คลอดในน้ำ (water birth)

กระทู้สนทนา
การคลอดลูกในน้ำคือหนึ่งในวิธีการคลอดลูกแบบธรรมชาติค่ะ เนื่องจากว่าเคยมีประสบการณ์เลยอยากเขียนเล่าให้ผู้ที่สนใจฟัง เผื่อมีว่าคุณแม่ท่านใดสนใจวิธีการคลอดแบบนี้หรือใครเคยมีประสบการณ์จะได้มาแชร์กันนะคะ



เนื่องจากจขกทแต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ที่สิงคโปร์ ประสบการณ์ของจขกทก็จะเป็นในโรงพยาบาล วิธีหรือขั้นตอนทุกอย่างแบบสิงคโปร์นะคะ
ที่นี่เวลาท้อง ก็จะมีการไปฝากท้อง แต่ส่วนใหญ่เวลาที่จะฝากท้อง คนที่นี่เค้านิยมเลือกหมอซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่ากายนี่ (gynae) ที่ถนัดวิธีการทำคลอดที่คุณแม่ต้องการค่ะ อย่างคนที่อยากผ่าคลอดก็จะหาหมอที่เย็บแผลสวยๆ ส่วนคนที่อยากคลอดในน้ำก็จะหาหมอที่เป็นโปรทางด้านคลอดธรรมชาติ คนที่นี่เรียก pronatural

พอรู้ตัวว่าท้องจขกทก็คิดไว้แล้วว่าอยากคลอดลูกแบบธรรมชาติเพราะเป็นคนไม่ชอบใช้ยาหรือถูกวางยา ถ้าไม่จำเป็น แต่เคยดูหนัง ละครสมัยเด็กๆแล้วฝังใจว่ามันจะต้องเจ็บมากๆ เลือดก็เยอะ ก็พอดีมีเพื่อนที่นี่หลายคนคลอดลูกหลายๆวิธี ในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งผ่าคลอด คลอดธรรมชาติแต่ใช้ยาชาที่เรียกว่าแอพพิดูรอล แล้วก็มีเพื่อนที่คลอดในน้ำ เราก็ศึกษาข้อมูล ข้อดีของการคลอดในน้ำคือ

1. น้ำจะช่วยบรรเทาอาการปวดให้น้อยลงเนื่องจากการคลอดบนบกจะมีเรื่องของแรงโน้มถ่วงเข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อเด็กอยู่ปากช่องคลอดจะมีแรงกดมหาศาลตรงบริเวณนั้น แต่ถ้าเราอยู่ในน้ำแรงโน้มถ่วงจะน้อยลง (ไม่แน่ใจว่าภาษาวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องเค้าเรียกว่าอะไรนะคะ)
2. การไม่ใช้ยาใดๆเลยทำให้คุณแม่ไม่มึนยาและมีสติตลอดเวลา
3. คุณแม่จะรู้สึกไฮมากๆ เพราะช่วงคลอดร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดร์ฟินและออกซิโทซินออกมา  ส่วนคุณพ่อก็จะไฮด้วยค่ะเพราะพอเจอหน้าลูกแล้วความสุขมาเต็มๆ
4. เป็นการเปลี่ยนสถานะที่ดีที่สุดสำหรับทารกเพราะมีทฤษฎีที่เชื่อว่าเด็กคลอดออกมาเค้าก็มีความรู้สึกแล้ว ถ้าออกมาจากน้ำแล้วเจออากาศเย็นๆ เค้าอาจจะตกใจ เสียขวัญ แต่ถ้าออกจากน้ำคล่ำมาเจอน้ำอุ่นอล้วมาเจออกแม่ จะเป็นอะไรที่นุ่มนวลกว่า
5. เป็นความเชื่อส่วนตัวนะคะว่าเพราะคลอดธรรมชาติ ไม่ได้เร่งคลอดหร่อผ่าก่อนกำหนด ทำให้ร่างกายมีความพร้อมเต็มที่ และเริ่มผลิตนมในเวลาที่ทารกต้องการพอดี

