สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 36
ผมขออนุญาตแนะนำดังนี้นะครับผม
1.คุณจะบอกหรือไม่บอกพ่อแม่ของคุณก็ได้ ในที่นี้หมายถึงพ่อแม่ของคุณเท่านั้นไม่ได้เกี่ยวกับคนนอก ตรงนี้คุณต้องตัดสินใจเองเพราะคุณรู้นิสัยใจคอของครอบครัวคุณดีที่สุด
คุณรู้หรือไม่ว่าแม้คุณจะเปลี่ยนมาเป็นพุทธแล้ว คุณยังปะพฤติตัวทุกอย่างตามแบบขนบธรรมเนียบหรือการใช้ชีวิตรวมทั้งพิธีกรรมแบบเดิมของคุณได้เป็นปกตินะครับ ยิ่งถ้าคุณจับหลักของพุทธธรรมได้แล้ว มันจะเป็นเรื่องง่ายมากในการใช้ชีวิต คุณยังสามารถทำทุกอย่างแบบที่เคยๆทำในศาสนาเดิมของคุณได้ สิ่งที่คุณเพิ่มเข้ามาเพียงแค่คุณศรัทธาในศาสนาพุทธเพิ่มเข้ามาด้วยเท่านั้นเอง
คุณยังสามารถคลุมฮิญาบได้ คุณยังสามารถละหมาดได้ คุณยังสามารถสรรเสริญหรือระลึกถึงอัลเลาะห์และความดีของท่านได้ คุณยังสามารถระลึกถึงพระเยซูหรือบุคคลใดๆในส่วนของคุณงามความดีหรือสิ่งที่ดีของท่านเหล่านั้นได้เสมอ การละลึกถึงสิ่งดีๆ ส่งที่เป็นบวก หรือกุศล หรือความดีงามหรือข้อดีของบุคคลต่างๆหรือของตัวเองเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งในพุทธศาสนา สิ่งเหล่านั้นมันดีทั้งนั้น
ในพุทธธรรมจริงๆไม่มีข้อห้ามใดๆในการทำพิธีกรรมหรือขนบประเภณีวัฒณธรรมแบบต่างๆเลย ถ้าคุณศรัทธาแล้วอยากให้คุณไปถึงหลักการที่ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นที่ใจ นี่คือเนื้อแท้ นี่คือสิ่งที่จะทำให้คุณมีความสุขที่สุด แต่การจะไปถึงสิ่งที่เรียกว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจนั้นไม่ใช่ไปโดยเพราะการท่องจำ เพราะอ่านมา เพราะคนอื่นบอกแล้วคุณคิดตามว่าใช่ว่าถูกต้องตามตรรกะเหตุผล แต่ให้มันเกิดขึ้นเองจริงๆจากภายในของคุณหรือเป็นประสบการณ์ตรงหรืออาจจะเรียกว่าภาวนามยปัญญาหรือบางคนอาจจะเรียกว่าหยั่งรู้ด้วยตัวเองอะไรก็แล้วแต่ แล้วมันจะง่ายเพราะคุณรู้ใจของตัวคุณเองดี ข้างนอกคุณจะดำเนินชีวิตหรือพิธีกรรมแบบไหนได้ทั้งนั้น
ในเมืองไทยนี้ คุณเห็นพิธีกรรมของชาวพุทธไทยหรือไม่ คุณรุ้มั้ยว่านั่นคือพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์และความเชื่อดั้งเดิมของคนแถมนี้และบรรบุรุษเขาทั้งนั้น ถ้าคุณมองภาพใหญ่เช่นมองออกไปยังชาวพุทธประเทศต่างๆจะเห็นว่าพิธีกรรมทั้งหลายแทบจะไม่เหมือนกันเลย ต่างต่างไปตามวัฒนธรรมประเภณีและความเชื่อดั้งเดิมหรือความเชื่อของเขาเหล่านั้น คนไทยส่วนมากใจเป็นพุทธแต่การดำเนินชีวิตกลับเป็นพราหมณ์หรือเ๋ต๋าหรือภูติผีความความเชื่อท้องถิ่น ฉะนั้นมันก็ไม่ต่างกันที่ใจคุณจะเป็นพุทธแต่ประพฤติตัวแบบอิสลาม(เป็นครั้งคราว) ไม่ต่างกันเลย ตรงนี้ผมไม่ได้บอกว่าให้คุณเล่นละครหลอกใคร แต่หลักจริงศาสนาพุทธขั้นสูงสุดคือตัวปัญญา ปัญญาคือการรู้จักแก้ไขปัญหา ปรับตัว ดำเนินชีวิต เพื่อให้มีความสุข นี่คือเป้าหมายแท้คือมีความสุข ส่วนวิธีการนั้นคุณต้องคิดหรือทำเอาเองมันไม่มีหลักตายตัวอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยและสถานะการนั้นๆของคนนั้นๆ ศาสนาพุทธเป็นเรื่องของทางสายกลาง ทางสายกลางคือสมดุลเหมาะสม และทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ไปตามสถานะการณ์ เช่นตอนนี้คุณยังมีพ่อแม่อยู่ ยังติดต่อกับสังคมนั้นๆอยู่ คุณก็ใช้หลักการหนึ่งในการบริหารจัดการชีวิตตนเอง และเมื่อใดที่พ่อแม่คุณไม่อยู่แล้ว ครอบครัวแยกย้ายกันไป คุณก็ใช้อีกหลัการหนึ่งในการใช้ชีวิต
