่ได้ คิดดูสิครับ อยู่ในห้องนอนมัน มันสูบบุหรี่กัน 8 คน ผมไม่สูบอยู่คนเดียว
ไม่รู้จะทำยัง สุดท้าย ไอเดียบรรเจิด ผมไปแกะเอาดินปืนในประทัด มาแอบใส่ไว้ตรงกลางมวนบุหรี่
โดยเคาะเอายาสูบออกมาครึ่งนึง แล้วยัดดินประทัดเข้าไปแทน แล้วเอายาสูบปิดทับ
ได้เรื่องครับ
มันนั่งสูบกันอย่างเมามันส์ พริบตาเดียว ไฟแลบกระจาย ผมขำจนจุก
สุดท้ายไม่มีใครกล้าทิ้งบุหรี่วางไว้ให้ผมเห็นอีกเลย
สมัยก่อนยาบ้า หาง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยอีกนะครับ แถมเม็ดนึงแค่ 20 บาท
ผมเองไม่ใช่เด็กดี หรือคนดีอะไรมากมาย ฐานะทางบ้านก็จนมาก ไม่ได้ร่ำรวยอะไร
แม่ก็ตายตั้งแต่จำความไม่ได้ บรรดาพี่ ๆก็ไปทำงานกันที่อื่นจนหมด เหลือผมอยู่คนเดียว
ที่ต้องเผชิญชะตากรรม
แต่อาจจากด้วยที่ว่า ผมเป็นคนหัวอ่อนมาก ในช่วงที่เข้าสู่วัยรุ่น พี่สาวพยายามเขียนจดหมายมาหาบ่อย ๆ
เพราะกลัวผมจะเสียคน ช่วงอายุ 14 - 15 นี่กำลังเข้าฝึกงานกับอู่ซ่อมรถด้วย ยิ่งน่ากลัว
ในจดหมาย มีอยู่ฉบับหนึ่ง ที่ผมจำได้จนทุกวันนี้ นั่นคือ
"ถ้าคิดจะทำอะไร คิดอะไร หรือจะเที่ยวที่ไหน ให้ดูสถานที่ เวลา และโอกาส ว่ามันสมควรหรือไม่"
แค่ประโยคนี้ ไม่มีคำไหนที่ห้ามเรื่องยาอะไรเลย แต่ผมดันตีโจทย์ครอบคลุมไปทุกอย่าง
ที่เล่ามาอยากให้รู้แค่ว่า สำหรับเรื่องหลาย ๆเรื่อง คนมักจะโทษสิ่งรอบตัว
โทษสิ่งรอบข้าง โดยที่เรา ไม่เคยโทษตัวเราเองเลย
ทุกอย่าง มันอยู่ที่ใจครับ ไม่ได้อยู่ที่เพื่อน หรือสภาพแวดล้อม
ถ้ารู้เรื่องราวชีวิตผมตั้งแต่วัยรุ่น จนถึงตอนนี้ เหมือนหนังคนละม้วน ไม่มีคำว่าสภาพแวดล้อมเข้ามาเลยแม้แต่ซักเรื่องเดียว
ดังคำกลอนที่กล่าวว่า
โทษผู้อื่น แลเห็น เป็นภูเขา
โทษของเรา แลเห็น เท่าเส้นขน
ตดผู้อื่น เหม็นเบื่อ เราเหลือทน
ตดของตน ถึงเหม็น ไม่เป็นไร
"ติดยาเพราะสภาพแวดล้อม ติดยาเพราะเพื่อน คิดกันไปเองหรือปล่าว?"
ในช่วงหนึ่งของชีวิต เคยผ่านเรื่องราวพวกนี้มากับตัวเองโดยตรง
ช่วงอายุ 15-17 ปี เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเด็กวัยรุ่นกันเลยทีเดียว
ผมเองก็เช่นกัน
ในช่วงวัยคะนอง คบเพื่อนกันเป็นก๊วน ในตอนนั้นมีกันอยู่ทั้งหมด 9 คน เลขสวยมากมาย อิอิ
เป็นช่วงชีวิตที่ลำบากพอสมควร ตกเย็น หรือวันหยุด ก็จะมารวมตัวกันที่บ้านเพื่อนคนนึง ชื่อบอย
บรรดาเพื่อน ๆในกลุ่มต้องบอกได้ว่า ทั้งยาบ้า ทั้งกาว เหล้า บุหรี่ นารี มีกันครบ
พอรวมกลุ่มกันได้ช่วงค่ำ ๆ กิจกรรมที่พวกมันทำกันคือ นั่งดูดยาบ้า (ในสมัยนั้นเรียกยาม้า)
บางคนก็นั่งดมกาวกัน
วันดี คืนดีก็มีเด็กก๊วนอื่นเข้ามานั่งดูดด้วย
ใครจะเชื่อว่า...ผมเป็นคนเดียวในกลุ่ม ที่ไม่เอาของพวกนี้เลย แม้แต่จะลอง ยังไม่เคยคิดอยู่ในหัว
ได้มีโอกาสนั่งดูเขาดูดยาบ้ากัน ดูดกันจนน้ำตาไหลบ้าง อะไรบ้าง
โอ้วววว!!! มันทรมานขนาดนี้ พวกยังจะดูดกันอีกเหรอวะ ผมงง
ไอ้พวกดมกาวอยู่ชั้น 2 นี่ฮากว่าครับ ผมนอนดูทีวีอยู่ด้านนอก สักพักได้ยินเสียงโครมคราม
ร้องกันลั่นบ้าน พร้อมกับพวกมันวิ่งหน้าตั้งกันลงมา
ผมก็ถามไปว่า หนีอะไรกัน
มันบอกว่า มันนั่งดึงพระจันทร์ตกลงมาใส่หลังคาบ้าน
..............เงิบ
ไอ้พวกนี้ประสาทหลอน!!!!
