อนัตตาอยู่ตรงนี้ อัตตามันก็ติดอยู่ตรงนี้


“พระพุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่นเพราะมีคำสอนเรื่องอนัตตา คือไม่มีตัวไม่มีตน
ผมอยากจะรู้ว่า อนัตตานี้มีความหมายอย่างไร? เพราะว่า ถ้าเราทำอะไร? สิ่งนั้นก็เป็นหน้าที่ของเรา
แต่หากไม่มีเราไม่มีเขา แล้วใครเป็นคนทำ? อะไรเป็นคนงาน? อะไรเป็นคนคิด? อะไรเป็นคนกินข้าว?
อะไรเป็นผู้สร้างโลก? อะไรเป็นผู้อยู่ในโลก?





“เรื่องอัตตา...อนัตตา...นี้ เป็นคำที่อธิบายยากมากต้องค่อยๆ พิจารณา
อนัตตานี้ เป็นเรื่องที่มีผลดีมาก ถ้าเราเข้าใจมันอย่างถูกต้อง สามารถนำความรู้ความเข้าใจนั้นมาสร้างตนเองให้เจริญได้ดีมาก
จะทำการงานอะไรก็สบาย


แต่คำว่า อนัตตา เป็นศัพท์ที่อยู่เหนือโลก คนส่วนใหญ่ตีความหมายไม่ออก ฟังไม่เข้าใจเพราะเป็นเรื่องที่คนธรรมดาคิดไม่ถึง
ฉะนั้น การจะรู้เรื่องอนัตตา จะต้องรู้ด้วยการปฏิบัติ ถ้าเอาไปคิดเฉยๆ นะ ศีรษะมันจะแตก!


วันนั้นพูดให้ฟังแล้วครั้งหนึ่ง คงจะยังไม่เข้าใจ เพราะว่าเรื่องอนัตตานี้จะไม่สามารถเข้าใจได้โดยการฟังจากคนอื่น
จะต้องพิจารณาตนเอง

อนัตตาอยู่ตรงนี้ อัตตามันก็ติดอยู่ตรงนี้แต่คนไม่เห็นเพราะอัตตามันปิดอยู่ จะต้องเปิดอัตตาออก จึงจะเป็นอนัตตาได้

(หลวงพ่อจับแก้ว ๒ ในวางซ้อนกัน... ยกขึ้น แล้วใจฝ่ามือบังแก้วใบล่างไว้)


เช่น เราใช้มือปิดอยู่อย่างนี้ จะมองไม่เห็นแก้วใบข้างล่าง ความเป็นจริงแก้วใบข้างล่างมีอยู่ แต่ดูเหมือนไม่มี เพราะอะไร?
เพราะมือบังอยู่ พอเราเอาฝ่ามือออกเราก็มองเห็นแก้ว ถ้าปิดก็มองไม่เห็น การไม่เห็นอนัตตาก็เช่นเดียวกัน
เรามองไม่เห็นหรือไม่เข้าใจ เพราะความไม่รู้ปิดบังจิตใจเราอยู่ ถ้าเราศึกษาปฏิบัติจนรู้ตามเป็นจริงจนปัญญาเกิดขึ้นแล้ว
มันจะเหมือนเอาฝ่ามือที่บังแล้วใบล่างออก แล้วเราจะเห็นแก้วทั้งสองใบในที่เดียวกันถ้ามีปัญญาแล้ว เราก็จะรู้ชัดเจนว่า
นี่เป็นอนัตตา นี่เป็นอัตตา แยกได้อย่างนี้


ตามธรรมชาติหรือตามความเป็นจริงแล้ว อนัตตาก็คงเป็นอนัตตา แต่คนไม่รู้เพราะอัตตาหรือความคิดผิดมันปิดอยู่

ถ้าคุณเห็นอนัตตาแล้ว คุณจะไม่ทุกข์
จะมีความสุข ก็ไม่หลง
จะมีความทุกข์ ก็ไม่หลง
จะได้ของมา ก็ไม่ดีใจ
ของมันจะหายไป ก็ไม่ทุกข์ ไม่เสียใจ


ถ้าเราไม่เห็นหรือไม่เข้าใจอนัตตาแล้ว เมื่อมีอารมณ์สุข ก็หลงความสุข เมื่อมีความทุกข์ ก็โศกเศร้าเสียใจในความทุกข์
นี่เป็นเพราะว่าไม่เห็นอนัตตา


อนัตตาคือความไม่มีตัวตน แต่เราพยายามจะจับเอาของที่ไม่ใช่ตัวตนมาเป็นตัวตนของเรา ลองคิดดูอย่างนี้ดีมั๊ย?

ถ้าหากว่าร่างกายนี้ เป็นตัวตนของเราจริง ไม่ให้มันเจ็บได้มั๊ย? ไม่ให้มันแก่ได้มั๊ย?  ไม่ให้มันตายได้มั๊ย?...ก็ไม่ได้


ถ้าไม่ได้ สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ตัวตนของเราน่ะสิ! ถ้าเป็นของเราแล้ว เราบอกให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ให้อยู่อย่างนี้มันต้องเป็นอย่างที่เราต้องการซิ แต่มันเป็นอย่างนั้นมั๊ย?

เราบอกว่า...อย่าแก่นะ มันก็แก่ อย่าเจ็บนะ มันก็เจ็บ อย่าตายนะ ฉันยังไม่อยากตาย มันก็ตาย

นี่! มันเป็นเพราะอะไร? ก็เพราะมันไม่ใช่ตัวเราของเราเองนั่นเอง

ถ้าจะเปรียบเทียบ...ก็เหมือนกับว่า ทุกวันนี้เราอาศัยบ้านคนอื่นอยู่เท่านั้น บ้านเราไม่มี เราเช่าบ้านเขาอยู่ แต่พบอยู่นานๆ ไป เราเข้าใจผิด
นึกว่าบ้านเขาเป็นบ้านเรา ถึงเวลาเขามาไล่เราหนีเราก็เสียใจเท่านั้นเอง


ร่างกายนี้ สมมุติเรียกว่าตัวเรา เราอาศัยร่างกายนี้ชั่วคราว เหมือนยืมมาจากธรรมชาติ มันไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
สิ่งเหล่านี้เป็นไปตามธรรมชาติหรือตามสภาพของมัน เพราะมันไม่ใช่ของเรานั่นเอง มันถึงได้เป็นเช่นนี้”



-----------------------------

เนื้อหาบางส่วนจาก
สนทนาธรรมกับคณะอาจารย์ ที่ กรุงลอนดอน พ.ศ. ๒๕๒๐
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_cha/lp-cha_82.htm
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่