พิธีกรรมทั้งหลายในไทยของชาวพุทธก็เป็นพิธีของศาสนาอื่นหรือความเชื่ออื่นแทบทั้งสิ้น ตัวพุทธแท้ๆไม่มีพิธีกรรมอะไรมากมาย แต่พิธีกรรมอาจจะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหล่อหลอมและหล่อเลี้ยงของสังคมนั้นๆหรือแม้แต่พระศาสนาไว้ได้ เพราะมนุษย์คือสัตว์สังคม ไม่ต่างเลยที่ชาวพุทธส่วนมากในไทยทำตัวแบบพราหมณ์ในหลายๆครั้ง แล้วคุณจะทำตัวแบบวัฒนธรรมอิสลามก็ไม่ต่างกันเลย
คุณบอกว่าไปอยู่เมืองนอกมา ผมไม่ทราบว่าประเทศไหน แต่ถ้าเป็นเมองนอกนั้น เช่นแถบยุโรปหรืออเมริกา คุณน่าจะได้รับรู้มาบ้างว่า มี ยิวพุทธ หรือ Jewbu or Jubu or Buju เยอะไปหมด มีคริสพุทธ มีอิสลามพุทธเยอะแยะ พุทธไม่เน้เรื่องพระเจ้า และถ้าใครเป็นคนดีหรือทำตัวดีๆพุทธก็แนะนำให้ยินดีหรือนึกถึงสิ่งดีๆเหล่านั้นอยุ่แล้วไม่มีข้อห้าม คนเหล่านั้นอยู่ในศาสนาเดิมของเขาและมาฝึกปฏิบัติทางจิตในแบบพุทธเยอะแยะ คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนศาสนาคุณก็เข้าถึงได้เท่าเทียมกันเหมือนกันทุกอย่างเลยครับ แต่ถ้าคุณเปลี่ยนมันก็จะดีไปอีกแบบหมายถึงถ้ามองไปในภาพรวม องค์รวมและอนาคต เช่นปัจจุบันคุณเป็นคนที่ยืดหยุ่นและมีใจแบบพุทธแต่ในอนาคตลูกของคุณอาจจะไม่เหมือนคุณก็ได้เขาอาจจะเคร่งอิสลามสุดๆหรือาจจะสุดโต่งไปเลยก็ได้เพราะไม่ใช่แค่คุณที่สอนเขา สังคมของเขาจะสอนเขาด้วย ฉะนั้นการปรับเปลี่ยนที่ต้นทางเพื่อปลายทางที่คุณคิดว่าถูกต้องเป็นสิ่งที่ดีครับ
การศึกษาศาสนาพุทธนั้น ยิ่งคุณไปอยู่เมืองนอก ผมแนะนำว่าศึกษาแบบหลักสากลไปเลย อย่างยึดติดกับความเชื่อต่างๆของคนไทยหรือแบบไทยๆมากนัก ใช้หลักศรัทธาแค่เบื้องต้นแค่ตัวกระตุ้นเท่านั้น และใช้หลักการฝึกฝนทางใจ เพื่อไปสู่ปัญญาหรืออิสระแห่งใจให้ได้ เมื่อนั้นคุณก็จะเป็นคนที่มีสุขได้ง่าย มีทุกข์ได้ยาก ไม่ว่าจะตรงนี้เดี๋ยวนี้หรือจะตรงไหนในอนาคต
หลักสำคัญที่สุดหลักเดียวคือ มรรค 8 เท่านั้น อย่างอื่นแค่สิ่งย่อย หนึ่งในมรรค8 ที่จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น คือการฝึกฝนในเรื่องของ สติ หรือ mindfulness พระพุทธเจ้ายืนยันแล้วว่านี่คือทางสายเอก ให้จับหลักตัวนี้ไว้ก่อน ธรรมะหรือคำสอนอื่นจะเป็นตัวรองที่คุณจะไปทำความเข้าใจอีกทีหรือไม่อย่างไรนั้นแล้วแต่คุณ