ก็เลยคิดว่าเอาอันนี้แหละ เหมาะกับเราที่สุด ก็เลยไปฝากท้องกับคุณหมอที่เป็นโปรด้านนี้ หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงต้องหาหมอที่เป็นpronatural มันมีเหตุผลค่ะ เพราะความเชื่อของหมอมีผลกับวิธีการคลอดลูกของเรา ถ้าหมอไม่เชื่อในวิถีทางธรรมชาติพอเราใกล้คลอดเค้าจะโน้มน้าวให้เราผ่าคลอดค่ะ แต่ถ้าหมอเป็นโปรด้านนี้ทุกอย่างที่หมอทำจะเป็นวิธีการธรรมชาติทั้งนั้น และจะไม่มีการบังคับให้เราผ่าตัดจนกว่าจะเกิดเหตุสุดวิสัย

หลังจากตัดสินใจได้ว่าอยากคลอดแบบไหนแล้ว เราก็ต้องมีการเตรียมพร้อม เพราะการคลอดในน้ำคุณไม่สามารถฉีดยาชาได้เลย เรียกว่าปลอดยา 100%ค่ะ สิ่งแรกที่ควรทำคือไปเข้าคอร์ส ที่สิงคโปร์เค้าจะมีคอร์ส hypnpbirthing class หรือถ้าแปลเป็นไทยก็คือสะกดจิตตัวเองตอนคลอดค่ะ การเข้าคอร์สนี้จขกทถือว่ามีประโยชน์มากๆ เพราะทั้งตัวเองและสามีได้เรียนรู้เรื่องการตั้งครรภ์ การคลอดลูกไปพร้อมๆกัน ประเด็นหลักๆเลยก็คือคุณจะได้เรียนรู้ว่าก่อนคลอดจะมีสัญญาณอะไรบ้าง แล้วถ้าคุณเจ็บท้องคุณควรทำอย่างไร คุณอยากให้การคลอดของคุณเป็นแบบไหน คุณต้องว่างแผนการคลอดอย่างไร แผนการคลอดหรือ birthplan เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆค่ะ คุณจะเขียนเอาไว้เลยในแพลนว่าคุณขออะไรบ้างในตอนคลอด เช่น ขอใส่ชุดตัวเองตอนคลอด ขอเปิดเพลง ขอถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ ห้ามกรีด ลูกจะต้องอยู่ในห้องกับคุณแม่ตลอดเวลาหลังคลอดแล้ว หลังจากนั้นก็ให้คุณหมอที่จะทำคลอดเราเซ็นต์รับรอง เพื่อเวลาคลอดจริงๆ นางพยาบาลทุกคนจะทำตามแพลนของเราค่ะ

นอกจากนี้จขกทก็ยังจ้าง Doula คิดว่าคงยังไม่มีในประเทศไทย เพื่อช่วยซัพพอร์ตในระหว่างคลอดค่ะ ข้อดีของการมีดูล่าก็คือ เค้าจะมีหน้าที่ซัพพอร์ตเราในเรื่องของจิตใจ โดยเฉพาะช่วงคลอดเค้าก็จะไปอยู่กับเราที่โรงพยาบาลแล้วก็คอยเมคชัวร์ว่าทุกอย่างเป็นไปตามแพลนที่เราต้องการ เนื่องจากเวลาที่เราปวดท้องคลอด ส่วนใหญ่ก็จะทนเจ็บไม่ไหว ใครบอกอะไรก็จะเชื่อแล้วทำตามเพื่อหวังว่าเราจะคลายเจ็บ แต่ดูล่าจะคอยบอกเราว่าข้อดี ข้อเสียคืออะไร แล้วให้เราเป็นคนตัดสินใจ ก็คือเค้าจะอยู่ข้างเราตลอดเพื่อไม่ให้เราเสียผลประโยชน์ หรือว่าโดนโรงพยาบาลหลอกค่ะ เช่นถุงน้ำคล่ำแตกแล้ว ต้องเร่งให้เด็กคลอด ซึ่งความเป็นจริงคุณยังสามารถรอได้ถึง 24ชม ดูล่าก็จะคอยบอกเรา อะไรประมาณนี้ค่ะ