เด็กแก๊งค์อื่นจะกลัวผมกันตรงที่พวกมันนั่งเสพยาต่อหน้าผม แต่ผมกลับนอนดูทีวีเฉย ๆ
ไม่ยุ่งด้วย
เคยมีพวกพูดว่า เฮ้ยทำไมไอ้นั่นไม่ดูดวะ เอามันมานั่งดูดด้วย เดี๋ยวมันไปบอกตำรวจ
แหม่ ไอ้ Shift หาย จะดูดก็ดูดไป อย่ามาทะลึ่ง
แต่เพื่อนผม ถึงแม้มันจะติดยากัน แต่มันดีนะครับ พวกที่จะให้ผมดูดยาบ้าด้วย เพื่อนผมมันบอกว่า
เฮ้ย!!! มันไม่ดูด บุหรี่มันยังไม่เอาเลย กูการันตี กูรับผิดชอบเอง เพื่อนกู กูดูแลเอง
ไม่เคยมีใครมายุผม แต่ก็รู้ว่า ถ้าผมอยากลอง พวกมันก็พร้อมที่จะให้ลองเช่นกัน
เคยมีช่วงหนึ่งที่พวกมันชอบให้ผมไปต่อบุหรี่ให้พวกมัน เพื่อจะมานั่งดูดยาบ้า
ไอ้ผมก็เป็นคนไม่สูบบุหรี่ แต่ด้วยความเป็นเพื่อน ก็ถือบุหรี่ไปต่อให้มันด้วยการเปิดเตาแก๊ส
แล้วเอาบุหรี่ไปจี้ที่เตา สรุปไหม้ไปครึ่งมวนกว่ามันจะติดไฟได้ (ถ้าดูดด้วยมันจะติดไฟทันที)
โดนแบบนี้ไป 3 รอบ พวกมันเลิกใช้ผมทันที
อีกเรื่อง ถ้าคนที่ไม่สูบบุหรี่จะรู้ดีว่า กลิ่นบุหรี่นี่มันเหม็นจริง ๆ ไอ้พวกเพื่อนผมมันสูบกันอย่างกับจะเผาบ้าน
ผมจะห้ามก็คงห้ามมันไม่ได้ คิดดูสิครับ อยู่ในห้องนอนมัน มันสูบบุหรี่กัน 8 คน ผมไม่สูบอยู่คนเดียว
ไม่รู้จะทำยัง สุดท้าย ไอเดียบรรเจิด ผมไปแกะเอาดินปืนในประทัด มาแอบใส่ไว้ตรงกลางมวนบุหรี่
โดยเคาะเอายาสูบออกมาครึ่งนึง แล้วยัดดินประทัดเข้าไปแทน แล้วเอายาสูบปิดทับ
ได้เรื่องครับ
มันนั่งสูบกันอย่างเมามันส์ พริบตาเดียว ไฟแลบกระจาย ผมขำจนจุก
สุดท้ายไม่มีใครกล้าทิ้งบุหรี่วางไว้ให้ผมเห็นอีกเลย
สมัยก่อนยาบ้า หาง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยอีกนะครับ แถมเม็ดนึงแค่ 20 บาท
ผมเองไม่ใช่เด็กดี หรือคนดีอะไรมากมาย ฐานะทางบ้านก็จนมาก ไม่ได้ร่ำรวยอะไร
แม่ก็ตายตั้งแต่จำความไม่ได้ บรรดาพี่ ๆก็ไปทำงานกันที่อื่นจนหมด เหลือผมอยู่คนเดียว
ที่ต้องเผชิญชะตากรรม
แต่อาจจากด้วยที่ว่า ผมเป็นคนหัวอ่อนมาก ในช่วงที่เข้าสู่วัยรุ่น พี่สาวพยายามเขียนจดหมายมาหาบ่อย ๆ
เพราะกลัวผมจะเสียคน ช่วงอายุ 14 - 15 นี่กำลังเข้าฝึกงานกับอู่ซ่อมรถด้วย ยิ่งน่ากลัว
ในจดหมาย มีอยู่ฉบับหนึ่ง ที่ผมจำได้จนทุกวันนี้ นั่นคือ
"ถ้าคิดจะทำอะไร คิดอะไร หรือจะเที่ยวที่ไหน ให้ดูสถานที่ เวลา และโอกาส ว่ามันสมควรหรือไม่"
แค่ประโยคนี้ ไม่มีคำไหนที่ห้ามเรื่องยาอะไรเลย แต่ผมดันตีโจทย์ครอบคลุมไปทุกอย่าง
ที่เล่ามาอยากให้รู้แค่ว่า สำหรับเรื่องหลาย ๆเรื่อง คนมักจะโทษสิ่งรอบตัว
โทษสิ่งรอบข้าง โดยที่เรา ไม่เคยโทษตัวเราเองเลย
ทุกอย่าง มันอยู่ที่ใจครับ ไม่ได้อยู่ที่เพื่อน หรือสภาพแวดล้อม
ถ้ารู้เรื่องราวชีวิตผมตั้งแต่วัยรุ่น จนถึงตอนนี้ เหมือนหนังคนละม้วน ไม่มีคำว่าสภาพแวดล้อมเข้ามาเลยแม้แต่ซักเรื่องเดียว
ดังคำกลอนที่กล่าวว่า
โทษผู้อื่น แลเห็น เป็นภูเขา
โทษของเรา แลเห็น เท่าเส้นขน
ตดผู้อื่น เหม็นเบื่อ เราเหลือทน
ตดของตน ถึงเหม็น ไม่เป็นไร