เมื่อคุณจับหลักของสติได้แล้ว คุณก็เข้าถึงหลักการที่ว่า ธรรมะอยู่ที่ใจ ได้ด้วยประสบการณ์ตรงของคุณเอง ไม่ใช่จำมาจากคำพูด ท่องจำหรือจากคำสอนซึ่งถ้าแบบนั้นมันก็แค่จะเป็นเรื่องของตรรกะเท่านั้น และเมื่อ ธรรมะอยู่ที่ใจแล้วคุณก็จะเป็นอิสระที่สุด ไม่จำเป็นต้องไปหาสิ่งวิเศษหรือความวิเศษวิโสที่ไหนเลย และคุณก็จะเข้าใจหลักที่ว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง คุณจำทำตัวแบบไหนก็แล้วแต่ แต่ใจคุณรู้อยู่เห็นอยู่เข้าใจอยู่ แล้วการประพฤติหรือทำกิจกรรมแบบไหน แบบวัฒนธรรมไหนหรือความเชื่อไหนไม่ใช่สาระอีกต่อไป แต่มันเป็นเรื่องของการวางตัว อย่างการอยู่ร่วมกันของสังคมเท่านั้น หลังจากนั้นคุณก็จะทำตัวแบบอิสลามเพื่อให้พ่อแม่คุณสบายใจหรือเพื่อไม่ให้มีปัญหากับสังคมของคุณ ณ ช่วงเวลานั้นๆ เมื่อไหร่ยังไงก้ได้ เพราะใจคุณเป็นอิสระแล้ว
กฏธรรมชาติในโลกนี้ที่พระพุทธเจ้าสอน มี 5 อย่าง หรือเรียกว่า ธรรมนิยาม หรือ นิยาม 5
อุตุนิยาม (physical laws) คือ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น อุณห
ฟ้าอากาศ สิ่งแวดล้อม
พีชนิยาม (biological laws) คือ กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับพันธุกรรม กระบวนการถ่ายทอดข้อมูลของสิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์ เชื้อโรค ผ่านการสืบพันธุ์
จิตนิยาม (psychic law) คือ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงานของจิต เจตสิก
กรรมนิยาม (Karmic Laws) คือ กฎแห่งกรรม คือกฎแห่งการกระทำและผลของการกระทำ
ธรรมนิยาม (General Laws) อันได้แก่กฎไตรลักษณ์
สิ่งที่เราสามารถจัดการกับมันคือควบคุมมันได้และพัฒนามันได้ด้วยตัวเราเองที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องของ จิตนิยาม (psychic law) คือ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงานของจิต การฝึกฝนทางจิต ในมรรค 8 ก็เป็นเรื่องของจิตซะส่วนใหญ่ จิตหรือ mind ในที่นี้ เรื่อง การฝึก สติ สำคัญมาก ของลงมาคือสมาธิ และอื่นๆเช่นการทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เรื่องของ กุศลหรือภาษาสมัยใหม่คือสิ่งที่เป็นบวกพลังบวก สร้างสิ่งที่เป็นกุศลหรือพลังบวกให้เกิดขึ้นในใจบ่อยๆ นึกถึงสิ่งดีๆ ความสำเร็จในอดีต และความดีต่างๆ การอภัยตัวเอง พ่อแม่จากการเลี้ยงดูบางอย่างหรือเหตุการณ์ในอดีต การทำความเข้าใจให้ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆสร้างความสุขและสิ่งดีๆให้คุณเอง และเมื่อจับหลักพวกนี้ได้แล้วคุณไปศึกษาในส่วนอื่นเพิ่มเติมมันก็จะเป็นสิ่งที่ดี
อย่าไปหมกมุ่นหรือสนใจเรื่องกรรมแบบที่คนไทยส่วนใหญ่หมกมุ่นกันมากนัก เพราะคุณจะเห็นว่าเรื่องกรรมเป็นแค่กฏๆหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่กฏหใญ่สุด เราแก้ไขหรือทำอะไรมันไม่ได้มาก มันไม่อยู่ใน มรรค 8 มันเป็นแค่สิ่งที่พุทธองค์ทรงเล่าและแสดงให้ดูเหมือนธรรมอื่นๆทั่วไป แต่สิ่งที่พุทธองค์สอนให้ฝึกอยู่เสมอ ทางสายเอกเลยคือเรื่องจิต ในมรรค8 ก็มีเรื่องจิตหลายข้อ และเมื่อจิตเป็นอิสระและปลดปล่อย ไม่ยึดติด ให้อภัย เสริมพลังบวก เข้าไป กุศลเข้าไป บุญเข้าไป(บุญเป็นเรื่องของจิตล้วนๆ) และยกจิตให้ไปอยู่ในร่องของความดีงาม พลังบวกหรือกุศล ความเชื่อมั่นในตนเอง นึกถึงสิ่งดีๆทั้งในเรื่องของการทำดีที่ผ่านมาหรือการทำอะไรสำเร็จแม้เล็กๆน้อยๆที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กวัยเยาว์จนตอนนี้ สิ่งนี้จะเสริมสร้างความสุขของคุณได้อย่างดียิ่งไม่ว่าตอนนี้เดี๋ยวนี้หรือถ้ามีโลกหน้าชาติหน้า(ซึ่งมันไม่สำคัญว่าจะมีหรือไม่) มันก็จะทำให้คุณไปสู่สิ่งดีๆหรือสุขติในทุกที่ ถ้าเราทำจิตของเราให้ดีและมีสิตปัญญาในการใช้ชีวิตแล้ว กฏอื่นๆจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย แล้วมันจะไม่ต้องมาบ่นมาถามแบบคนไทยที่ไม่รู้เรื่องพุทธศาสนาบางคนว่า คนนั้นทำกรรมมาเยอะ คนนั้นทำกรรมอย่างนี้ แต่ทำไมเขายังได้ดี กรรมร้ายไม่ส่งผล จึงอยากให้ทำความเข้าใจกฏธรรมชาติ 5 อย่างนั้น และการฝึกฝนทางจิตใจ และสติ จะนำไปสู่ปัญญาเพื่อการบริหารจัดการชีวิตที่ง่ายขึ้นและมีความสุขได้ง่ายในทุกสถานการณ์และสถานที่
ปล. (คำว่า สติ ไม่ใช่ความหมายแบบคนไทยส่วนใหญ่เข้าใจกันนะครับ และตัวนี้จะมีพลังในการเปลี่ยนแปลงข้างในอย่างมาก)
ปล.2 (ศีล สมาธิ(สมถะ+สติ) ปัญญา) จำบันได 3 ข้อนี้ไว้นะครับ มีบางคนคอมเม้นว่าอย่าโกหกตนเองและผู้อื่น แสดงว่าเขายังยึดติดในข้อศีลอย่างมากแบบคนไทยทั่วไป เลยไม่ก้าวข้ามไปสู่บันไดข้ออื่น ที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริง ตรงนี้ไม่มีถูกหรือผิด แต่ สติ ปัญญา และทางสายกลาง การบริหารจัดการทึ่ถูกต้องเหมาะสมตามสถานะการณ์ จะนำพาคุณไปสู่เป้าหมายที่แท้จริง คือความสุข อิสระ ตื่น เบิกบาน
1.คุณจะบอกหรือไม่บอกพ่อแม่ของคุณก็ได้ ในที่นี้หมายถึงพ่อแม่ของคุณเท่านั้นไม่ได้เกี่ยวกับคนนอก ตรงนี้คุณต้องตัดสินใจเองเพราะคุณรู้นิสัยใจคอของครอบครัวคุณดีที่สุด
คุณรู้หรือไม่ว่าแม้คุณจะเปลี่ยนมาเป็นพุทธแล้ว คุณยังปะพฤติตัวทุกอย่างตามแบบขนบธรรมเนียบหรือการใช้ชีวิตรวมทั้งพิธีกรรมแบบเดิมของคุณได้เป็นปกตินะครับ ยิ่งถ้าคุณจับหลักของพุทธธรรมได้แล้ว มันจะเป็นเรื่องง่ายมากในการใช้ชีวิต คุณยังสามารถทำทุกอย่างแบบที่เคยๆทำในศาสนาเดิมของคุณได้ สิ่งที่คุณเพิ่มเข้ามาเพียงแค่คุณศรัทธาในศาสนาพุทธเพิ่มเข้ามาด้วยเท่านั้นเอง
คุณยังสามารถคลุมฮิญาบได้ คุณยังสามารถละหมาดได้ คุณยังสามารถสรรเสริญหรือระลึกถึงอัลเลาะห์และความดีของท่านได้ คุณยังสามารถระลึกถึงพระเยซูหรือบุคคลใดๆในส่วนของคุณงามความดีหรือสิ่งที่ดีของท่านเหล่านั้นได้เสมอ การละลึกถึงสิ่งดีๆ ส่งที่เป็นบวก หรือกุศล หรือความดีงามหรือข้อดีของบุคคลต่างๆหรือของตัวเองเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งในพุทธศาสนา สิ่งเหล่านั้นมันดีทั้งนั้น
ในพุทธธรรมจริงๆไม่มีข้อห้ามใดๆในการทำพิธีกรรมหรือขนบประเภณีวัฒณธรรมแบบต่างๆเลย ถ้าคุณศรัทธาแล้วอยากให้คุณไปถึงหลักการที่ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นที่ใจ นี่คือเนื้อแท้ นี่คือสิ่งที่จะทำให้คุณมีความสุขที่สุด แต่การจะไปถึงสิ่งที่เรียกว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจนั้นไม่ใช่ไปโดยเพราะการท่องจำ เพราะอ่านมา เพราะคนอื่นบอกแล้วคุณคิดตามว่าใช่ว่าถูกต้องตามตรรกะเหตุผล แต่ให้มันเกิดขึ้นเองจริงๆจากภายในของคุณหรือเป็นประสบการณ์ตรงหรืออาจจะเรียกว่าภาวนามยปัญญาหรือบางคนอาจจะเรียกว่าหยั่งรู้ด้วยตัวเองอะไรก็แล้วแต่ แล้วมันจะง่ายเพราะคุณรู้ใจของตัวคุณเองดี ข้างนอกคุณจะดำเนินชีวิตหรือพิธีกรรมแบบไหนได้ทั้งนั้น