หลังจากเข้าคอร์ส เลือกดูล่า จ้างพยาบาลพิเศษ ส่งbirth planให้คุณหมอเซ็นแล้วก็เอ็นจอยท้องอวบๆ รอเวลาคลอดค่ะ กำหนดคลอดของจขกทคือ 8 มกรา ซึ่งโดยเฉลี่ยเค้าว่าท้องแรกมักจะคลอดช้ากว่ากำหนด ส่วนท้องหลังๆจะคลอดเร็วกว่ากำหนด จขกทก็ใจจดใจจ่ออยากคลอดก่อน เพราะอยากเจอหน้าลูกเร็วๆ ก็ลุ้นแทบตายเพราะท้องโตมาก นางก็ยังไม่ออกมาสักที จนกระทั่งวันที่ 5 เริ่มมีอาการปวดท้อง แต่จะเป็นระยะเวลาห่างๆ สองชมทีนึง อะไรประมาณนี้ คืนแรกก็พอทนได้ พอช่วงบ่ายๆ สามีก็ชวนไปรับเงินเดือนที่บริษัท (ตอนนั้นลาหยุดแล้ว) เพราะสามีไม่อยากให้เรานอนอยู่บ้านแล้วหมกมุ่นกับการปวดท้อง (ข้อดีขิงการเข้าคอร์สคือสามีจะนิ่งมาก แล้วก็รับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ดี) ก็ไปค่ะเพราะงกอยากได้เงินเดือนเร็วๆ ตอนไปรับเงินเดือนก็แบบว่าขอรอที่รถนะ ไม่ขึ้นไปบนบริษัทเพราะหน้าโทรมมาก ปวดท้องด้วย สามีก็โอเค ที่ไหนได้คุณสามีตัวดีพาเจ้านาย เพื่อนที่ทำงานลงมากันทั้งออฟฟิศค่ะ พอคุยๆอยู่ก็มดลูกบีบตัว ก็ต้องบอกเดี๋ยวๆขอเจ็บท้องก่อน พอมดลูกคลายตัวค่อยคุยได้ตามปกติ รับเงินเดือนเสร็จคุณสามีตัวแสบก็ชวนไปกินเดินห้างกินไอติมต่อ ด้วยความตะกละ ไปก็ไปสิคะ แต่ตอนเดินเข้าห้างนะ ท้องมันหน่วงๆ เหมือนอะไรจะหลุด ก็ต้องเดินช้าๆ ตอนสั่งไอศครีมมดลูกบีบอีกก็ต้องบอกพนักงาน เดี๋ยวๆ ขอปวดท้องแป๊บนึง เค้าก็ทำหน้าตกใจแต่ก็ยอมรอนะคะ ก็เป็นยังงี้ทั้งวันอ่ะค่ะ คืนที่สองไม่ได้นอน เพราะปวดถี่ขึ้นเลยเหนื่อยมาก จำได้ว่าตอนตีห้าส่งข้อความไปบอกดูล่าว่าทำไมชั้นไม่คลอดสักที ปวดนานแล้วนะ ดูล่าก็บอกโอเคเดี๋ยวไอไปหายูนะ ไปดูอาการ ตอนนั้นก็ใช้แอพพลิเคชั่นในการจับเวลาเพื่อดูว่าปากมดลูกเปิดประมาณกี่เซ็นแล้ว ซึ่งจากการอ่านค่าก็น่าจะแค่ประมาณ 2 ซม ค่ะ เราตั้งใจกับสามีว่าจะไปรพตอนที่ปากมดลูกเปิดสัก 6 ซม เพราะหากไปอยู่โรงพยาบาลนานเกิน อาจจะทำให้เราอยากร้องขอยา หรือว่าเร่งคลอด เพราะฉะนั้นจึงควรอยู่บ้านให้นานที่สุดแล้วก็ใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป จะได้ไม่หมกมุ่นค่ะ

https://youtu.be/Jlb_2vBE30o
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่