ในเมืองไทยนี้ คุณเห็นพิธีกรรมของชาวพุทธไทยหรือไม่ คุณรุ้มั้ยว่านั่นคือพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์และความเชื่อดั้งเดิมของคนแถมนี้และบรรบุรุษเขาทั้งนั้น ถ้าคุณมองภาพใหญ่เช่นมองออกไปยังชาวพุทธประเทศต่างๆจะเห็นว่าพิธีกรรมทั้งหลายแทบจะไม่เหมือนกันเลย ต่างต่างไปตามวัฒนธรรมประเภณีและความเชื่อดั้งเดิมหรือความเชื่อของเขาเหล่านั้น คนไทยส่วนมากใจเป็นพุทธแต่การดำเนินชีวิตกลับเป็นพราหมณ์หรือเ๋ต๋าหรือภูติผีความความเชื่อท้องถิ่น ฉะนั้นมันก็ไม่ต่างกันที่ใจคุณจะเป็นพุทธแต่ประพฤติตัวแบบอิสลาม(เป็นครั้งคราว) ไม่ต่างกันเลย ตรงนี้ผมไม่ได้บอกว่าให้คุณเล่นละครหลอกใคร แต่หลักจริงศาสนาพุทธขั้นสูงสุดคือตัวปัญญา ปัญญาคือการรู้จักแก้ไขปัญหา ปรับตัว ดำเนินชีวิต เพื่อให้มีความสุข นี่คือเป้าหมายแท้คือมีความสุข ส่วนวิธีการนั้นคุณต้องคิดหรือทำเอาเองมันไม่มีหลักตายตัวอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยและสถานะการนั้นๆของคนนั้นๆ ศาสนาพุทธเป็นเรื่องของทางสายกลาง ทางสายกลางคือสมดุลเหมาะสม และทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ไปตามสถานะการณ์ เช่นตอนนี้คุณยังมีพ่อแม่อยู่ ยังติดต่อกับสังคมนั้นๆอยู่ คุณก็ใช้หลักการหนึ่งในการบริหารจัดการชีวิตตนเอง และเมื่อใดที่พ่อแม่คุณไม่อยู่แล้ว ครอบครัวแยกย้ายกันไป คุณก็ใช้อีกหลัการหนึ่งในการใช้ชีวิต
พิธีกรรมทั้งหลายในไทยของชาวพุทธก็เป็นพิธีของศาสนาอื่นหรือความเชื่ออื่นแทบทั้งสิ้น ตัวพุทธแท้ๆไม่มีพิธีกรรมอะไรมากมาย แต่พิธีกรรมอาจจะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหล่อหลอมและหล่อเลี้ยงของสังคมนั้นๆหรือแม้แต่พระศาสนาไว้ได้ เพราะมนุษย์คือสัตว์สังคม ไม่ต่างเลยที่ชาวพุทธส่วนมากในไทยทำตัวแบบพราหมณ์ในหลายๆครั้ง แล้วคุณจะทำตัวแบบวัฒนธรรมอิสลามก็ไม่ต่างกันเลย
คุณบอกว่าไปอยู่เมืองนอกมา ผมไม่ทราบว่าประเทศไหน แต่ถ้าเป็นเมองนอกนั้น เช่นแถบยุโรปหรืออเมริกา คุณน่าจะได้รับรู้มาบ้างว่า มี ยิวพุทธ หรือ Jewbu or Jubu or Buju เยอะไปหมด มีคริสพุทธ มีอิสลามพุทธเยอะแยะ พุทธไม่เน้เรื่องพระเจ้า และถ้าใครเป็นคนดีหรือทำตัวดีๆพุทธก็แนะนำให้ยินดีหรือนึกถึงสิ่งดีๆเหล่านั้นอยุ่แล้วไม่มีข้อห้าม คนเหล่านั้นอยู่ในศาสนาเดิมของเขาและมาฝึกปฏิบัติทางจิตในแบบพุทธเยอะแยะ คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนศาสนาคุณก็เข้าถึงได้เท่าเทียมกันเหมือนกันทุกอย่างเลยครับ แต่ถ้าคุณเปลี่ยนมันก็จะดีไปอีกแบบหมายถึงถ้ามองไปในภาพรวม องค์รวมและอนาคต เช่นปัจจุบันคุณเป็นคนที่ยืดหยุ่นและมีใจแบบพุทธแต่ในอนาคตลูกของคุณอาจจะไม่เหมือนคุณก็ได้เขาอาจจะเคร่งอิสลามสุดๆหรือาจจะสุดโต่งไปเลยก็ได้เพราะไม่ใช่แค่คุณที่สอนเขา สังคมของเขาจะสอนเขาด้วย ฉะนั้นการปรับเปลี่ยนที่ต้นทางเพื่อปลายทางที่คุณคิดว่าถูกต้องเป็นสิ่งที่ดีครับ
การศึกษาศาสนาพุทธนั้น ยิ่งคุณไปอยู่เมืองนอก ผมแนะนำว่าศึกษาแบบหลักสากลไปเลย อย่างยึดติดกับความเชื่อต่างๆของคนไทยหรือแบบไทยๆมากนัก ใช้หลักศรัทธาแค่เบื้องต้นแค่ตัวกระตุ้นเท่านั้น และใช้หลักการฝึกฝนทางใจ เพื่อไปสู่ปัญญาหรืออิสระแห่งใจให้ได้ เมื่อนั้นคุณก็จะเป็นคนที่มีสุขได้ง่าย มีทุกข์ได้ยาก ไม่ว่าจะตรงนี้เดี๋ยวนี้หรือจะตรงไหนในอนาคต
หลักสำคัญที่สุดหลักเดียวคือ มรรค 8 เท่านั้น อย่างอื่นแค่สิ่งย่อย หนึ่งในมรรค8 ที่จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น คือการฝึกฝนในเรื่องของ สติ หรือ mindfulness พระพุทธเจ้ายืนยันแล้วว่านี่คือทางสายเอก ให้จับหลักตัวนี้ไว้ก่อน ธรรมะหรือคำสอนอื่นจะเป็นตัวรองที่คุณจะไปทำความเข้าใจอีกทีหรือไม่อย่างไรนั้นแล้วแต่คุณ
เมื่อคุณจับหลักของสติได้แล้ว คุณก็เข้าถึงหลักการที่ว่า ธรรมะอยู่ที่ใจ ได้ด้วยประสบการณ์ตรงของคุณเอง ไม่ใช่จำมาจากคำพูด ท่องจำหรือจากคำสอนซึ่งถ้าแบบนั้นมันก็แค่จะเป็นเรื่องของตรรกะเท่านั้น และเมื่อ ธรรมะอยู่ที่ใจแล้วคุณก็จะเป็นอิสระที่สุด ไม่จำเป็นต้องไปหาสิ่งวิเศษหรือความวิเศษวิโสที่ไหนเลย และคุณก็จะเข้าใจหลักที่ว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง คุณจำทำตัวแบบไหนก็แล้วแต่ แต่ใจคุณรู้อยู่เห็นอยู่เข้าใจอยู่ แล้วการประพฤติหรือทำกิจกรรมแบบไหน แบบวัฒนธรรมไหนหรือความเชื่อไหนไม่ใช่สาระอีกต่อไป แต่มันเป็นเรื่องของการวางตัว อย่างการอยู่ร่วมกันของสังคมเท่านั้น หลังจากนั้นคุณก็จะทำตัวแบบอิสลามเพื่อให้พ่อแม่คุณสบายใจหรือเพื่อไม่ให้มีปัญหากับสังคมของคุณ ณ ช่วงเวลานั้นๆ เมื่อไหร่ยังไงก้ได้ เพราะใจคุณเป็นอิสระแล้ว
กฏธรรมชาติในโลกนี้ที่พระพุทธเจ้าสอน มี 5 อย่าง หรือเรียกว่า ธรรมนิยาม หรือ นิยาม 5
อุตุนิยาม (physical laws) คือ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น อุณห

พีชนิยาม (biological laws) คือ กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับพันธุกรรม กระบวนการถ่ายทอดข้อมูลของสิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์ เชื้อโรค ผ่านการสืบพันธุ์
จิตนิยาม (psychic law) คือ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงานของจิต เจตสิก
กรรมนิยาม (Karmic Laws) คือ กฎแห่งกรรม คือกฎแห่งการกระทำและผลของการกระทำ
ธรรมนิยาม (General Laws) อันได้แก่กฎไตรลักษณ์
สิ่งที่เราสามารถจัดการกับมันคือควบคุมมันได้และพัฒนามันได้ด้วยตัวเราเองที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องของ จิตนิยาม (psychic law) คือ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการทำงานของจิต การฝึกฝนทางจิต ในมรรค 8 ก็เป็นเรื่องของจิตซะส่วนใหญ่ จิตหรือ mind ในที่นี้ เรื่อง การฝึก สติ สำคัญมาก ของลงมาคือสมาธิ และอื่นๆเช่นการทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เรื่องของ กุศลหรือภาษาสมัยใหม่คือสิ่งที่เป็นบวกพลังบวก สร้างสิ่งที่เป็นกุศลหรือพลังบวกให้เกิดขึ้นในใจบ่อยๆ นึกถึงสิ่งดีๆ ความสำเร็จในอดีต และความดีต่างๆ การอภัยตัวเอง พ่อแม่จากการเลี้ยงดูบางอย่างหรือเหตุการณ์ในอดีต การทำความเข้าใจให้ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆสร้างความสุขและสิ่งดีๆให้คุณเอง และเมื่อจับหลักพวกนี้ได้แล้วคุณไปศึกษาในส่วนอื่นเพิ่มเติมมันก็จะเป็นสิ่งที่ดี
อย่าไปหมกมุ่นหรือสนใจเรื่องกรรมแบบที่คนไทยส่วนใหญ่หมกมุ่นกันมากนัก เพราะคุณจะเห็นว่าเรื่องกรรมเป็นแค่กฏๆหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่กฏหใญ่สุด เราแก้ไขหรือทำอะไรมันไม่ได้มาก มันไม่อยู่ใน มรรค 8 มันเป็นแค่สิ่งที่พุทธองค์ทรงเล่าและแสดงให้ดูเหมือนธรรมอื่นๆทั่วไป แต่สิ่งที่พุทธองค์สอนให้ฝึกอยู่เสมอ ทางสายเอกเลยคือเรื่องจิต ในมรรค8 ก็มีเรื่องจิตหลายข้อ และเมื่อจิตเป็นอิสระและปลดปล่อย ไม่ยึดติด ให้อภัย เสริมพลังบวก เข้าไป กุศลเข้าไป บุญเข้าไป(บุญเป็นเรื่องของจิตล้วนๆ) และยกจิตให้ไปอยู่ในร่องของความดีงาม พลังบวกหรือกุศล ความเชื่อมั่นในตนเอง นึกถึงสิ่งดีๆทั้งในเรื่องของการทำดีที่ผ่านมาหรือการทำอะไรสำเร็จแม้เล็กๆน้อยๆที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กวัยเยาว์จนตอนนี้ สิ่งนี้จะเสริมสร้างความสุขของคุณได้อย่างดียิ่งไม่ว่าตอนนี้เดี๋ยวนี้หรือถ้ามีโลกหน้าชาติหน้า(ซึ่งมันไม่สำคัญว่าจะมีหรือไม่) มันก็จะทำให้คุณไปสู่สิ่งดีๆหรือสุขติในทุกที่ ถ้าเราทำจิตของเราให้ดีและมีสิตปัญญาในการใช้ชีวิตแล้ว กฏอื่นๆจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย แล้วมันจะไม่ต้องมาบ่นมาถามแบบคนไทยที่ไม่รู้เรื่องพุทธศาสนาบางคนว่า คนนั้นทำกรรมมาเยอะ คนนั้นทำกรรมอย่างนี้ แต่ทำไมเขายังได้ดี กรรมร้ายไม่ส่งผล จึงอยากให้ทำความเข้าใจกฏธรรมชาติ 5 อย่างนั้น และการฝึกฝนทางจิตใจ และสติ จะนำไปสู่ปัญญาเพื่อการบริหารจัดการชีวิตที่ง่ายขึ้นและมีความสุขได้ง่ายในทุกสถานการณ์และสถานที่
ปล. (คำว่า สติ ไม่ใช่ความหมายแบบคนไทยส่วนใหญ่เข้าใจกันนะครับ และตัวนี้จะมีพลังในการเปลี่ยนแปลงข้างในอย่างมาก)
ปล.2 (ศีล สมาธิ(สมถะ+สติ) ปัญญา) จำบันได 3 ข้อนี้ไว้นะครับ มีบางคนคอมเม้นว่าอย่าโกหกตนเองและผู้อื่น แสดงว่าเขายังยึดติดในข้อศีลอย่างมากแบบคนไทยทั่วไป เลยไม่ก้าวข้ามไปสู่บันไดข้ออื่น ที่เป็นเป้าหมายที่แท้จริง ตรงนี้ไม่มีถูกหรือผิด แต่ สติ ปัญญา และทางสายกลาง การบริหารจัดการทึ่ถูกต้องเหมาะสมตามสถานะการณ์ จะนำพาคุณไปสู่เป้าหมายที่แท้จริง คือความสุข อิสระ ตื่น เบิกบาน
ความคิดเห็นที่ 40
ศาสนาพุทธนั้นมองเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ศาสนาคริสต์ก็สอนให้ปฎิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่เราต้องการถูกปฎิบัติ เมื่อถูกตบ
แก้มซ้ายก็ยื่นแก้มขวาให้ตบด้วย นี่คือจุดที่เหมือนกันของพุทธกับคริสต์ จะเห็นได้ว่าคำสอนไปแนวทางเดียวกันหมด ไม่ลักลั่นย้อนแย้ง ไม่มี
จุดที่จะเปิดช่องให้ทำความชั่วได้เลย ไม่ต้องมาคอยแก้ไขหรืออธิบาย ปฎิบัติต่อคนนอกเหมือนกับคนศาสนาเดียวกัน ไม่แบ่งแยก ไม่สอนว่า
ถ้ากับคนนอกต้องพูดอย่างหนึ่ง แต่พอพูดกับพวกเดียวกันก็พูดอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นศาสนิกของทั้งสองศาสนาจึงอยู่ร่วมกับความเชื่ออื่นๆบนโลกนี้
อย่างไม่มีปัญหา ผมจึงคิดว่าสองศาสนานี้เป็นศาสนาแห่งสันติภาพที่แท้จริง หลักธรรมชัดเจนไม่สับสน ลองพิจารณาดูนะครับ
แก้มซ้ายก็ยื่นแก้มขวาให้ตบด้วย นี่คือจุดที่เหมือนกันของพุทธกับคริสต์ จะเห็นได้ว่าคำสอนไปแนวทางเดียวกันหมด ไม่ลักลั่นย้อนแย้ง ไม่มี
จุดที่จะเปิดช่องให้ทำความชั่วได้เลย ไม่ต้องมาคอยแก้ไขหรืออธิบาย ปฎิบัติต่อคนนอกเหมือนกับคนศาสนาเดียวกัน ไม่แบ่งแยก ไม่สอนว่า
ถ้ากับคนนอกต้องพูดอย่างหนึ่ง แต่พอพูดกับพวกเดียวกันก็พูดอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นศาสนิกของทั้งสองศาสนาจึงอยู่ร่วมกับความเชื่ออื่นๆบนโลกนี้
อย่างไม่มีปัญหา ผมจึงคิดว่าสองศาสนานี้เป็นศาสนาแห่งสันติภาพที่แท้จริง หลักธรรมชัดเจนไม่สับสน ลองพิจารณาดูนะครับ
แสดงความคิดเห็น
เปลี่ยนจากอิสลามเป็นพุทธ เราจะบอกทางบ้านอย่างไรดี
เรามีปัญหาตามหัวกระทู้เลยค่ะ
คือเราเปลี่ยนตัวเอง หันมานับถือศาสนาพุทธได้สักพักหนึ่งแล้วค่ะ
จะบอกที่บ้านอย่างไรดีคะ ให้พ่อแม่ และญาติพี่น้องเข้าใจ และไม่มีปัญหาตามมา
- พ่อแม่เราเป็นคนเงียบๆ ค่ะ ยอมรับการตัดสินใจของลูก
- ญาติๆ จะเพ่งเล็ง ไม่ค่อยยอมรับ
- เพื่อนบ้านแย่มากค่ะ ชอบกดดัน
ส่วนอันนี้รายละเอียด (ไม่อ่านก็ได้ค่ะ)
คือตอนนี้เราเรียนอยู่ที่ต่างประเทศ ระหว่างนี้เราเกิดเลื่อมใสในหลักการพึ่งตนเองของศาสนาพุทธ
เราจึงหันมาศึกษาศาสนาพุทธ และเปลี่ยนมานับถือพุทธได้พักหนึ่งแล้วค่ะ
ปัญหาคือเรากำลังจะเดินทางกลับไปพักผ่อนที่เมืองไทย ต้องเจอพ่อแม่ และญาติพี่น้อง เราจะทำอย่างไรดี จะอธิบายพวกเขาอย่างไร
เรามีประสบการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะพี่ชายเราก็ปฏิเสธศรัทธามาคนหนึ่งแล้ว (ไปเข้าคริสต์)
ตอนนั้นเพื่อนบ้านเอาครอบครัวเราไปนินทา ว่าพ่อแม่เราเลี้ยงลูกยังไง ลูกถึงเปลี่ยนศาสนา ตอนแรกก็ไม่มีใครรู้ เขานินทากันในที่ลับ
จนมีมนุษย์ป้าคนหนึ่ง มาต่อว่าแม่เราซึ่งๆ หน้า พี่ชายเรารู้เรื่องก็ไปโวยยายมนุษย์ป้าถึงบ้าน เลยเกิดความบาดหมางมองหน้ากันไม่ติดเลยค่ะ
บวกกับน้าสาวเราก็เป็นคนที่หนีออกจากบ้านไปแต่งกับชายไทยพุทธ คนแถวบ้านก็เอามาโยงซุบซิบนินทาครอบครัวเรา
พ่อแม่เราต้องอยู่กันแบบเงียบๆ โดยเฉพาะแม่เราที่แทบไม่มีใครพูดคุยด้วย เพราะมนุษย์ป้ารายนั้นมีอิทธิพลมากในหมู่แม่บ้าน
เราเครียดตลอด ถ้าพวกเขารู้ว่าเราเปลี่ยนเป็นพุทธอีกคน พ่อกับแม่เราจะวางตัวยังไง
ใจหนึ่งเราไม่อยากให้พ่อแม่เดือดร้อน อีกใจก็อยากเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง ที่มีความสุข เรียนรู้แก้ความทุกข์ได้เอง
เราควรบอกที่บ้านไหมคะ หรือปิดเป็นความลับ ถ้าควรบอก จะบอกอย่างไรดี
ป.ล. เพิ่งเคยตั้งครั้งแรก ติดแท็กผิดพลาดอย่างไรขออภัยนะคะ